Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลที่มีความผิดปกติทางของ หู และตา - Coggle Diagram
การพยาบาลที่มีความผิดปกติทางของ หู และตา
ตา
กายวิภาคของตา
อวัยวะรับสัมผัสที่เกี่่ยวข้องกับกามองเห็น
ประกอบด้วย
ชั้นกลาง
ม่านตา (irris)
ciliary body
choroid
ชั้นใน
จอประสาทตา (Ratina)
วุ้นตา (vitreous)
แก้วตา (lens)
ชั้นนอก
เปลือกลูกตา (sclera)
กระจกตา (cornea)
ความผิดปกติของดวงตา
ต้อกระจก (Cataract)
สาเหตุ
การเสื่อมตามวัย (Senile cataract) วัยชรา
เกิดจากสาเหตุอื่น ๆ (Secondary cataract)
โดนกระทบกระเทือนอย่างแรงที่ลูกตา หรือโดนของมีคมทิ่มแทงทะลุตาและไปโดยเลนส์ตา
เป็นต้อหิน โรคเบาหวาน ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ พาราไทรอยด์ พิษสารเคมี
ความผิดปกติโดยกำเนิด (Congenital cataract)
ความผิดปกติในการเจริญเติบโตของลูกตาในเด็กทารกแรกเกิด ส่วนมากเป็นกรรมพันธุ์
ระยะของโรค
ต้อกระจกที่ยังไม่สุก (immature cataratc)
ลักษณะแรกการขุ่นของแก้วตาเริ่มที่เปลือกหุ้มแก้วตา (cortex) บริเวณกลางแก้วตา (nucleus) ยังคงใส
ลักษณะที่สอง คือ ทึบตรงส่วนกลางแก้วตา แต่ส่วนรอบ ๆ ยังใส ท าให้ยังคงมองเห็นอยู่บ้าง เมื่อผู้ป่วยปรับตัวได้จะรู้สึกว่าเพียงตามัวลง โดยทั่วไปคิดว่าเป็นอาการที่ปกติของผู้สูงอายุ
ต้อกระจกที่สุกแล้ว (mature cataratc)
เป็นระยะที่ตาขุ่นทั้งหมดแก้วตามีความแข็งตัวในขนาดที่พอดี ความขุ่นของแก้วตากระจายไปทั่วลูก
เมื่อใช้ไฟฉายส่องเฉียง ๆ จะไม่พบเงาม่านตาและวัดสายตาได้ เป็นต้อกระจกที่สุกมากจนขนาดเลนส์เล็กลงและมีเปลือกหุ้มเลนส์ที่ย่น เกิดจากน้ำซึมออกนอกเซลล์ เลนส์แข็งมากขึ้น หากปล่อยทิ้งไว้ตาจะบอดได้ ระยะนี้ทำผ่าตัดค่อนข้างยาก เพราะอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้
ระยะนี้เหมาะสมกับการผ่าตัดมากที่สุด
ต้อกระจกที่สุกเกินไป (hypermature cataract)
เป็นต้อกระจกที่สุกมากจนขนาดเลนส์เล็กลงและมีเปลือกหุ้มเลนส์ที่ย่น เกิดจากน้ำซึมออกนอกเซลล์ เลนส์แข็งมากขึ้น หากปล่อยทิ้งไว้ตาจะบอดได้ ระยะนี้ทำผ่าตัดค่อนข้างยาก เพราะอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้
คือ
เป็นภาวะแก้วตา (Lens) ขุ่น เป็นผลการเปลี่ยนแปลงโปรตีนภายในแก้วตาจากที่มีลักษณะโปร่งใสเหมือนกระจกในภาวะปกติเป็นทึบแสง ไม่ยอมให้แสงผ่าน ทำให้เกิดอาการตามัว มองเห็นภาพไม่ชัดเจน
