Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
หลักการพยาบาลผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพดีและที่มีปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับความผิดปกติขอ…
หลักการพยาบาลผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพดีและที่มีปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับความผิดปกติของอวัยวะสืบพันธุ์และเพศสัมพันธ์
Infection
ตกขาว
สิ่งที่ถูกขับออกมาทางช่องคลอดที่ไม่ใช่เลือด ไม่จำเป็นต้องเป็นสีขาว เป็นอาการที่นำผู้ป่วยมาตรวจทางนรีเวชบ่อยที่สุด
ตกขาวแบ่งเป็น2 ประเภท
ตกขาวปกติ
สีขาวเนื้อหยาบมักไม่มีกลิ่น
ตกขาวผิดปกติ
อักเสบติดเชื้อ แพ้สารเคมี
เนื้องอก ก้อนทูมหรือมะเร็งโดยตกขาวจะมีลักษณะขาวปนเหลือง
ตำแหน่งที่มีการอักเสบ
บริเวณปากช่องคลอด
เกิดจากเชื้อเฉพาะโรค (Specific Infection) เช่น หนองใน ไวรัส
ซิฟิลิส (syphilis) เป็นต้น
เกิดจากเชื้อทั่วไป (Non-specific Infection) การอักเสบของบริเวณปากช่องคลอดนี้มักจะเกิดร่วมกับอาการถ่ายปัสสาวะเจ็บแสบ
ผนังช่องคลอด
เกิดขึ้นจากเชื้อเฉพาะโรค (Specific Infection)
Bactrial vaginalis (BV) พบได้ประมาณ 50%
Trichomonas vaginalis พบได้ประมาณ 25%
Candida albican/monilia พบได้ประมาณ 25%
เกิดจากเชื้อทั่วไป (Non-specific Infection) เกิดจากการติด
เชื้อแบคทีเรียหลายชนิดร่วมกัน
การวินิจฉัย
ประวัติทั่วไป อายุ อาชีพ การศึกษา สถานภาพ
สมรส ฐานะความเป็นอยู่
ประวัติเฉพาะ ตกขาว ปริมาณ ลักษณะ กลิ่นความสัมพันธ์กับรอบประจำเดือน อาการร่วม
พฤติกรรมอื่นๆ เช่น พฤติกรรมการขับถ่ายทั้งอุจจาระและปัสสาวะ พฤติกรรมการมีเพศสัมพันธ์ การสวนล้างช่องคลอด
การตรวจร่างกายและการตรวจภายใน
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การตรวจวัด pH ของช่องคลอด
pH > 5.0 อาจจะเป็น bacterial
vaginosis หรือ trichomonasis หรือ atrophic vaginitis
pH < 4.5 อาจเป็นตกขาวปกติ หรือ fungal
infection
Wet smear เก็บตัวอย่างของตกขาวเพื่อตรวจหาเชื้อ
Trichomonas vaginalis, Clue cell
Whiff test (Amine test)
Trichomonas vaginalis
ตกขาวมาก สีเขียวปนเหลือง กลิ่นเหม็นมีฟองคัน
พบปากมดลูกมีจุดเลือดออกเป็นหย่อมๆ
เรียกว่า Strawberry cervix
ทำ wet smear นำตกขาวไปตรวจพบ
Fungal infection
เชื้อ Candida albicans พบ 80-90%
ปัจจัย
ท้อง DM ใช้ Antibiotic drug ยาคุมกำเนิด สเตียรอยด์
เพศสัมพันธ์ เสื้อผ้า
คัน ตกขาวข้นขาวคล้ายตะกอนนม (curd-like
discharge) เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์
Bacterial vaginalis
เชื้อGardnerella vaginalis
ตกขาวมีกลิ่นเหม็นคล้ายปลาเน่า (fishy) หรือกลิ่นอับ (musty) โดยเฉพาะหลังการมีเพศสัมพันธ์ สีขาวปนเทา ไม่มีฟอง
วินิจฉัย
นำมูก/ตกขาวไปตรวจ จะพบ pH >5
ทำ Whiff
test ได้ผลบวก (positive)
ทำ wet smear พบ G. vaginalis
เชื้อ anaerobes จำนวนมากและไม่พบ Lactobacillus
เลย
การรักษา
ยารับประทาน
Metronidazole 500 mg
