Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

การใช้กระบวนการพยาบาลในการสร้างเสริมสุขภาพ ป้องกัน ฟื้นฟูนและการดูแลผู้ใหญ…

- - - - ทำหน้าที่รวบรวมคลื่นเสียงและส่งผ่านเข้าไปยังส่วนของหูชั้นนอกต่อไป
    - - มีความยาว 2.5 เซนติเมตร ในเด็กช่องหูจะเอียงขึ้นเล็กน้อย ในผู้ใหญ่จะเอียงลงไปด้านล่างไปด้านหน้าเล็กน้อย
    - - ประกอบด้วย
        
        epithelium layer (ชั้นนอก)
        
        fibrous layer (ชั้นกลาง)
        
        mucous membrane (ชั้นในสุด)
  - - - ประกอบด้วย
        
        กระดูกค้อน (malleous)
        
        กระดูกทั่ง (incus)
        
        กระดูกโกลน (stapes)
  - - - แบ่งเป็น
        
        Bony labyrinth
        
        ส่วนที่เป็นกระดูก
        
        cochlea
        
        vestibule
        
        semicircular canal 3 อัน
        
        Membranous labyrinth
        
        ส่วนที่เป็นท่ออยู่ภายใน Body labyrinth
        
        cochlear duct
        
        utricle
        
        saccule semicircular duct 3 อัน
- - - - ได้ยินดีกว่าเสียงผ่านทางกระดูก
- - - - เป็นมากหรือน้อย เป็นตลอดเวลาหรือเป็นพักๆ
    - - สี ลักษณะ
    - - ข้างไหน เป็นตลอดเวลาหรือครั้งคราว
    - - ข้างไหน เสียงมีลักษณะอย่างไร
    - - บ่อยแค่ไหน ได้รับยาอะไร มีประวัติโรคอะไรบ้าง
  - - - การมองและคลำดูบริเวณหน้าและหลังหู มีอาการปวด บวม แดง มีฝี มีรู มีถุงน้ำหรือไม่
    - - ตรวจด้วยไม้พันสำลี ถ้าแตะที่ใดเจ็บให้ตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจ
      - ตรวจดูเยื่อแก้วหู (Tympanic membrane)
        
        ดูสี รอยแผล มี light reflex หรือไม่ ดูรูทะลุ หนอง
    - - ช่องปาก ดูเหงือกและฟัน
      - Temporomandibular joint คลำดูข้อต่อและกล้ามเนื้อที่ใช้ในการเคี้ยวว่ามีอาการเจ็บหรือไม่
      - ช่องจมูก มีไซนัสอักเสบหรือไม่
      - ช่องคอทั้ง 3 ส่วน กล่องเสียง หลอดลม
      - ตรวจดูด้านหน้า ข้าง หลัง ลำคอ ดูต่อมน้ำเหลือง ว่าโต บวมหรือไม่
    - - ถ่ายภาพรังสีของหู คอ จมูก
      - CT scan,MRI เพื่อแยกโรค
  - - - Tuning fork test
        
        เป็นการตรวจโดยใช้ส้อมเสียง
        
        การแปลผล Weber Test เป็นการทดสอบ Cochlear function เป็นการตรวจการได้ยินโดยผ่านการนำเสียงกระดูก
        
        คนปกติจะได้ยินเท่ากันทั้ง 2 ข้าง
        
        ถ้ามีระบบการนำเสียงบกพร่อง ข้างที่มีปัญหาจะได้ยินชัดเจนกว่า
        
        ถ้ามีระบบประสาทรับฟังเสียงบกพร่อง ข้างที่ดีจะได้ยินชัดเจนกว่า
        
        การแปลผล Rine Test ผ่านการนำเสียงทางอาการ
        
        Rine Test positive
        
        ได้ยินทางหน้าหูดีกว่าหลังหู (AC>BC)
        
        Rine Test negative
        
        ได้ยินทางหลังหูดีกว่าหน้าหู (BC>AC)
        
        False negative Rinne
        
        BC>AC
      - Audiometry
        
        ใช้เครื่องตรวจการได้ยินชนิดไฟฟ้า
    - - Speech Reception Threshold (SRT)
        
        ตรวจระดับเสียงพูดที่ต่ำที่สุด เป็นคำ 2 พยางค์ เช่น ไฟฟ้า ดอกไม้ เสื้อผ้า เป็นต้น
      - Speech Discrimination
        
        การแยกเสียง และเข้าใจความหมายของคำพูด ใช้คำพยางค์เดียว เช่น เต่า บ้าน เป็นต้น
  - - - โดยการยืนตรง ส้นเท้าและปลายเท้าชิดกัน มองตรงไปข้างหน้า
    - - ทำเหมือน Romberg's Test แต่ยื่นมือตรงไปข้างหน้า หลับตา ย่ำซอยเท้าอยู่กับที่
    - - ให้เดินตามเส้นแนวตรงระหว่างจุด 2 จุด แล้วหมุนตัวเร็วๆ กลับมาที่เดิม
- - - - เกิดจากความผิดปกติของหูชั้นนอก เยื่อแก้วหู และหูชั้นกลาง ทำให้มีความผิดปกติของกลไกการส่งผ่านคลื่นเสียงไปสู่หูชั้นใน
    - - เกิดจากความผิดปกติในอวัยวะรูปหอยโข่งในหูชั้นใน ที่พบบ่อยคือ outlet hair cell หรือความผิดปกติที่เส้นประสาทการได้ยิน
    - - เกิดจากความผิดปกติในระบบการนำเสียงร่วมกับประสาทรับฟังเสียงบกพร่อง
    - - เกิดจากความผิดปกติของสมองโดยเฉพาะ ผู้ป่วยได้ยินแต่ไม่สามารถแปลความหมายได้
  - - - โรคหูชั้นนอก เช่น ขี้หูอุดตัน หูชั้นนอกอักเสบ เนื้องอก
    - - ประสาทหูเสื่อมที่เป็นตั้งแต่กำเนิด (Congnital Sensorineural Hearing Loss)
      - ประสาทหูเสื่อมที่เกิดภายหลัง (Acquired Sensorineural Hearing Loss)
        