อาการและอาการแสดง
• ตามัว ลงช้า ๆ โดยไม่รู้สึกเจ็บปวด โดยเฉพาะมีอาการตามัวขึ้นในที่สว่างเนื่องจากในที่มีแสงสว่างรูม่านตาจะเล็กลง ส่วนอยู่ในที่มืดจะเห็นชัดขึ้น เพราะรูม่านตาขยาย
• มองเห็นภาพซ้อน เนื่องจากแก้วตาที่ขุ่นจะท าให้การหักเหของแสง เปลี่ยนไป
• ความสามารถในการมองเห็นลดลง รู้สึกว่าสายตาสั้นลง เพราะการหักเหของแสงที่เปลี่ยนไปจึงทำให้มองได้ชัดเจนในระยะที่ใกล้
• มองผ่านรูม่านตา (pupil) จะเห็นแก้วตาขุ่นเมื่อส่องดูด้วยไฟฉาย
การรักษา
ต้อกระจกไม่มีการรักษาด้วยยา มีวิธีเดียวเท่านั้น คือ การผ่าตัดเอา แก้วตา ที่ขุ่นออก ซึ่งเรียกว่า ลอกต้อกระจก แบ่งเป็น
Intracapsular cataract extraction (IICE)
คือ การผ่าตัดนำแก้วตาที่ขุ่นพร้อมทั้งเปลือกหุ้มเข้าตาทั้งหมดในเวลาเดียวกันการผ่าตัดชนิดนี้มีผลไม่แน่นอน
มีผลต่อสายตาการมองถ้าไม่ใส่เลนส์เข้าไปแทนที่ ผู้ป่วยจะต้องใส่แว่นตา หรือคอนแทคแลนส์หรือใส่แล้วแพทย์วางตำแหน่งไม่ตรงทำให้เกิดสายตาเอียงได้
Extracapsular cataract extraction (ECCE)
คือ การผ่าตัดเอาแก้วตาที่ขุ่นออกพร้อมทั้งเปลือกหุ้มเข้าตาด้านหน้า โดยเหลือเปลือกหุ้มแก้วตาด้านหลัง
Phacoemulsification with Intraocular Lens (PE C IOL)
เป็นการผ่าตัดต้อกระจกโดยใช้คลื่นเสียงหรืออัลตราซาวด์ที่มีความถี่สูงเข้าไปสลายเนื้อแก้วตาแล้วดูดออกมาทิ้ง และจึงนำแก้วตาเทียมใส่เข้าไปแทน
ข้อดีของวิธีนี้ ต่างกับวิธีปกติตรงที่แผลผ่าตัดเล็กกว่า การเกิดสายตาเอียงหลังผ่าตัดน้อยลงระยะพักฟื้นหลังการผ่าตัดสั้นกว่า
ข้อเสีย เนื่องจากเป็นวิธีใหม่ ดังนั้นต้องอาศัยความชำนาญของแพทย์ต้องใช้เครื่องมือราคาแพง และต้องใช้สารหล่อลื่น ช่วยในระหว่างผ่าตัดมิฉะนั้นเครื่องอัลตราซาวด์อาจสั่นไป ทำลายกระจกตาได้
การพยาบาล
หลังการผ่าตัด
• จัดท่านอนให้ผู้ป่วยไม่นอนทับบริเวณตาที่ได้รับการผ่าตัด
• หลีกเลี่ยงการไอจามแรง ๆ การก้มศีรษะต่ำกว่าระดับเอว
• การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยทุกครั้งต้องระมัดระวังการกระทบกระเทือนบริเวณดวงตาและศีรษะ
• รับประทานอาหารอ่อนงดอาหารแข็งเหนียวที่ต้องออกแรงเคี้ยวจนกว่าแผลจะหายประมาณ 2 สัปดาห์
• ห้ามเบ่งถ่ายอุจจาระ
เมื่อกลับบ้าน
• ระวังอย่าให้น้ำกระเด็นเข้าตา
• ค่อย ๆ แปรงฟันไม่สั่นศีรษะไปมา