Metronidazole 2 gm
ยาเหน็บ
Metronidazole 500 mg
Metronidazole gel 0.75%
Clindamycin cream 2%
หนองใน
สาเหตุ Neisseria gonorrhea
อาการและอาการแสดง
ปัสสาวะ
แสบขัด ปัสสาวะลำบาก
มีหนองไหลออกมาจากท่อปัสสาวะ
คันบริเวณปากช่องคลอด (pruritus vulva)
ปวดท้องน้อย
การวินิจฉัย
การย้อมสี gram stain
การเพาะเชื้อ
การตรวจหาหน่วยทางพันธุกรรม
การตรวจภายใน
อาจพบการอักเสบหรือ
หนองบริเวณปากมดลูก
หากมีการติดเชื้อรุนแรงมากขึ้นอาจลุกลามทำให้เกิดการติดเชื้อในอุ้งเชิงกรานเฉียบพลัน
อาจเกิดถุงหนองบริเวณท่อนำไข่และรังไข่ (Tubo-ovarian abcess; TOA)
การรักษา
Ciprofloxacin 500 mg
Norfloxacin 800 mg
เริม
อาการ
ผู้ป่วยโรคเริมอาจแสดงอาการ หรือไม่แสดงออกมาเลยก็ได้ โดยเชื้อไวรัสจะเข้าไปสะสมอยู่ทางผิวหนัง และปมประสาท โดยสามารถเกิดขึ้นได้หลายตำแหน่งบนร่างกาย
ช่องคลอด
ทวารหนัก
อวัยวะเพศทั้งหญิง และชาย
ในผู้ชายอาจขึ้นที่หนังหุ้มปลายองคชาต ที่ตัว หรือที่ปลายองคชาต ถุงอัณฑะ ต้นขา ก้น รอบทวารหนัก หรือในท่อปัสสาวะ ส่วนผู้หญิงอาจขึ้นที่ปากช่องคลอด ก้น รอบทวารหนัก ในช่องคลอด หรือที่ปากมดลูก
ดยผื่นตุ่มจะมีลักษณะเป็นตุ่มนูน ตุ่มน้ำ หรือแผลแดง ๆ คล้ายรอยถลอก อาจมีอาการเจ็บหรือคัน
ถ้าเป็นการติดเชื้อครั้งแรก จะมีระยะฟักตัวของโรคคือตั้งแต่ได้เชื้อจนกระทั่งแสดงอาการประมาณ 2-10 วัน
ริมฝีปาก
เป็นอาการที่พบได้บ่อยที่สุดของการติดเชื้อไวรัสเริมชนิดที่ 1 เป็นครั้งแรก พบได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่
มีระยะฟักตัวของโรคประมาณ 2-3 วัน หรืออาจนานถึง 20 วัน
ผู้ป่วยบางรายอาจเกิดแผลเปื่อยในช่องปาก เรียกว่า "เริมในช่องปากชนิดเป็นซ้ำ" (Recurrent intraoral herpes simplex)
การรักษา
การรักษาโรคเริมโดยหลักๆ คือ การรับยาต้านไวรัส ยาแก้ปวด ร่วมกับดูแลตนเองให้เหมาะสม โรคนี้ไม่มีการรักษาให้หายขาด เพราะเชื้อจะอยู่ในร่างกายของคุณไปตลอดชีวิต
ยาต้านไวรัสที่ช่วยรักษาโรคเริมจะออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อไวรัส herpes มีทั้งแบบรับประทาน และครีมทาที่ผิวหนัง โดยยาที่นิยมใช้
Zovirax (acyclovir)
Famvir (famciclovir)
Valtrex (valacyclovir)
Abreva (docosanol)
การรักษาด้วยการดูเเลตัวเออง
รับประทานอะไรก็ได้ที่เป็นของเย็น เช่น ไอศกรีมแท่ง น้ำเย็น
ประคบเย็น หรือร้อนด้วยผ้าสะอาดลงบนบริเวณที่ปวด
ทำความสะอาดตุ่มน้ำเบาๆ ด้วยสบู่ฆ่าเชื้อ และน้ำเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของไวรัสไปสู่ส่วนอื่นๆ ของร่างกาย
หลีกเลี่ยงอาหารร้อน ผลไม้รสเปรี้ยว อาหารรสเผ็ด หรือเค็ม (อาหารเหล่านี้สามารถทำให้รู้สึกแสบร้อนได้ หากโดนที่ตุ่มน้ำ)
การติดเชื้อ
ระยะการฟักตัวของโรคเริมอยู่ที่ประมาณ 4-5 วัน หากผู้ป่วยติดเชื้อครั้งแรก จะมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัว อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามตัว ต่อมาจะเริ่มมีรอยโรคเป็นตุ่มใสที่อวัยวะเพศ