        Presbycusis พบในคนชรา
        
        Noise induced haring loss เกิดจากเสียงดังมาก
        
        Durg induced hearing loss เกิดจากยากลุ่ม Aminoglycoside,salicylate,diuretics
        
        Infection ติดเชื้อจากหูชั้นใน
        
        Meniere's disease
        
        Tumor
        
        Trauma
        
        Vascular cause
        
        Autoimmune
        
        Sudden sensorineural hearing loss
  - - - อาการนำ
        
        หูอื้อ เสียงดังในหู
      - อาการร่วม
        
        ปวดหู น้ำออกหู มีเสียงดังในหู
      - ประวัติในอดีต
        
        การใช้ยาที่มีพิษต่อหู การผ่าตัด หูน้ำหนวก
    - - การตรวจร่างกายทางหู คอ จมูก
      - การตรวจทางระบบประสาท
      - การตรวจการได้ยินด้วยส้อมเสียง
- - - - สาเหตุ
        
        ขี้หูเกิดการอุดตันอยู่ในส่วนของหูชั้นนอก
      - พยาธิสภาพ
        
        ขี้หูถูกสร้างโดยต่อมสร้างขี้หูซึ่งอยู่ในช่องหูส่วนกระดูกอ่อน ส่วนมากเกิดจากขี้หูสร้างมากผิดปกติ รวมทั้ง Epithelial migration ลดลง ทำให้ขี้หูอุดตันได้ง่าย
      - อาการและอาการแสดง
        
        หูอื้อ ปวดหู
      - การรักษา
        
        โดยการล้าง หรือใช้เครื่องมืออื่นๆช่วย
    - - สาเหตุ
        
        ในเด็กเล็กมักพบของเล่นชิ้นเล็ก ลูกปัด ยัดใส่รูหู ทำให้เกิดการติดเชื้อ ในผู้ใหญ่มักพบเป็นชิ้นส่วนของไม้พันสำลีหรือพวกแมลง
      - อาการและอาการแสดง
        
        หูอื้อ รำคาญ สูญเสียการได้ยิน
      - การรักษา
        
        สิ่งมีชีวิตใช้แอลกอฮอล์ 70% สิ่งไม่มีชีวิตใช้น้ำสะอาดหยอดจนเต็มหูแล้วเทน้ำออก ถ้าเป็นของแข็งใช้เครื่องมือแพทย์คีบออก
    - - สาเหตุ
        
        เกิดจากของมีคม หรืออาจเกิดจากแรงอัดดันจากการถูกกระทบกระแทกบริเวณกระดูกขมับแรงๆ หรือได้รับอันตรายจากเสียงดังมากๆ
      - อาการและอาการแสดง
        
        เจ็บปวดเฉียบพลัน สูญเสียการได้ยิน มีเลือดออกในหูและไหลออกมา
      - การรักษา
        
        -ทิ้งไว้เฉยๆ อย่าชะล้าง -ไม่ต้องเอาลิ่มเลือดออก -ไม่ต้องหยอดยาหู ให้ยารับประทานกันการติดเชื้อ อาการต่างๆควรหายภายใน 1 เดือน ถ้าไม่หายให้ทำการซ่อมแซมเยื่อแก้วหู
  - - - เป็นภาวะที่มีการขังค้างของเหลวอยู่ในชั้นหูกลาง
        
        อาการและอาการแสดง
        
        Acute Otitis Media
        
        เกิดในช่วงเวลาสั้นๆมีอาการน้อยกว่า 3 สัปดาห์
        
        สาเหตุ
        
        เป็นหวัด คัดจมูก คออักเสบ
        
        ท่อยูสเตเชียนอุดตัน
        
        เด็กที่ดูดนมขวด จะใช้แรงดูดมาก ทำให้มีโอกาสเกิดการไหลย้อนของนมเข้าสู่ท่อยูสเตเชียนได้ง่าย ทำให้หูชั้นกลางอักเสบ
        
        เนื้องอกบริเวณช่องหลังโพรงจมุกไปอุดตันท่อยูสเตเชียน
        
        อาการ
        
        สูญเสียการได้ยิน รู้สึกเหมือนมีน้ำขังอยู่ในหูตลอดเวลา ตรวจหูพบเยื่อแก้วหูมีลักษณะนูนโป่งและมีอาการปวดหู
        
        การรักษา
        
        ทำ Valsava Maneuver และ Politzerisation คือหายใจเข้าเต็มที่ บีบจมูก หุบปากไม่สนิทแล้วเบ่งลมหายใจออก เป็นการเพิ่มความดันบริเวณช่องคอหลังโพรงจมูก ทำให้ท่อยูสเตเชียนเปิด
        
        การรักษาทางยา ให้ยาแก้แพ้และยาปฏิชีวนะร่วมด้วย
        
        Serous Otitis Media
        
        มีน้ำในขังค้างอยู่ในหูชั้นกลาง มีอาการระหว่าง 3 สัปดาห์ถึง 3 เดือน
        
        Chronic Otitis Media
        
        เกิดเป็นซ้ำและเป็นอยู่เวลานานๆมีอาการมากกว่าหรือเท่ากับ 3 เดือน
        
        Adhesive Otitis Media
        
        เกิดเป็นเวลานานๆเป็นระยะเวลานานปี
      - พยาธิสภาพ
        
        มีการอักเสบของหูชั้นกลางและโพรงกกหู ในหูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลัน ตรวจพบเยื่อแก้วหูบวมแดง ในหูชั้นกลางอักเสบมีน้ำขัง ตรวจพบเยื่อแก้วหูสีเหลืองฟาง ในหูชั้นกลางอักเสบเรื้อรัง ตรวจพบเยื่อแก้วหูทะลุ
    - - สาเหตุ
        
        ไม่ทราบแน่ชัด
      - อาการและอาการแสดง
        
        หูอื้อ เมีอาการวียนศีรษะบ้านหมุนในขณะเปลี่ยนท่าทางของศีรษะ
      - พยาธิสภาพ
        
        มีการเพิ่มของ osteoblastic และ osteoclasvtic activity บริเวณ stapes footplate ทำให้เกิด ostosclerosis
      - การรักษา
        
        ใช้เครื่องช่วยฟัง
        
        การผ่าตัด นำกระดูกที่มีพยาธิสภาพออกและใส่วัสดุเทียมเข้าไป
    - - สาเหตุ
        
        การเปลี่ยนแปลงความดันอากาศหรือความดันในชั้นหูกลางและโพรงกกหู ส่วนมากเกิดจากการเดินทางโดยเครื่องบิน
      - อาการและอาการแสดง
        