• หลีกเลี่ยงอาหารแข็ง เหนียวที่ต้องออกแรงเคี้ยวมาก ไม่ควรท้องผูก
• หลีกเลี่ยงยกของหนักมากกว่า 5 kg
• ไม่ควรใช้สายตานานเกิน 1 ชั่วโมง
• เน้นกลางคืนปิดฝาครอบตา กลางวันใส่แว่นตาสีชาหรือสีดำ
จอประสาทตาลอก (Retinal detachment)
สาเหตุ
1.มีการเสื่อมของจอประสาทหรือน้ำวุ้นตา (vitreous)
2.การผ่าตัดเอาแก้วตาออกชนิด intracapsular cataract extractionได้ถึงร้อยละ 10-20
3.การได้รับอุบัติเหตุถูกกระทบกระเทือนบริเวณที่ตา หรือของแหลมทิ่มแทงเข้าตาถึงชั้นของจอประสาทตา
อาการและอาการแสดง
มีอาการมองเห็นแสงจุดดำหรือเส้นลอยไปลอยมา (floater)
มองเห็นแสงวูบวาบคล้ายฟ้าแลบ (flashes of light)
มองเห็นคล้ายม่านบังตา (scotoma)
หากมีการหลุดลอกบริเวณจุดรับภาพ (macula) การมองเห็นก็จะเลวลง ผู้ป่วยจะมีอาการตามัวร่วมด้วย
แบ่งเป็น 3 ชนิด ได้แก่
1.จอประสาทตาลอกชนิดที่เกิดจากรูหรือรอยฉีกขาดที่จอประสาทตา(Rhegmatogenous retinal detachment)
2.จอประสาทตาลอกชนิดที่เกิดจากการดึงรั้ง (Tractional retinaldetachment)
3.จอประสาทตาลอกชนิดไม่มีรูขาดที่จอประสาทตา (Non-rhegmatogenous retinal detachment or exudative retinaldetachment)
การรักษา
แบ่งเป็น
• Cryocoagulation (การจี้ด้วยความเย็น) บริเวณรอบ ๆ รูหรือรอยฉีกขาดของจอประสาทตา เพื่อช่วยยืดให้จอประสาทตากลับเข้าที่ ซึ่งวิธีการชนิดนี้จะทำเมื่อจอประสาทตาฉีกขาดเป็นรู
• การฉีดก๊าซเข้าไปในตา (Pneumatic retinopexy) เป็นวิธีการฉีดก๊าซเข้าไปในช่องน้ำวุ้นลูกตาเพื่อดันให้จอประสาทตาที่หลุดลอกกลับเข้าไปติดที่เดิม
• การผ่าตัดหนุนจอประสาทตา (Scleral buckling) เป็นการใช้วัสดุหรือยางเพื่อหนุนตาขาวให้เข้าไปติดจอประสาทตาที่หลุดลอก
หากพบว่ามองเห็นแสงวาบคล้ายฟ้าแลบหรือแสงแฟลชถ่ายรูป ควรรีบพบจักษุแพทย์เพื่อทำการรักษา
คือ
ภาวะที่เกิดการแยกหรือลอกตัวของชั้นจอประสาทตาด้านใน(neurosensory retina) ออกจากชั้นของจอประสาทตาด้านนอก (retinalpigment epithelium)
การพยาบาล
1.ระยะก่อนผ่าตัด
-ดูแลให้ผู้ป่วย Absolute bed rest
-แนะนำผู้ป่วยหลีกเลี่ยงขยี้ตา ส่ายศีรษะและใบหน้าแรง การอาเจียน
-แนะนำผู้ป่วยห้ามก้มหน้า
-ให้ข้อมูลเกี่ยวกับโรค แผนการรักษา การผ่าตัด ให้ผู้ป่วยทราบเพื่อลดความวิตกกังวล
2.ระยะหลังผ่าตัด
-เน้นการประเมินและป้องกันอาการเริ่มต้นของความดันลูกตาสูง