จากนั้นตุ่มจะแตก มีน้ำสีเหลืองข้นคล้ายน้ำหนองอยู่ด้านบนร่วมกับมีอาการเจ็บแสบ โดยอาจเป็นบริเวณอวัยวะเพศขณะปัสสาวะ เพราะน้ำปัสสาวะไปโดนแผล ระยะเวลาของอาการอยู่ที่ 4-6 สัปดาห์
หลังจากนั้นอาการดังกล่าวอาจกลับมาเป็นซ้ำอีกครั้งแต่อาจไม่รุนแรงมาก และจะหายไปใน 1 สัปดาห์ โดยปัจจัยที่ทำให้อาการกลับมาเป็นซ้ำได้ ได้เเก่
การติดเชื้อไวรัส หรือเป็นไข้
มีการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน (มักเกี่ยวข้องกับการมีประจำเดือนในผู้หญิง)
รอยถลอกขีดข่วน
ความเครียด
วิธีการป้องกัน
การใช้ถุงยางอนามัยทุกรั้งที่มีเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะถุงยางอนามัยสำหรับสตรีซึ่งพบว่า สามารถป้องกันได้มากกว่าถุงยางอนามัยสำหรับบุรุษ แต่ก็ยังไม่สามารถป้องกันการติดต่อได้ทั้งหมด
การใช้ยาต้านไวรัส ช่วยป้องกันการแพร่กระจายเชื้อได้บ้าง
หลีกเลี่ยงการสัมผัสแผล น้ำลาย หรือสารคัดหลั่งของผู้ป่วย
งดการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าแผลจะหายสนิท (ระยะแพร่เชื้อคือ ตั้งแต่มีอาการนำจนถึงแผลตกสะเก็ด)
สำหรับผู้ที่เคยเป็นเริมแล้ว ควรหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นต่างๆ ที่อาจก่อให้เกิดโรคซ้ำ
ความหมาย
โรคผิวหนังผิวหนังที่เกิดจากเชื้อไวรัสชื่อ “Herpes Simplex” ซึ่งมีอยู่ 2 สายพันธุ์
Herpes Simplex Virus ชนิดที่ 1 (HSV-1)
Herpes Simplex Virus ชนิดที่ 2 (HSV-2)
ภาวะเเทรกซ้อนของเริม
ตุ่มหรือแผลกลายเป็นหนองพุพองจากการอักเสบซ้ำของเชื้อแบคทีเรีย
ถ้าาเริมขึ้นที่ตาอาจทำให้กระจกตาอักเสบ (Keratitis) ถึงกับทำให้สายตาพิการได้
ในเด็กที่เป็นเริมในช่องปากอาจมีภาวะขาดน้ำ เนื่องจากดื่มนมและน้ำไม่ได้
เอดส์ (HIV / AIDS)
สาเหตุ
เกิดจากเชื้อ Human Immunodeficiency virus
อาการและอาการแสดง
มีไข้ที่กลับมาเป็นซ้ำๆ ปวดเมื่อย ออนเพลีย
เหงื่อออกตอนกลางคืน
น้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว
ผื่นตามผิวหนัง ต่อมน้ำเหลืองโต
สามารถเสียชีวิตได้จากเชื้อฉวยโอกาส
การวินิจฉัย
การตรวจเลือด หา Antibody ต่อ HIV
การรักษา
ยังไม่มีการรักษาที่หายขาด
รักษาโดยใช้ยาต้านไวรัส อย่างน้อย 3 ชนิดรวมกัน
ทานยาตรงเวลาทุกวันและต่อเนื่องตลอดชีวิด
ยามีผลข้างเคียง ซึ่งจะต้องตรวจเลือดทุก 6 เดือน เพื่อติดตามผล
การติดต่อ
สัมผัสเลือด น้ำอสุจิ ของเหลวจากช่องคลอด น้ำนมแม่
การมีเพศสัมพันธุ์ และการส่งผ่านระหว่างแม่สู่ลูกจากการตั้งครรภ์ การใช้เข็มฉีดยาร่ววมกัน
ระยะ
ระยะติดเชื้อเฉียบพลัน
เป็นระยะที่รับเชื้อมาใหม่ๆ
บางรายมีอาการคล้ายหวัด บางรายไม่แสดงอาการ
ระยะไม่ปรากฎอาการ
เป็นระยะที่ไม่มีอาการผิดปกติใดๆ
เป็นระยะที่มีการแพร่เชื้อได้ง่าย (ไม่รู้ว่าตนเองเป็นแล้ว)
ติดต่อโดยมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ได้ป้องกัน
ระยะเอดส์
ภูมิคุ้มกันร่างกายถูกทำลายลงไปมาก
ทราบได้จากการตรวจร่างกาย เม็ดเลือดขาวขนิด CD4 ลดลง
มักมาพบแพทย์ด้วยโรคติดเชื้อฉวยโอกาส
เชื้อราในปอด วัณโรค
เชื้อราขื้นสมอง
ระยะมีอาการ