        ปวดหู แน่นหู มีประวัติขึ้นเครื่องบินหรือดำน้ำ
      - พยาธิสภาพ
        
        เมื่อความดันในหูชั้นกลางมีความแตกต่างจากบรรยากาศภายนอก เยื่อเมือกจะบวม มีการสร้างของเหลวจากต่อมเมือก มีเส้นเลือดฉีกขาด ทำให้เกิดของเหลวหรือเลือดคั่งในหูชั้นกล่ง
      - การรักษา
        
        การผ่าตัดตกแต่งแก้วหู
        
        การผ่าตัดเอา Mastoid airr cell ออก
        
        การผ่าตัด Stapes bone และ Footplate ออกแล้วใส่ของเทียมเชื่อมระหว่าง incus กับ window แทน
    - - สาเหตุ
        
        เกิดจากภาวะที่มีการรักษาไม่หายขาดของหูชั้นกลางอักเสบ และการกลับเป็นซ้ำอีก
      - อาการและอาการแสดง
        
        เยื่อแก้วหูทะลุ มีหนองไหล หูอื้อ
      - การรักษา
        
        การรักษาทางยา ให้ยาปฏิชีวนะ ยาแก้ปวด
        
        ทำการผ่าตัดต่อไป
        
        ทำ Tympanoplasty และ Mastoidectomy
    - - หลังผ่าตัดไม่มีอาการคลื่นไส้ ให้รับประทานอาหารอ่อนได้ แต่ให้เครี้ยวด้านตรงข้ามกับที่ผ่าตัด
      - ถ้ามีอาการเวียนศีรษะให้นอนพักและระวังอุบัติเหตุขณะเคลื่อนไหว
      - ตัวกดห้ามเลือด แพทย์จะนำออกภายหลังผ่าตัด 24-48 ชั่วโมงไปแล้ว
      - นอนราบตะแคงข้างที่ไม่ผ่าตัด
      - ติดตามประเมินภาวะปากเบี้ยว ตาปิดไม่สนิท ชาที่หน้า
      - ห้ามก้มมากๆ ห้ามออกแรงยกของหนักมากๆ นาน 2 สัปดาห์
    - - ห้ามสั่งน้ำมูก 2-3 สัปดาห์หลังผ่าตัด
      - เวลาไอและจามควรเปิดปากทุกครั้งอย่างน้อย 2-3 สัปดาห์หลังผ่าตัด
      - หลังผ่าตัด 2 สัปดาห์ ดูแลอย่าให้น้ำเข้าหู
    - - เกิดความวิตกกังวลเกี่ยวกับการผ่าตัด ประสิทธิภาพของการได้ยินที่อาจสูญเสียไป การรับความรู้สึกต่างๆและการควบคุมการเคลื่อนไหวของใบหน้า
      - ปวดเนื่องจากการชอกช้ำของเนื้อเยื่อจากการผ่าตัด
      - เสี่ยงต่อภาวะติดเชื้อจากการทำผ่าตัดกระดูกมาสตอยด์ออก และทำการปะผิวหนังใหม่ การใส่กระดูกเทียม การใส่สัญญาณไฟฟ้า เนื่องจากการบาดเจ็บชอกช้ำของเนื้อเยื่อและโครงสร้างต่างๆ
      - ขาดความรู้เกี่ยวกับโรคมาสตอยด์ วิธีการทำผ่าตัด การดูแลหลังผ่าตัด และภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้
  - - - เป็นโรคที่พบตะกอนแคลเซียมสะสมบริเวณอวัยวะทรงตัวในหูชั้นใน ซึ่งเคลื่อที่ได้ในเมื่อน้ำในหูชั้นในเคลื่อนที่ เกิดการส่งกระแสประสาทไปที่ประสาทส่วนกลาง มีผลไปกระตุ้นอวัยวะการทรงตัว ทำให้เกิดบ้านหมุนขึ้น
      - สาเหตุ
        
        จากความเสื่อมตามวัย อุบัติเหตุ การติดเชื้อ
      - อาการ
        
        มักมีอาการเวียนศีรษะบ้านหมุน สูณเสียการทรงตัว
      - การวินิจฉัย
        
        การซักประวัติ
        
        อาการเวียนศีรษะ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงท่าทางของศีรษะและเป็นช่วงเวลาสั้นๆ
        
        การตรวจร่างกาย
        
        เมื่อผู้ป่วยล้มตัวนอนอย่างรวดเร็ว จะมีอาการเวียนศีรษะ
        
        เพิ่มเติม
        
        การตรวจการได้ยิน
        
        การตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI)
      - การรักษา
        
        การรักษาด้วยยา ให้ยาบรรเทาอาการเวียนศีรษะ
        
        การทำกายภาพบำบัด เป็นการขยับศีรษะและคอ
        
        การผ่าตัด
      - ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
        
        ถเาอาเจียนมาก อาจมีการสูญเสียน้ำและเกลือแร่ในร่างกายมาก อาจถึงช็อกได้
        
        ถ้าเวียนศีรษะมาก อาจล้มได้ ทำให้เกิดการบาดเจ็บของอวัยวะต่างๆ ดังนั้น เมื่อมีอาการ ควรรีบนั่งลงหรือนอนบนพื้นราบไม่ให้มีการเคลื่อนไหว
      - การปฏิบัติตัว
        
        นอนหนุนหมอนสูง หลีกเลี่ยงการนอนราบ
        
        ตื่นตอนเช้า ควรลุกจากเตียงช้าๆ และนั่งบนขอบเตียงก่อน
        
        หลีกเลี่ยงการก้มเก็บสิ่งของ หรือเงยหยิบสิ่งของ
        
        เวลาทำอะไรควรทำช้าๆ
    - - สาเหตุ
        
        ไม่ทราบชัดเจน
      - อาการ
        
        ประสาทหูเสื่อม หูอื้อ มีเสียงดังในหู อาการเวียนศีรษะ บ้านหมุน
      - พยาธิสภาพ
        
        เกิดการคั่งของ endolymph จนทำให้ membranous labyrinth แตกออก ทำให้มีการลดลงของ Auditory และ Vestibular neronal outflow ตามมา จึงทำให้มีอาการเวียนศีรษะบ้านหมุน การได้ยินลดลง
      - การรักษา
        