-ดูแลให้ได้รับการวัดความดันลูกตาจากแพทย์หลังผ่าตัดประมาณ 4-6 ชั่วโมง
-ประเมินอาการเริ่มต้นของภาวะความดันลูกตาสูง ได้แก่ มีอาการปวดและรับประทานยาแล้วไม่ทุเลาลง
-ดูแลให้นอนคว่ำหน้าหรือนั่งคว่ำหน้าให้ได้อย่างน้อยวันละ 16ชั่วโมงเพื่อให้แก๊สที่ใส่ไว้ในขณะผ่าตัดไปกดบริเวณจอประสาทตาที่ลอกหลุดซึ่งจะช่วยให้จอประสาทตาติดกลับเข้าที่ได้
-ในผู้ป่วยที่ต้องมาฉีดแก๊สหลายๆ ครั้ง ผู้ป่วยอาจมีความท้อแท้หรือมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับการมองเห็น ควรให้การสนับสนุนด้านกำลังใจและให้ข้อมูลเกี่ยวกับแผนการรักษาเป็นระยะ
-ดูแลให้รับประทานอาหารอ่อนเพื่อป้องกันการกระทบกระเทือนจากการออกแรงเคี้ยวอาหาร
-ประเมินอาการท้องผูก
ต้อหิน (Glaucoma)
สาเหตุ
มีการคั่งของน้ำเอเควียสจากโครงสร้างตาที่ผิดปกติ
ความผิดปกติของ trabecular meshwork ตั้งแต่กำเนิด
มีความเสื่อมของเนื้อเยื่อภายในลูกตา
มีต้อกระจกสุก หรือต้อกระจกสุกงอม
การใช้ยาที่มีสารฮอร์โมนพวกคอร์ติโคสเตียรอยด์ติดต่อเป็นเวลานาน
ชนิดและอาการของโรคต้อหิน
แบ่งออกเป็น 3 ชนิด
• 1. ต้อหินปฐมภูมิ (Primary glacoma)
ต้อหินชนิดมุมเปิด (open – angle glacoma)
เกิดความผิดปกติของทางเดินน้ำเลี้ยงภายในลูกตา
การตีบแคบของท่อให้การระบายน้ำเลี้ยงภายในลูกตาลดลง
ในขณะที่การสร้างน้ำเลี้ยงภายในลูก ตามีปริมาณเท่าเดิม ทำให้ความดันในลูกตาสูงขึ้นทีละน้อย
เกิดการทำลาย ประสาทตา เกิดขึ้นช้า ๆ โดยแทบไม่มีอาการปวดตา จึงสูญเสียลานสายตาทีละน้อย จนกระทั้งเสียความสามารถในการมองเห็น
ต้อหินชนิดมุมปิด (angle – closure glacoma)
เมื่อมีการตีบแคบของ trabecular meshwork ที่เป็นทางระบายน้ำเลี้ยงลูกตา
ทำให้การระบายน้ำเลี้ยงในลูกตาลดลงทำให้มีแรงกดภายในลูกตาโดยเฉพาะบริเวณขั้วประสาทตา (optic disc)
มีการทำลายของประสาทตาอย่างรวดเร็ว จอประสาทตาขาดเลือด สูญเสียการมองเห็น ปวดตามาก
• 2. ต้อหินทุติยภูมิ (Secondary glacoma)
เป็นต้อหินที่เกิดขึ้น เนื่องจากมีความผิดปกติภายในลูกตาหรืออาจเกิดจากมีโรคทางกายที่ทำให้การไหลของเอเควียสลดลง
• 3. ต้อหินแต่กำเนิด (Congenital glacoma)
ต้อที่เกิดจากมีdevelopment anormalies โดยชนิดการเกิดต้อนั้น อาจเป็นแบบเฉียบพลันหรือเรื้อรัง
คือ
กลุ่มโรคที่มีลักษณะร่วม ได้แก่
มีความดันในลูฏตา