เริ่มมีฝ้าขาวในปาก มีตุ่มขึ้นตามแขนขา
มีไข้เรื้อรัง / ท้องเสียมากกว่า 2 สัปดาห์
น้ำหนักลดมากกว่าร้อยละ 10
การป้องกัน
การตรวจเลือดคู่สมรสก่อนแต่งงานหรือมีบุตร
การใช้ถุงยางอนามัยขณะมีเพศสัมพันธ์
การไม่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน
การให้ความรู้ด้านสุขศึกษาและสร้างทัศนคติกับการมีเพศสัมพันธ์
การทานยาต้านไวรัสเป็นประจำและตรงเวลาทุกวัน
PID
คือ
ภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ (Pelvic inflammatory disease/ PID) หมายถึง ภาวะที่มีการติดเชื้อในระบบสืบพันธุ์เพศหญิงส่วนบน อันได้แก่ มดลูก (endometritis) ท่อนำไข่ (salpingitis) รังไข่ (oophoritis) และเยื่อบุช่องท้องในอุ้งเชิงกราน (pelvic peritonitis)
เชื้อที่ทำให้เกิด
Sexual transmitted organism
Non-sexual transmitted organism
ปัจจัยเสี่ยง
การมีคู่นอนหลายคน (Multiple sexual partner)
การที่คู่นอนมีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STI in partner)
อายุ (Age)
ประวัติภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบในอดีต (Previous PID)
การใส่ห่วงคุมกำเนิด (Intrauterine device/ IUD)
ปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้เกิดความไม่สมดุลของเชื้อประจำถิ่นในช่องคลอด เช่นการติดเชื้อ
อาการ
ไข้สูง
ตกขาวเป็นหนอง
มี peritoneal signs
กดเจ็บที่หน้าท้อง
คลื่นไส้อาเจียน
การรักษา
ยาฉีด
Cefotetan 2 gm IV q 12 hr หรือ Cefoxitin 2 gm IV q 6 hr
Clindamycin 900 mg IV q 8 hr ร่วมกับ Gentamycin 50 mg IV หรือ IM
Ofloxacin 400 mg IV q 12 hr
Levofloxacin 500 mg IV OD
Methronidazole 500 mg IV q 8 hr
Ampiciline 3 gm IV q 6 hr
การพยาบาล
ให้คำแนะนำในการรักษาสุขอนามัยของอวัยวะสืบพันธุ์สตรี
การทำความสะอาดอวัยวะเพศภายนอกด้วยน้ำสบู่อ่อนๆ
ห้ามสวนล้างช่องคลอดหรือทำความสะอาดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ
แนะนำให้มีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย (Safe sex)
ให้สังเกตอาการแสดงของการติดเชื้อระบบสืบพันธุ์ เช่น ไข้สูง ปวดท้องน้อย ตกขาว มีลักษณะผิดปกติ คัน เป็นต้น
ใน Acute PID ให้จัดท่านอน Fowler’s position เพื่อจำกัดให้หนองหรือสิ่งคัดหลั่งขังอยู่
ให้ได้รับยาปฏิชีวนะและสารละลายทางหลอดเลือดดำตามแผนการรักษา
หูดข้าวสุก
สาเหตุ
เกิดจากการติดเชื้อหูดข้าวสุก ซึ่งเป็นไวรัสที่มีชื่อว่า "เอ็มซีวี" (Molluscum contagiosum virus - MCV*)
การติดเชื้อนี้จะเกิดขึ้นเฉพาะบริเวณผิวหนังชั้นนอกเท่านั้น
อาการ
เป็นตุ่มขึ้นตามผิวหนัง
มักพบขึ้นตามลำตัว แขนขา รักแร้ ข้อพับแขน ขาหนีบ บริเวณอวัยวะเพศ
ตัวหูดจะมีลักษณะเป็นสีเหลืองหรือเป็นสีของผิวหนัง (สีเนื้อ) รูปโดม และมีลักษณะเฉพาะคือ ผิวหูดจะเรียบเป็นมันคล้ายไข่มุกและตรงกลางจะมีรอยบุ๋มลงไปคล้ายสะดือ
ระยะฟักตัวเฉลี่ยของเชื้อชนิดนี้อยู่ที่ประมาณ 2-7 สัปดาห์ไปจนถึง 6 เดือน
ตุ่มมีขนาดเล็กประมาณ 2-5 มิลลิเมตร ผิวสัมผัสมีความเงาและเรียบ