        เมื่อเวียนศีรษะ
        
        ให้ยาบรรเทาอาการ
        
        หลีกเลี่ยงการเดินทางโดยเรือ
        
        เมื่อเวียนศีรษะควรนั่งพัก
        
        จำกัดความเค็ม เพราะโซเดียมที่มีมากในร่างกายจะทำให้มีน้ำคั่งในร่างกาย
        
        หลีกเลี่ยงชา คาเฟอีน บุหรี่ และออกกำลังกายสม่ำเสมอเมื่ออาการดีขึ้น
        
        แนะนำให้ความรู้แก่ผู้ป่วย โดยเฉพาะของโรคและการรักษา
    - - สาเหตุ
        
        ไม่ทราบแน่ชัด อาจเกิดจาก
        
        การติดเชื้อไวรัส
        
        การอุดตันของเส้นเลือดไปเลี้ยงที่หูชั้นใน
        
        การรั่วของน้ำในหูชั้นใน เข้าไปในหูชั้นกลาง
        
        การบาดเจ็บ
      - อาการและอาการแสดง
        
        หูอื้อ
        
        การได้ยินลดลงในหูข้างใดข้างหนึ่งอย่างเฉียบพลัน
        
        บางรายอาจมีอาการเวียนศีรษะร่วมด้วย
      - การรักษา
        
        ส่วนใหญ่มุ่งรักษาเพื่อรักษาอาการอักเสบของประสาทหู และเซลล์ประสาทหู ถ้าไม่มีข้อมห้ามนิยมให้ยาสเตียรอยด์ประมาณ 1 สัปดาห์
        
        ยาขยายหลอดเลือด เพื่อเพิ่มเลือดไปเลี้ยงที่หูเพิ่มมากขึ้น
        
        ยาวิตามิน บำรุงประสาทหูเสื่อม
        
        การนอนพัก เพื่อลดการรั่วของน้ำในหูชั้นในเข้าไปในหูชั้นกลาง นอนยกศีรษะสูง 30 องศาจากพื้นราบ
        
        หลีกเลี่ยงยาที่มีพิษต่อหู
        
        หลีกเลี่ยงเสียงดัง หลีกเลี่ยงอุบัติเหตุหรือการกระทบกระเทือนที่หู
    - - สาเหตุ
        
        อายุที่เพิ่มากขึ้น การใช้ยา การได้รับเสียงดัง การสูบบุหรี่
      - อาการและอาการแสดง
        
        การได้ยินลดลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปเท่าๆกันทั้งสองข้าง
      - พยาธิสภาพ
        
        มีการลดลงของ Sensory cell และ Supporting cells ใน organ of Corti,Spiral ganglion cell มี Atrophy ของ stria vascularis หรือมีการแข็งตัวของ basilar membrane จากสาเหตุ Oxidation stress จากเสียงดัง
      - การรักษา
        
        การจำกัดแคลอรี่ ช่วยลดปริมาณไขมันในร่างกาย
- - - - สาเหตุ
        
        เป็นภาวะที่มีเลือดออกมาทางจมูก จากการฉีกขาดของหลอดเลือดที่เยื่อบุจมูก อาจมาจากการบาดเจ็บ การมีสิ่งแปลกปลอมเข้าไป การมีความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด การติดเชื้อ การมีเนื้องอก
      - อาการและอาการแสดง
        
        เลือดออกจากผนังกั้นจมูกส่วนหน้า
        
        พบบริเวณ Kiesselbach's plexus or little area เป็นบริเวณที่มีหลอดเลือดที่มาเลี้ยงจมูกรวมอยู่มาก
        
        การรักษา
        
        การใช้สารเคมีหรือไฟฟ้า จี้สกัดจุดที่มีเลือดออก
        
        การใช้ Anterior nasal packing การใส่ผ้ากอซที่มียาปฏิชีวนะและสารพวก Gel foam เพื่อไปอุดตำแหน่งเลือดออก
        
        เลือดออกจากผนังกั้นจมูกส่วนหลัง
        
        พบในผู้สูงอายุที่มีโรค HT โรคหัวใจ
        
        การรักษา
        
        Posterior nasal packing การอุดในช่องคอหลังโพรงจมูก โดยใช้ gauze tampon
        
        Anterial ligation การผูกหลอดเลือดแดง เพื่อควบคุมภาวะเลือดออก
        
        Arterial Embolization เป็นการอุดหลอดเลือดแดง
        
        Laser Photocoagulation เป็นการฉายแสงเลเซอร์ ที่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาความร้อนขึ้นจนยับยั้งหรือชะลอการลุกลามของหลอดเลือดที่ผิดปกติ
        
        skin graft to nasal septum and Lateral nasal wall
      - การพยาบาลหลังการรักษา
        
        แนะนำให้อ้าปากเวลาไอจาม
        
        ห้ามสั่งน้ำมูกหรือแกะสะเก็ดแผล
        
        ถ้ามีอาการบวมให้ประคบเย็น และให้ยาแก้ปวด นอนศีรษะสูง 45-60 องศา เพื่อลดอาการบวม
        
        ปรเมินเลือดออกโโยสังเกตผ้ากอซ แต่ห้ามดึงผ้ากอซออกเอง
        
        อาจมีอาการหูอื้อ แต่จะหายเมื่อนำตัวกดห้ามเลือดออก จะ เอาออกหลังใส่ 48-72 ชั่วโมง แต่ถ้ามีเลือดออกมากอาจใส่นาน 7 วัน ภายหลังการนำออก ควรนอนนิ่งๆ ก่อน 2-3 ชั่วโมง
        
        หลีกเลี่ยงการกระทบกระเทือนบริเวณจมูก
        
        ห้ามยกของหนัก
    - - สาเหตุ
        
        การเป็นหวัดเรื้อรัง เช่น หวัดจากการแพ้ หรือการติดเชื้อของเยื่อจมูก
      - อาการ
        
        มีอาการคันจมูก แน่นจมูก หายใจไม่สะดวก พูดเสียงขึ้นจมูก ซึ่งเป็นเรื้อรัง อาจมีน้ำมูกเป็นหนอง
      - สิ่งตรวจพบ
        