ค่าปกติจะอยู่ที่ 10-20 mmHg
มีขั้วตาผิดปกติ
สูญเสียลานสายตา
อาการและอาการแสดง
ต้อหินระยะเฉียบพลัน
มีอาการปวดศีรษะมาก
ปวดตามากสู้แสงไม่ได้
ตามัวลงคล้ายหมอกมาบัง บางคนมองเห็นแสงสีรุ้งรอบ ๆ ดวงไฟเนื่องจากมีน้ำเข้าแทรกอยู่ในกระจกตา
ต้อหินระยะเรื้อรัง
ความดันของลูกตาสูงขึ้นเล็กน้อย ผู้ป่วยอาจไม่รู้สึกอาการอะไรเลย
บางคนรู้สึกมึนศีรษะ ตาพร่ามัว รู้สึกเพลียตา ไม่มีอาการปวด ไม่มีการเปลี่ยนแปลงของลานสายตา
ลานสายตาจะค่อย ๆ แคบลง
การพยาบาลผู้ป่วยต้อหิน
• อธิบายให้เข้าใจเกี่ยวกับโรคและการรักษา
• การเตรียมตัวก่อนการยิงเลเซอร์ เวลายิงจะไม่รู้สึกเจ็บภายใน 24 ชั่วโมงแรก หลังยิงเลเซอร์อาจมีอาการปวดศีรษะหรือตามัวลงเล็กน้อย
• หากมีอาการ ตาแดง น้ าตาไหล ปวดตามาก ตามัวลง หรือตาสู้แสงไม่ได้ให้มาตรวจก่อนวันนัด
• สอนวิธีการหยอดตาอย่างมีประสิทธิภาพ
• แนะน าให้ใส่แว่น หลีกเลี่ยงการขยี้ตา หลังท าเลเซอร์
หู
กายวิภาคของหู
หูชั้นกลาง
ประกอบด้วยกระดูก 3 ชัิ้น
กระดูกทัั่ง (incus)
กระดูกค้อน (melleous)
กระดูกโกลน (steps)
เป็นโพรงอากาศที่อยู่ระหว่างแก้วหูกับหูชั้ใน
หูชั้นใน
แบ่งเป็ย
membranous labyrinth
คือท่อที่อยู่ภายใน bony labyrinth
bony labyrinth
เป็นส่วนของกระดูกรูปก้นหอย
อยู่ภายในส่วนของของ petrous ของกระดูก temporal เป็นที่อยู่ของอวัยวะรับเสียงและอวัยวะที่เกี่ยวกับการทรงตัว
หูชั้นนอก
ประกอบด้วย
รููหู (external auditory canal )
มีควมายาว 2.5 ซ.ม. มีลักษณะคดเป็นรูปตัว s
ในเด็กช่องหูจะเอียงขึ้นเล็กน้อย
ในผู้ใหญ่ชองหูจะเอียงไปด้านหน้าและด้านล่างล็กน้อย
แก้วหู (ear drum)
ประกอบด้วยเนื้อเยอื่ 3 ชั้น
fibrous layer
mucous layer
epithelium layer
มีการวางตัวเอียงไปด้านหน้าเล็กน้อย
ใบหู (auricle )
ทำหนา้ที่รวบรมคลื่นเสียงและส่งผ่านเข้าไปยังส่วนของหูชั้นนนอกต่อไป
กลไกการได้ยิน
การได้ยินเสียงผ่านอากาศ (air conduction pathway)
เสี่ยงจะเริ่มจากใบหู ซึ่งจะป้องให้เสียงผ่านผ่านเข้าไปในรูหูไปกรัทบแก้วหู ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนไปตามกระดูกหูทั้ง 3ชิ้น แล้วผ่าน ear drum เข้าไปยังหูชั้นใน
โดยธรรมชาติจะได้ยินดีกว่าการได้ผ่านทางกระดูก
การได้ยินเสียงผ่านกระดูก (bone conduction pathway)
เสียงจากการสั่นของกระดูกจัวิ่งผ่านกระดูก มาสตอยด์ เข้าไปถึงหูชั้นในบริเวณ cochlea