มีสีเนื้อเช่นเดียวกับผิวหนัง มีสีขาวหรือชมพู
ลักษณะเป็นรูปทรงโดม หรือมีรอยบุ๋มตรงกลาง
การติดต่อ
จากการแกะหรือเกาผิวหนัง
จากการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ป่วย
การใช้สิ่งของร่วมกับผู้ป่วย
จากการสัมผัสผิวหนังตรงรอยโรค
วิธีการรักษา
การผ่าตัดด้วยความเย็น (ใช้ความเย็นของไนโตรเจนเหลวจี้) เป็นการรักษาหลัก แพทย์จะนัดมาทำทุกสัปดาห์จนหาย
การรักษาด้วยเลเซอร์
การขูดเนื้อเยื่อ (ขูดเอาตุ่มออกด้วยเครื่องมือพิเศษ)
การใช้ยาทา ที่จ่ายตามใบสั่งแพทย์ หรือที่หาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป เช่น ครีมโพโดฟิลโลทอกซิน (Podophyllotoxin) ไอโอดีน และกรดซาลิกไซลิก โพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ (Potassium hydroxid) หรือ ยาต้านไวรัส
ยารับประทาน เช่น ไคเมทิดีน (Cimetidine)
วิธีการป้องกัน
หลีกเลี่ยงการสัมผัสรอยโรคของผู้ป่วยที่เป็นหูดข้าวสุก เช่น การมีเพศสัมพันธ์ การเล่นกีฬาที่ต้องมีการสัมผัสกัน (เช่น มวยปล้ำ) ฯลฯ
ควรล้างมือให้สะอาดอยู่เป็นประจำด้วยสบู่ล้างมือเมื่อสัมผัสสิ่งของสาธารณะ
ควรทำความสะอาดสิ่งของเครื่องใช้ที่ใช้ร่วมกันเป็นประจำ โดยเฉพาะอุปกรณ์ในสถานที่ที่ใช้ร่วมกัน เช่น ในสถานที่ออกกำลังกาย
ไม่ใช้สิ่งของหรือของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดตัว ผ้าเช็ดหน้า เสื้อผ้า รองเท้า ฯลฯ หรือเก็บหรือวางปะปนกับของผู้อื่น
ปิดรอยโรคด้วยผ้า หรือผ้าพันแผล
ซิฟิลิส (Syphilis)
ระยะ
ระยะแรก หรือ ระยะปฐมภูมิ (Primary Syphilis)
ตั้งแต่ติดโรคจนเกิดอาการใช้เวลานาน 10-90 วัน
แผลนิ่ม กลม ขนาดเล็ก ไม่เจ็บ ขอบยกนูนแข็ง หรือเรียกอีกชื่อว่า "แผลริมแข็ง"
สามารถหายเองโดยไม่ต้องรักษา
ระยะที่สอง หรือ ระยะทุติยภูมิ (Secondary Syphilis)
ผื่นขึ้นตามผิวหนังและเยื่อบุ "ไม่คัน" ผื่นลักษณะสีแดง/จุดน้ำตาลแดง
อาจเกิดขณะแผลริมแข็งกำลังจะหาย หรือหลังหาย 2-3 สัปดาห์
ผื่นขึ้นตามร่างกาย โดยเฉพาะฝ่ามือ ฝ่าเท้า คล้ายออกหัด
หายได้เองภายใน 3-12 สัปดาห์
อาการ
อ่อนเพลีย มีไข้ต่ำ บางรายผมร่วง ต่อมน้ำเหลืองโต บางรายก็มีความผิดปกติที่ Nerve คู่ที่2-8
ระยะแฝง หรือ Latent Syphilis
แบ่งเป็น
ระยะแฝงช่วงต้น (Early Latent Syphilis period)
ไม่มีอาการ มีประวัติรับเชื้อน้อยกว่า 1 ปี
ระยะแฝงช่วงปลาย (Late Latent Syphilis period)
ไม่มีอาการ แต่มีประวัติการได้รับเชื้อนานกว่า 1 ปี
ระยะที่สาม หรือ ระยะตติยภูมิ (Tertiary Syphilis)
มีการทำลาย ระบบประสาท เส้นเลือด ระบบไหลเวียนโลหิต ทำลายเนื้อเยื่อ ผิวหนัง กระดูก ตับ ม้าม
อาจรุนแรงถึงเสียชีวิตได้
การวินิจฉัย
กล้องจุลทัศน์พิเศษเรียก "กล้อง Dark-field"
วินิจฉัยได้ทั้งระยะ 1 และ 2
ในระยะที่เป็นแผล จะนำน้ำเหลืองมาตรวจ
การตรวจ VDRL หรือ RPR
เจาะหาภูมิคุ้มกันไม่เฉพาะเจาะจงต่อเชื้อซิฟิลิส
ถ้าผลเป็น positive ต้องตรวจ TPHA หรือ FTA-ABS
TPHA (Teponemal pallidum hemagglutination test)
ใช้เม็ดเลือแดงที่เคลือบแอนติเจนของเชื้อ T.pallidum มาทดสอบกับซีรัมของผู้ป่วย