        มักพบมีติ่งเนื้อเมือกสีค่อนข้างใสอุดกั้นอยู่ในรูจมูก
      - อาการแทรกซ้อน
        
        มีอาการแน่นจมูก บางรายอาจมีไซนัสอักเสบ
      - การรักษา
        
        Medical Polypectomy เป็นการใช้ยากลุ่มสเตียรอยด์ พ่นจมูก เพื่อทำให้ยุบตัวลง
        
        Surgical Polypectomy
        
        Nasal polyp ผ่าตัด Polypectomy โดยใช้ Snaring คือการใช้ลวดคล้องและดึงออก
        
        Antrochonal poly ผ่าตัด Caldwell-luc operation
    - - หมายถึง โพรงหรือช่องอากาศที่อยู่ในกระดูกของหน้ามีทางติดต่อกับช่องจมูก เรียกว่ารูเปิดของไซนัส
        
        ประกอบด้วย
        
        Maxillary sinus มีขนาดใหญ่ที่สุด อยู่ที่แก้มทั้ง 2 ข้าง
        
        Frontal sinus อยู่ที่หัวคิ้วทั้ง 2 ข้าง
        
        Ethmoidal sinus อยู่ที่ซอกตาระหว่างกระบอกตา และจมูกเป็นช่องเล็กๆ ติดต่อกันอยู่มีข้างละประมาณ 2-10 ช่อง
        
        Sphenoidal sinus อยู่ที่หลังจมูกด้านบนสุด
      - สาเหตุ
        
        สุขภาพทั่วไป
        
        ภูมิต้านทานต่ำ เป็นโรคเลือด เบาหวาน
        
        สภาพของจมูก
        
        การอักเสบในจมูก เนื้องอกในจมูก แผ่นกั้นช่องจมูกคด
        
        สาเหตุโดยตรง
        
        โรคที่มีอาการนำทางจมูก ฟันผุและการถอนฟัน การสั่งน้ำมูกแรงๆ การดำน้ำ
      - อาการ
        
        มีอาการปวดกดเจ็บบริเวณโพรงอากาศข้างจมูก
        
        คัดจมูก
        
        มีของเหลวเป็นหนองไหลออกจากช่องจมูก
      - การรักษา
        
        ส่วนมากรักษาด้วยการให้ยารับประทาน ไม่นิยมให้ยาหยอดจมูก
        
        ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ รับประทานยาสม่ำเสมอ
      - ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
        
        เสี่ยงต่อภาวะพร่องของสารน้ำและสารอาหาร เนื่องจากความไม่สมดุลของสารน้ำในร่างกายและการเสียเลือดออกทางช่องจมูก
        
        เกิดภาวะการหายใจไม่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากมีภาวะช่องจมุกบวมหรืออุดตัน
        
        เสี่ยงต่อภาวะติดเชื้อจากการมีของเหลวคั่่งค้างในจมูก
        
        การเปลี่ยนแปลงของการรับรู้ต่างๆ เช่น การมองเห็นเปลี่ยนไป เนื่องจากอันตรายจากการกระทบกระเทือนต่อระบบต่างๆในการผ่าตัดบริเวณจมูก
      - การพยาบาลหลังผ่าตัด
        
        จัดท่านอนศีรษะสูง 40-45 องศา เพื่อลดอาการบวมบริเวณจมูกและแก้มเพื่อให้หายใจได้สะดวกขึ้น
        
        ประคบบริเวณจมูกด้วยความเย็น เพื่อบรรเทาอาการปวด
        
        การป้องกันการติดเชื้อ กระตุ้นให้ผู้ป่วยดูแลทำความสะอาดช่องปาก หลีกเลี่ยงการแปรงฟันบริเวณแผล
        
        หลีกเลี่ยงการออกกำลังกาย การยกของหรือทำงานหนัก ภายใน 10-14 วันแรกหลังผ่าตัด
        
        ไม่ควรไอจามแรงๆ ถ้าจะจามให้เปิดปาก เพื่อลดแรงดัน
- - - - ไข้ ไอ เจ็บคอ กลืนลำบาก
      - ต่อม adenoid อักเสบ
        
        เป็นผลมาจากภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ดังนี้
        
        อาการหายใจทางปาก
        
        อาการของช่องหูชั้นกลางอักเสบ
        
        การพูดเสียงขึ้นจมูก
- - - - ชั้นนอก เป็นชั้นของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน
        
        ประกอบด้วย
        
        เปลือกลูกตา (Sclera)
        
        ทำหน้าที่ห่อหุ้มลูกตา เพื่อรักษาทรงของลูกตา
        
        กระจกตา (Cornea)
        
        ทำหน้าที่หักเหแสง ช่วยในการโฟกัสภาพ
      - ชั้นกลาง มีหลอดเลือดจำนวนมาก
        
        ประกอบด้วย
        
        ม่านตา (Iris)
        
        เป็นแผ่นบางๆ ยืดหดได้ ตรงกลางมีช่องเรียกว่า รูม่านตา (pupil) ควบคุมปริมาณแสงเข้าสู่ตา และแบ่งช่องที่อยู่ระหว่างเลนส์และกระจกตา ภายในช่องทั้งสองมีของเหลวใสเรียกว่า aqueous humor
        
        Ciliary body
        
        เป็นส่วนหน้าสุดของ choroid ทำหน้าที่สร้างของเหลว ให้อาหารแก่เลนส์และกระจกตา
        
        Choroid
        
        เป็นเยื่อบางๆ อยู่ระหว่าง sclera กับจอตา เป็นชั้นที่มีหลอดเลือดจำนวนมากและมีเซลล์เม็ดสี ทำหน้าที่สร้างอาหารมาเลี้ยงส่วนนอกของตา เลนส์ และ vitreous body
      - ชั้นใน
        
        ประกอบด้วย
        
        จอประสาทตา (Retina)
        
        มีหน้าที่รับภาพจากแก้วตา ซึ่งส่วมาเป็นพลังงานแสงแล้วเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้า ส่งต่อไปยังประสาทตา เพื่อส่งต่อไปยังสมองเพื่อแปลงพลังงานไฟฟ้ากลับเป็นภาพ
        
        แก้วตา (Lens)
        
        เป็นอวัยวะที่ไม่มีหลอดเลือดมาเลี้ยง ไม่มีเส้นประสาท ทำหน้าที่ช่วยกระจกตาทำหน้าที่ในการหักเหของแสงให้มาโฟกัสที่จอตาทำให้เกิดการมองเห็น
        
        วุ้นตา (Vitrous)
        