การตรวจวินิจฉัยควาผิดปกติของหู
การซักประวัติ
อาการหูอื้อได้ยินเสียงลดลง
มีเสียงดังในหุ
มีของเหลวไหลจากหู
มีอาการเวียนศีรษะ
อาการปวดหู
การตรวจร่างกาย
การตรวจหูภายนอก
ตรวจหลังหูหลังผ่านการดู คลำว่ามีการบวม แดง เป็นฝีหรือมีถุงน้ำหรือไม่
การตรวจช่องหู (otoscopy)
ตรวจด้วยไม้พันสำลี
ค่อยแต่ลงไปในในช่องหูทั่งส่วนกระดูกและกระดูกออ่อน ถ้ามีการเจ็บจะส่งชิ้นเนื้อตรวจต่อไป
ตรวจดูเยื่อแก้วหู
ตรวจดูวามีสีอะไร มีรอยหรือไม่ มีแผลหรือมีการทะลุหรือไม่
ตรวจดู light reflex ถ้ามีการทะลุจะมลมผ่านออกมา ถ้ามีหนองหนองจะไหลออกมา
เมื่อตรวจหูไม่พบควมผิดปกติให้ตรวจคอและศีรษะด้วย
การตรวจช่องปาก ดูเหงือกและฟัน
ตรวจหูขณะเคียวอาหาร ว่ามีการปวดหรือไม่
ตรวจช่องจมูกว่ามีไวนัสอักเสบหรือไม่
ตรวจช่องคอทั้ง 3 ส่วน กล่องเวียงและหลอดลม
ตรวจดูต่อมน้ำเหลืองและใบหน้าว่าบวมโตหรือไม่
การตรวจพิเศษอื่นๆ
การถ่ายภาพรังสี การทำแสกนคอหุจมูก เพื่อแยกโรค
การนัดตรวจซ้ำ
การตรวจพิเศษด้วยเครื่องมือ
การทดสอบการได้ยิน
tuning fork test
การตรวจโดยใช้ส้อมเสียง
rine test
แปลผล
rine test negative คือได้ยินข้างหลังหูดีกว่าหน้าหู (BC > AC)
false negative rine จะมี (BC > AC)
rine test possitive คือได้ยินข้างหน้าหูดีกว่าหลังหู (AC > BC)
ตรวจเพื่อวินิจผู้ป่วยที่มีปัญหาการนำเสียงบกพร่อง หรือการตรวจการได้ผินผ่านทางกระดูก
weber test
แปลผล
ถ้ามีระบบนำเสียงบกพร้่อง ข้างที่มีปัญหาจะได้ยินชัดเจนกว่า
ถ้ามีระบบประสาทรับเสียงบกพร่อง ข้างที่ดีจะได้ยินชัดเจนกว่า
ถ้าคนปกติจะได้ยินเท่ากนทั้ง 2 ข้าง
เป็นการคัดกรองเพื่อจำแนกประเภทของการสูญเสียการได้ยิน
audiometry
การตรวจการได้ยินชนิดไฟฟ้า
การตรวจโดยใช้คำพูด (Speech audiometry)
speech reception threshold
ตรวจระดับเสียงที่ต่ำที่สุกที่ผู้ป่วยสามารถเข้าใจเป็นคำพูดได้ ส่วนมากนิยมใช้คำที่ผู้ป่วยคุ้นเคย ใช้คำสองพยางค์
speech discrimination
การตรวจประสิทธิภาพของหูในการฟัง การแยกแยะเสียง และเข้าใจความหมายของตำพูด ใช้คำพยางค์เดียว
การรตวจ Vestibular function test
gait test
ให้เดินตามแนวเส้นตรงจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง
Unterberger's test
ทำเหมือนกับ Romberg's test แต่ยื่นมือไปข้างหน้าและหลับตาย่ำซอยเท้าอยู่กับที่