FTA-ABS (Fluorescent treponema antibody-absorption test) ภาพที่ออกมาเชื้อจะเรืองแสง บนพื้นภาพสีดำ
การรักษา
ใช้ยา penicillin รักษาทุกระยะ
การป้องกัน
การไม่มีเพศสัมพันธ์
การมีคู่นอนคนเดียว
เลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ และสารเสพติด
การใช้ถุงยางอนามัย
คู่ควรมีการพูดคุยกันแจ้งสถานะการติดเชื้อเอดส์ หรือโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ เพื่อจะได้ป้องกัน
การตรวจเลือดคู่สมรส
การติดต่อ
ติดผ่านจากคนสู่คนโดยการสัมผัสโดยตรงกับแผลซิฟิลิส เช่น การมีเพศสัมพันธ์ สรีตั้งครรภ์สามารถแพร่เชื้อให้ทารกได้
ตำแหน่งแผล
อวัยวะสืบพันธ์ุภายนอก
ช่องคลอด
ปากทวารหนัก
ริมฝีปากและช่องปาก
คือ :
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชนิดเกลียว "ทรีโปนีมา พาลดินัม"
กามโรคของท่อและต่อมน้ำเหลือง (Lymphogranuloma venereum ; LGV) หรือเรียกว่า "ฝีมะม่วง"
การวินิจฉัย
ตรวจหา antibody ต่อเชื้อ Chlamyda
การรักษา
ให้ยาทาน Doxycycline 100 mg. หรือ Erythromycin 500 mg. ครั้งเดียว
อาการและอาการแสดง
ระยะที่หนึ่ง
เชื้อเข้าสู่ร่างกายทางรอยแผล รอยถลอก
บริเวณติดเชื้อ จะเป็น Trombolymphangitis กลายเป็นตุ่มหรือแผลตื้นๆ
ระยะที่สอง
เรียก inguinal syndrome
เชื้อลุกลามตามท่อน้ำเหลือง
เกิดการอักเสบ ที่ต่อมน้ำเหลือง inguinal และ Femoral
กลายเป็นฝีมะม่วง
ระยะที่สาม
เรียก anogenitorectal syndrome
มี fibrosis มากขึ้น จนมีการอุดตันของท่อน้าเหลือง
การติดเชื้อจะลุกลามและเรื้อรัง
สาเหตุ
Chlamydia trachomatis subserotype L1,L2,L3
การติดต่อ
ติดต่อโดยการมีเพศสัมพันธ์ หรือสัมผัสกับหนองจากบาดแผลของผู้เป็นโรค
มีแหล่งรังโรคอยู่ในคนโดยเฉพาะเพศหญิงที่เป็นแหล่งรังโรคไม่แสดงอาการ มีระยะฟักตัวประมาณ 7-12 วัน
การป้องกัน
ตรวจสุขภาพ ตรวจโลหิตในรายสัมผัสโรค
งดการมีเพศสัมพันธ์ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ
สำลี น้ำเลือด น้ำหนอง เสื้อผ้า เครื่องใช้ต้องทำลายเชื้อโรคก่อนทำความสะอาด
เรียนรู้ศึกษาเรื่องสุขภาพอนามัยและเพศศึกษา
หนองในเทียม
สาเหตุ Chlamydia trachomatis
อาการและอาการแสดง
ตรวจภายในพบปากมดลูกอักเสบบริเวณ Transformationzone
มีท่อปัสสาวะอักเสบ (urethritis)
อาจเกิดการอักเสบที่ปีกมดลูก ทำให้ปีกมดลูกตีบ
การวินิจฉัย
ย้อมสี gram stain การเพาะเชื้อ ตรวจDNA
การรักษา
Zithromax® (azithromycin) 1 gm
Zithromax® Z-pak®
(azithromycin) 500 mg/วัน
Doxycycline 100 mg
ความผิดปกติที่พบบ่อยในระบบสืบพันธุ์สตรี
Physiology of Menstruation
ระดู (Menses หรือ menstrual blood)
หมายถึง
เลือดระดูที่ถูกขับถ่ายออกจากมดลูกออกมาทางช่องคลอด หรือเลือดที่ไหลออกจากโพรงมดลูกเป็นรอบๆ (cyclic) ทุกเดือน
มีดังนี้
ปกติวงรอบของระดู (Interval)
1.1 ประมาณ 28+7 วัน (21-35 วัน)
1.2 ระยะเวลาที่มีระดู (Duration) 3-7 วัน
1.3 ใช้ pad วันละ 3-4 ผืน/วัน
1.4 ปริมาณเลือดระดู 20-80 ml.