        เป็นแหล่งอาหารแก้วตา เนื้อเยื่อ Ciliary body และจอตา
  - - - ดูตำแหน่งของลูกตา และเปลือกตาดูความชุ่มชื้น ดูความนูน ขอบของเปลือกตา
      - ตรวจดูภาวะตาโปน (Exopthalmos)
        
        ถ้ามีจะพบเปลือกตาบนไม่คลุมของตาดำ จึงเห็นตาขาวลอยอยู่เหนือตาดำ
      - สัเกตความนุ่ม แข็ง ปกติจะนุ่มหากสัมผัสแล้วแข็ง บ่งบอกภาวะความดันในลูกตาสูง
    - - ดูว่ามีบวม ซ้ำเป็นก้อนหรือไม่ สังเกตการดึงรั้งของหนังตา เปลือกตาตกหรือไม่ ดูขนตาว่ามีม้วนเข้าหรือไม่
        
        ขนตาม้วนเข้า (entropion)
        
        ขนตาปริ้นออก (ectropion)
    - - สังเกตรูม่านตาเป็นวงกลมหรือไม่ ส่วนแก้วตาถ้าปกติจะเห็นเป็นสีดำและใส
  - - - ปกติค่าความดันของลูกตาอยู่ประมาณ 10-20 mmHg
      - เมื่อมีแรงดันลูกตาเพิ่มมากขึ้นจะทำให้ประสาทตาถูกทำลาย ส่งผลให้เกิดการสูญเสียประสิทธิภาพของลานสายตา และสมรรถภาพของการมองเห็น
      - สาเหตุ
        
        มีการคั่งของน้ำเอเควียสจากมีโครงสร้างตาผิดปกติ
        
        ความผิดปกติ trabecular meshwork ตั้งแต่กำเนิด
        
        มีความเสื่อมของเนื้อเยื่อภายในลูกตา
        
        การใช้ยาที่มีสารฮอร์โมนพวกคอร์ติโคสเตียรอยด์ติดต่อเป็นเวลานาน
        
        มีต้อกระจกสุกหรือต้อกระจกสุกงอม
        
        เนื้องอกในลูกตา
        
        อุบัติเหตุในตา
      - ชนิดและอาการ
        
        แบ่งเป็น
        
        ต้อหินปฐมภูมิ (Primary glacoma
        
        ต้อหินชนิดมุมปิด (angle-closure glacoma)
        
        เมื่อมีการตีบแคบของ trabecular meshwork ที่เป็นทางระบายน้ำเลี้ยงลูกตา ทำให้การระบายน้ำเลี้ยงในลูกตาลดลง ทำให้มีแรงดันภายในลูกตา โดยเฉพาะขั้วประสาทตา
        
        ต้อหินชนิดมุมเปิด (open-angle glacoma)
        
        เกิดความผิดปกติของทางเดินน้ำเลี้ยงภายในลูกตา ในขณะที่การสร้างน้ำเลี้ยงภายในลูกตามีปริมาณเท่าเดิม ทำให้ความดันในลูกตาสูงขึ้นทีละน้อย เกิดการทำลายประสาทตา เกิดขึ้นอย่างช่าๆ จนเสียความสามารถในการมองเห็น
        
        ต้อหินทุติยภูมิ (Secondary glacoma)
        
        เนื่องจากมีความผิดปกติภายในลูกตาหรืออาจเกิดจากมีโรคทางกายที่ทำให้การไหลของเอเควียสลดลง
        
        ต้อหินแต่กำเนิด (Congenital glacoma)
        
        ต้อที่เกิดจากมี development anormalies
      - อาการและอาการแสดง
        
        ต้อหินระยะเฉียบพลัน
        
        มีอาการปวดศีรษะมาก ปวดตามาก สู้แสงไม่ได้ บางคนมองเห็นแสงสีรุ้งๆรอบดวงไฟ
        
        การรักษา
        
        ต้องรีบรักษาเพื่อลดความดันในลูกตาให้ลงสู่ระดับปกติ
        
        ต้อหินระยะเรื้อรัง
        
        ความดันของลูกตาสูงขึ้นเล็กน้อย บางคนอาจไม่รู้สึกอาการอะไเลย อาจมีมึนศีรษะเล็กน้อย ตาพร่ามัว ลานสายตาจะค่อยๆแคบลง
        
        การรักษา
        
        รักษาเพื่อเพิ่มการไหลออกหรือลดการผลิตน้ำเอเควียส ควบคุมความดันลูกตาให้อยู่ในระดับปกติ พร้อมนัดมาตรวจเป็นระยะๆ
      - ข้อวินิจฉัยการพยาบาล
        
        ขาดความรู้ในการปฏิบัติตัวเมื่อเป็นต้อหิน
        
        เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุเนื่องจากตามัว
        
        ขาดความรู้ก่อนและหลังการยิงเลเซอร์
        
        ผู้ป่วยมีภาวะความดันในลูกตาสูงขึ้น
      - การพยาบาล
        
        อธิบายให้เข้าใจเกี่ยวกับโรคและการรักษา
        
        การเตรียมตัวก่อนการยิงเลเซอร์
        
        หากมีอาการตาแดง น้ำตาไหล ปวดตามาก ตามัวลง หรือตาสู้แสงไม่ได้ ให้มาตรวจก่อนวันนัด
        
        สอนวิธีการหยอดตาอย่างมีประสิทธิภาพ
        
        แนะนำให้ใส่แว่น หลีกเลี่ยงการขยี้ตา หลังทำเลเซอร์
    - - เป็นภาวะแก้วตาขุ่น เป็นผลการเปลี่ยนแปลงโปรตีนภายในแก้วตา ไม่ยอมให้แสงผ่าน ทำให้เกิดอาการตามัว มิงเห็นภาพไม่ชัดเจน
      - สาเหตุ
        
        การเสื่อมตามวัย
        
        ต้อกระจกที่ยังไม่สุก
        
        เป็นระยะที่ตาขุ่นไม่มาก เริ่มขุ่นที่เปลือกหุ้มแก้วตา แต่บริเวณกลางแก้วตายังคงใส
        
        ต้อกระจกที่สุกแล้ว
        
        เป็นระยะที่ตาขุ่นทั้งหมด แก้วตามีความแข็งตัวในขนาดที่พอดี ระยะนี้เหมาะกับการผ่าตัดมากที่สุด
        