Romberg's test
การยืนตัวตรง ส้นเท้าปลายเท้าชิดมองตรง
การตรวสดู nystagmus
คืออาการตากระตุกโดยการทำ head shakink
เป็นการสั่นศีรษะผู้ป่วยมในแนวระบนาบประมาณ 20 ครั้ง
การสูญเสียการได้ยิน
หมายถึง
ภาวะที่มีความบกพร่องของการในกลไกการได้ยินทำให้ผู้ป่วยมีปัญหาหารฟัง หูอื้อ ได้ยินไม่ชัด หรือมีเสียงดังในหู พบได้ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวัยชรา
ประเภทของการสูญเสียการได้ยิน
การสูญเสียการได้ยินแบบการนำทางเสียงผ่านอาการบกพร่อง( CHL)
เกิดจากความผิดปกติของหูชั้นนอก เยื่อแก้วหูและหูชั้นกลาง ทำให้มีความผิดปกในการส่งผ่านคลื่นเสียงไปยังหูชั้นใน
การสูญเสียการได้ยินแบบประสาทหูเสื่อม (SNHL)
เกิดจากความิดปกในอวัยวะรูปหอยโข่งในหูชั้นใน ตรงส่วนของเซลล์ประสาทรับเสียง
ที่พบบ่อยคือ Outlet hair cell หรือความผิดปกติที่เส้นประสาทการได้ยินเสียง
การรับฟังเสียงบกพร่องแบบผสม (mixed hearing loss)
เกิดจากความผิดปกติในการนำเสียงร่วมกับประสาทรับเสยงบกพร่อง พบได้ในโรคที่มีปํยหาหูชั้นกลาและชั้นในร่วมกัน
ความบกพร่องที่สมองส่วนกลาง (central hearing loss)
เกิดจากคสามผิดปกติของสมองโดยเฉพาะ ทำให้ผู้ป่วยไม่สามรถแปลความหมายของสัญญาณนั้นได้
สาเหตุของการสูญเสียการได้ยิน
ประสาทหูเสื่อม (SNHL)
แบ่งเป็น
ประสาทหูเสื่อมแต่กำเนิด
ประสาทหูเสื่อมภายหลัง
พบในคนชรา หรือคนที่ได้รับเสียงดังมากๆ
อาจพบได้ในกลุ่มที่ใช้ยา Aminoglycoside , salicylate , diuretics
การติดเชื้อมในหูชั้นใน น้ำไขสันหลัง การติดเชื้อหูชั้นกลาง
การนำเสียงทางอากาศบกพร่อง (CHL)
เกิดจากโรคเกี่ยวกับการหูทั้ง 3 ชั้น
การวินิจฉัย
การซักประวัติ
อาการร่วม
ปวดหุ น้ำออกหู คันหุ มีเสียงดังในหู เวียนหัวบ้านหมุน มีอาการผิดปกติของระบบประสาทที่ช่วยในการบอกต้ำปหน่ง
ประวัติในอดีต
การใช้ยาที่มีพิษต่อหู อุบัติเหตุที่ศีรษะ การผ่าตัดใบหู การได้ยินเสียงดังมากเกินไป ประวัติบุคคลในครอบครัวมีหูหนวก
อาการนำ
หูอื้อ ได้ยินเสียงใน การได้บินลดลง
การตรวจร่างกาย
การตรวจระบบประสาท
กรณีสงสัยโรคของระบบประสาทหรือสมอง
การตรวจการได้ยินด้วยส้อมเสียง
เพื่อแยกโรคหูชั้นใน ชั้นกลาง หรือเส้นประสาทในหูผู้ป่วยทีมีปัยหาการได้ยินไม่ตรวจไม่พบควาสมผิดปกตอของหูชั้นนอกและเยื่อแก้วหู
การตรวจร่างกายหู คอ จมูก
การส่องกล้องดูหู