ลักษณะ
เลือดสีแดงคล้ำ
ไม่มีลิ่มเลือด
มีประมาณมากใน 2-3วันแรก
ระยะห่างของรอบระดู < 21 วัน เรียก polymenorrhagia
ระยะห่างของรอบระดู > 35 วัน เรียก oligomenorrhea
ระยะห่างของรอบระดูและระยะเวลาที่มีระดูไม่แน่นอน เรียก metrorrhagia
ระยะเวลาที่มีระดูเกิน 7 วัน เรียก menorrhagia
ระยะเวลาที่มีระดูนานและมาก เรียก menometrorrhagia
ปริมาณของเลือดระดูน้อย เรียก hypomenorrhea
ปริมาณของเลือดระดู > 80 ml. เรียก hypermenorrhea
การมีระดูร่วมกับระบบต่อมไร้ท่ออาศัยการทำงานร่วมกันของ Hypothalamus, Pituitary gland, Ovary
เรียกว่า Hypothalamus-pituitary-ovarian axis (HPO axis)
ภาวะผิดปกติที่สัมพันธ์กับการมีระดู
(Disorders Related Menstruation)
แบ่งเป็น
AUB (Abnormal Uterine Bleeding)
คือ
ภาวะเลือดออกจากโพรงมดลูกที่ผิดปกติ
เช่น
ความถี่
ระยะเวลา
ความสม่ำเสมอ
ปริมาณเลือดที่ออก
แบ่งออกเป็น
กลุ่มที่มีพยาธิสภาพ
1.1 เนื้องอกกล้ามเนื้อมดลูก
1.2 เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่
มะเร็ง
PID
การแท้ง
กลุ่มที่ไม่มีพยาธิสภาพ
ภาวะเลือดออกผิดปกติจากโพรงมดลูกที่ไม่มีโรคหรือพยาธิสภาพใดๆ ในโพรงมดลูกหรือในอุ้งเชิงกราน
ชนิดของการมีระดู
ระดูที่มีไข่ตก (Ovular menstruation)
มีการหลุดลอกของเยื่อบุโพรงมดลูกในระยะ secretory P. เป็นระดู
ระดูที่ไม่มีไข่ตก (Anovular menstruation)
มีการหลุดลอกของเยื่อบุโพรงมดลูกในระยะ proliferative
มีดังนี้
ภาวะแทรกซ้อนของการตั้งครรภ์ในระยะแรก
โรคทางระบบสืบพันธุ์
ดังนี้
โรคของมดลูก
โรคของเยื่อบุมดลูก
โรคเยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่
โรคของรังไข่
โรคอักเสบในอุ้งเชิงกราน
ภาวะแทรกซ้อนจากการคุมกำเนิด
โรคที่ทำให้การแข็งตัวของเลือดผิดปกติ
DUB Dysfunctional Uterine Bleeding
แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม
กลุ่มที่มีพยาธิสภาพ
กลุ่มที่ไม่มีพยาธิสภาพ
2.1 Ovulatory DUB
ระยะ proliferative phase หรือ secretory phase ยาวนานกว่าปกติ หรือสั้นกว่าปกติ
ทำให้มีระดู 2 ครั้ง
Corpus luteum บกพร่อง Ps. ต่ำ เกิดเลือดออกกะปริดประปรอยก่อนมีระดู
Corpus luteum ทำงานนาน Ps. ไม่ลดแม้หมดระดูแล้ว ทำให้เลือดออกแม้ระดูหมด
ภาวะเลือดออกผิดปกติชนิดมีการตกไข่
2.2 Anovulatory DUB
ภาวะเลือดออกผิดปกติชนิดโดยไม่มีการตกไข่
1 more item...