        ต้อกระจกที่สุกเกินไป
        
        เป็นต้อกระจกที่สุกมากจนขนาดเลนส์เล็กลงและมีเปลือกหุ้มเลนส์ที่ย่น หากปล่อยทิ้งไว้ตาจะบอดได้
        
        ความผิดปกติโดยกำเนิด
        
        เกิดจากสาเหตุอื่นๆ เช่น เป็นต้อหิน โรคเบาหวาน ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ พิษสารเคมี
      - อาการและอาการแสดง
        
        ตามัวลงช้าๆ โดยไม่รู้สึกเจ็บปวด โดยเฉพาะในที่สว่าง ในที่มืดจะเห็นชัดขึ้น เพราะรูม่านตาขยาย
        
        มองเห็นภาพซ้อน เนื่องจากแก้วตาที่ขุ่น จะทำให้การหักเหของแสงเปลี่ยนไป
        
        ความสามารถในการมองเห็นลดลง รู้สึกว่าสายตาสั้นลง
      - การรักษา
        
        ไม่มีการรักษาด้วยยา จะใช้การผ่าตัดเอาแก้วตาที่ขุ่นออก ซึ่งเรียกว่า ลอกต้อกระจก
        
        ชนิดของการผ่าตัด
        
        Intracapsular cataract extraction (IICE)
        
        การผ่าตัดนำเอาแก้วตาที่ขุ่นพร้อมทั้งเปลือกหุ้มเข้าตาทั้งหมดในเวลาเดียวกัน ผู้ป่วยจะต้องใส่แว่นตาหรือคอนแทคเลนส์
        
        Extracapsular cataract extraction (ECCE)
        
        การผ่าตัดเอาแก้วตาที่ขุ่นออกพร้อมทั้งเปลือกหุ้มเข้าตาด้านหน้า โดยเหลือเปลือกหุ้มแก้วตาด้านหลัง
        
        Phacoemulsification with Intraocular Lens (PE C IOL)
        
        การผ่าตัดต้อกระจกโดยใช้คลื่นเสียงหรืออัลตราซาวด์ที่มีความถี่สูงเข้าไปสลายเนื้อแก้วตาแล้วดูดออกมาทิ้ง แล้วจึงนำแก้วตาเทียมใส่เข้าไปแทน
        
        ข้อดี แผลผ่าตัดเล็ก ระยะพักฟื้นหลังการผ่าตัดสั้นกว่า
        
        ข้อเสีย ต้องอาศัยความชำนาญของแพทย์ ใช้เครื่องมือราคาแพง
      - ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
        
        เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุเนื่องจากตามัว
        
        วิตกกังวลเนื่องจากขาดความรู้เกี่ยวกับขั้นตอนการผ่าตัดและการดูแลตนเองก่อนผ่าตัด
        
        ปวดตา เนื่องจากมีการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อหลังผ่าตัด
        
        เสี่ยงต่อการติดเชื้อ เนื่องจากพร่องความรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติตัวที่ถูกต้อง
      - การพยาบาล
        
        จัดท่านอนไม่ให้นอนทับบริเวณตาที่ได้รับการผ่าตัด
        
        หลีกเลี่ยงการไอจามแรงๆ การก้มศีรษะต่ำกว่าระดับเอว
        
        รับประทานอาหารอ่อน งออาหารแข็งที่ต้องออกแรงเครี้ยว
        
        ห้ามเบ่งถ่ายอุจจาระ
      - การพยาบาลเมื่อกลับบ้าน
        
        ระวังอย่าให่น้ำกระเด็นเข้าตา
        
        ค่อยๆแปรงฟัน ไม่สั่นศีรษะไปมา
        
        หลีกเลี่ยงยกของหนักมากกว่า 5 kg
        
        ไม่ควรใช้สายตานานเกิน 1 ชม.
    - - ภาวะที่เกิดการแยกหรือลอกตัวของชั้นจอประสาทตาด้านในออกจากชั้นของจอประสาทด้านนอก
      - สาเหตุ
        
        มีการเสื่อมของจอประสาทหรือน้ำวุ้นตา
        
        การผ่าตัดเอาแก้วตาออก
        
        การได้รับอุบัติเหตุถูกกระทบกระเทือนบริเวณที่ตา
      - แบ่งเป็น
        
        จอประสาทตาลอกชนิดที่เกิดจากรูหรือรอยฉีกขาดที่จอประสาทตา
        
        จอประสาทตาลอกชนิดที่เกิดจากการดึงรั้ง
        
        จอประสาทตาลอกชนิดไม่มีรูขาดที่จอประสาทตา
      - อาการและอาการแสดง
        
        มีอาการมองเห็นแสงจุดดำหรือเส้นลอยไปลอยมา มองเห็นแสงวูบวาบคล้ายฟ้าแลบ มองเห็นคล้ายม่านบังตา
      - การรักษา
        
        Cryocoagulation
        
        การจี้ด้วยความเย็น บริเวณรอบๆรูหรือรอยฉีกขาดของจอประสาทตา เพื่อช่วยยืดจอประสาทตาให้กลับเข้าที่
        
        การฉีดก๊าซเข้าไปในตา
        
        การผ่าตัดหนุนจอประสาทตา
        
        การผ่าตัดนำวุ้นลูกตา
      - การพยาบาล
        
        ก่อนผ่าตัด
        
        ดูแลให้ผู้ป่วย Absolute bed rest
        
        แนะนำให้ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงขยี้ตา
        
        ให้ข้อมูลเกี่ยวกับโรค แผนการรักษา การผ่าตัด ให้ทราบเพื่อลดความวิตกกัวล
        
        หลังผ่าตัด
        
        ดูแลให้ได้รับการวัดความดันลูกตาจากแพทย์หลังผ่าตัดประมาณ 4-6 ชั่วโมง
        
        ประเมินอาการเริ่มต้นของภาวะความดันลูกตาสูง
        
        ดูแลให้นอนคว่ำหน้าหรือนั่งคว่ำหน้า เพื่อให้อก๊สที่ใส่ไว้ในขณะผ่าตัดไปกดบริเวณจอประสาทตาที่ลอกหลุด
        
        เมื่อกลับบ้าน
        
        ทำความสะอาดใบหน้าโดยใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำบิดหมาดๆเช็ดหน้าเบาๆ (ก่อนเช็ดควรล้างมือให้สะอาด)
        
        หลังผ่าตัด 2 เดือนแรก ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่หักโหม
    - - อันตรายจากสารเคมี
      - อาการ
        
        ปวดแสบปวดร้อนระคายเคื่องตามาก
        
        การมองเห็นลดลง
        
        สายตาสู้แสงไม่ได้
      - การรักษา
        
        รีบล้างตาให้เร็วที่สุด
        
        หากเกิดภาวะ corneal abrasion อาจได้รับการป้ายยา terramycin ointment และปิดตาแน่นไว้ 24 ชั่วโมง และนัดมาประเมินซ้ำ
        
        การรักษาด้วยยาขึ้นกับความรุนแรงที่เกิดขึ้น
        
        การรักษาด้วยการผ่าตัด
      - การพยาบาล
        
        ล้างตา โดยใช้ Normal saline หรือ sterile water โดยใช้เวลาอย่างน้อย 30 นาที
        
        ดูแลบรรเทาอาการปวด และดูแลให้ได้รับยาตามแผนการรักษา
    - - เกิดจากการได้รับบาดเจ็บจากวัตถุไม่มีคมบริเวณตา ทำให้มีการฉีกขาดของเส้นเลือดบริเวณม่านตา ทำให้มีเลือดออกในช่องม่านตา
      - การแบ่งระดับของเลือดที่ออกในช่องม่านตา
        
        Grade 1 มีเลือดออกน้อยกว่า 1/3 ของช่องหน้าม่านตา
        
        Grade 2 มีเลือดออก 1/3 ถึง 1/2 ของช่องหน้าม่านตา
        
        Grade 3 มีเลือดออก 1/2 ถึงเกือบเต็มช่องหน้าม่านตา
        
        Grade 1 มีเลือดออกเต็มช่องหน้าม่านตา
      - ภาวะแทรกซ้อน
        
        Rebleeding
        
        Increase intraocular pressure
        
        Blood stain cornea
      - การรักษา
        
        ให้นอนศีรษะสูงประมาณ 30-45 องศา เพื่อป้องกันการเกิด blood stain
        
        ปิดตาทั้งสองข้าง เพื่อให้ได้ฟักผ่อน ลดโอกาสเกิด rebleeding
        
        อาจได้รับยาสเตียรอยด์หยอด เพื่อป้องกันการเกิด rebleeding
        
        ดูแลให้ได้รับยา Paraceyamol
      - การพยาบาล
        
        แนะนำให้ผู้ป่วยนอนนิ่งๆ ไม่ควรลุกจากเตียงประมาณ 3-5 วัน
        
        ปิดตาทั้ง 2 ข้างที่มีเลือดออกด้วยผ้าปิดจาและที่ครอบตา
        
        เช็ดตาให้ผู้ป่วยทุกวันในตอนเช้า พร้อมทั้งประเมินภาวะเลือดออก
        
        ถ้าผู้ป่วยปวดตา ประเมินอาการปวดตาภายหลังรับประทานยาไปแล้ว 30 นาที
    - - ปัจจัย
        
        ความยาวนานของการเป็นโรคเบาหวาน
        
        การควบคุมระดับน้ำตาล
        
        การมีความผิดปกติที่ไตจากเบาหวาน
        
        ความดันโลหิตสูง
        
        โรคไขมันในเลือดสูง
        
        การตั้งครรภ์
      - อาการและอาการแสดง
        
        ตามัว
      - การรักษา
        
        การยิงเลเซอร์ ทำในกรณีที่จุดรับภาพส่วนกลางบวม
        
        การฉีดยาเข้าในน้ำวุ้นตา ได้แก่ ยากลุ่ม steroid และยากลุ่ม Anti VEGF
        
        การผ่าตัดน้ำวุ้นตา กรณีรุนแรงจนมีเลือดออกในน้ำวุ้นตา
      - การพยาบาล
        
        แนะนำให้ผู้ป่วยควบคุมระดับน้ำตาลให้คงที่
        
        แนะนำให้ได้รับการตรวจจอประสาทตาอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง
        
        ออกกำลังกาย รับประทานยาหรือฉีดยาลดระดับน้ำตาลในเลือดอย่างสม่ำเสมอ
    - - สาเหตุ
        
        เกิดจากการติดเชื้อที่บริเวณกระจกตา
        
        อุบัติเหตุ เช่น ถูกใบอ้อยหรือใบข้าวทิ่มบริเวณกระจกตา
        
        กระจกตามีภูมิต้านทานต่อเชื้อโรคต่ำ
        
        มีความผิดปกติของกระจกตา เช่น โรคขาดวิตามินเอ การแพ้ยา
        
        ตาปิดไม่สนิทขณะหลับ
        
        ความผิดปกติบริเวณหนังตา
        
        โรคทางกายที่ทำให้ภูมิคุ้มกันทั้งร่างกายบกพร่องลง
        
        การใส่เลนส์สัมผัส
      - อาการและอาการแสดง
        
        ปวดตา เคื่องตา กลัวแสง น้ำตาไหล ตาพร่ามัว กระจกตาขุ่น
      - การรักษา
        
        หาเชื้อโรคที่ทำให่เกิดการติดเชื้อ เช่น การขูดเนื้อเยื่อของแผลไปย้อมและเพาะเชื้อ
        
        กำจัดสาเหตุที่ทำให้เกิดแผลบริเวณกระจกตาที่เป็นสาเหตุอื่น
        
        ส่งเสริมให้เกิดการแข็งแรงของร่างกาย เช่น ให้รับประทานวิตามินซี
        
        บรรเทาอาการปวดโดยให้รับประทานยา paracetamol
      - การพยาบาล
        
        แยกเตียง ของใช้ และยาหยอดตาของผู้ป่วยใช้เป็นส่วนตัว เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น
        
        เช็ดตาวันละ 1-2 ครั้ง โดยครอบเฉพาะพลาสติกครอบตา
        
        หยอดตาตามแผนการรักษาอย่างเคร่งครัด
        
        แนะนำให้ผู้ป่วยห้ามขยี้ตา อย่าให้น้ำเข้าตา
        
        ให้ผู้ป่วยได้พักผ่อนและรับประทานอาหารที่เพียงพอ
        
        ตรวจเยี่ยมผู้ป่วยสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันภาวะพรากความรู้สึกในผู้ป่วยที่เหลือตาข้างเดียว