พยาธิสรีรวิทยา
1.ความผิดปกติทางกายวิภาค: มีรอยโรคในโพรงมดลูก
2.ความผิดปกติในระดับฮอร์โมนเพศ: Es โครงสร้างไม่แข็งแรง ลอกหลุดง่าย เลือดไม่หยุด
ความไม่สมดุลของ cytokines: การทำงานของหลอดเลือดเพื่อหยุดเลือด
ความบกพร่อง coagulopathy
ความไม่สมดุลระหว่างการสร้างและการสลายลิ่มเลือด
การตรวจวินิจฉัย
1.การซักประวัติ
ประวัติส่วนตัว
ประวัติประจำเดือน
ประวัติการมีเพศสัมพันธ์และการคุมกำเนิด
สาเหตุนำของการมีเลือดออก
ประวัติบาดเจ็บ
ประวัติการเจ็บป่วย
2.การตรวจร่างกาย
การตรวจร่างกายทั่วไป
การตรวจภายใน
3.การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การตรวจปัสสาวะเพื่อทดสอบการตั้งครรภ์
การตรวจ Complete Blood Count (CBC) และ coagulogram
การตรวจหาระดับของฮอร์โมน
การตรวจทางเซลล์วิทยา
การรักษา
1.การรักษาด้วยยา
Medical curettage ให้รับประทาน progestin นาน 10-14 วัน
เพื่อควบคุมระดู
เพื่อลดปริมาณเลือดระดู
2.การรักษาด้วยการผ่าตัด
การผ่าตัดมดลูก (Hysterectomy)
การผ่าตัดแบบ conservative
การพยาบาล
ประเมินความรุนแรงของการเสียเลือดและป้องกันภาวะซีด ติดตาม Hct, Hgb
ป้องกันภาวะช็อค
1.เฝ้าระวังสัญญาณชีพ สังเกตภาวะช็อค
2.สังเกตและประเมินภาวะเลือดออกอย่างสม่ำเสมอ
3.บันทึกปริมาณสารน้ำเข้าออก
ดูแลการได้รับสารละลายทางหลอดเลือดดำ
ป้องกันการติดเชื้อ ดูแลทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์
ในรายที่ต้องผ่าตัด พยาบาลต้องเตรียมผู้ป่วยก่อนและหลังผ่าตัด
ประคับประคองด้านจิตใจ
Postmenstrual bleeding
สาเหตุ
1.เนื้องอกของมดลูก (Submucous myoma)
2.หนองในมดลูก (Pyometra)
3.ปากมดลูกอักเสบ (Cervicitis) และมีติ่งเนื้อจากปากมดลูก (cervical polyp)
4.ช่องคลอดอักเสบ (Atrophic vaginitis)
5.ยื่อบุมดลูกหนาตัวผิดปกติ และมีติ่งเนื้อในเยื่อบุมดลูก
6.เนื้องอกชนิดร้ายแรงของช่องคลอด ปากมดลูก
เยื่อบุมดลูก รังไข่และท่อนำไข่
7.มดลูกยื่นออกพ้นช่องคลอด (Procidentia uteri)
การรักษา
รักษาตามสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะเลือดออก
2.การทำแท้ง
หมายถึง
การสิ้นสุดการตั้งครรภ์ก่ออน 28 สัปดาห์(7เดือน)
ชนิดของการแท้ง
การแท้งหลีกเลี่ยงไม่ได้(Inevitabal abortion)
หมายถึง การแท้งที่การตั้งครรภ์ไม่สามารถดำเนินต่อไปได้
อาการ
เลือดออกทางช่องคลอดมากกว่าแท้งคุกคาม
มีอาการปวดท้องน้อยมากขึ้น เนื่องจากการบีบรัดตัวของมดลูด ปากมดลูกเปิด
อาจพบถุงน้ำคล้ำแตก ในรายที่ถุงน้ำคล้ำยังไม่แตกจะพบถุงน้ำคล้ำโป่งตึงที่ปากมดลูก เรียกภาวะนี้ว่า Imminent abortion
การรักษา
ให้ยาแก้ปวด
ให้นอนพัก
ตรวจเลือดหา Hb เตรียนมเลือดให้เพียงพอและให้เลือดในรายที่จำเป็น
ให้oxytocin
dripเพื่อเร่งให้ปากมดลลูกเปิดกว้าง/เหน็บทุก1-2ชม.
เจาะถุงน้ำคร้ำ เพื่อให้การแท้งสิ้นสุดลง ขูดมดลูก
การแท้งไม่ครบ(Incomplete abortion)
การแท้งที่ส่วนของรก/เยื่อหุ้มเด็ก ออกมาไม่หมดมีบางส่วนค้างในมดลูด พบที่ครรภ์ 8-14 สัปดาห์
อาการ
มีส่วนของเด็ก/รกออกมาทางช่องคลอด
มีเลือดออก อาจช็อคได้
การรักษา
ให้เลือดในรายที่เลือดออกมาก ขูดมดลูก
ภาวะแทรกซ้อน
เนื่องด้วยปากมดลูกเปิดอยู่นาน อาจเกิดการติดเชื้อได้สูง
การแท้งคุกคาม(Threatened abortion)
หมายถึงการแท้งที่มีการตั้งครรภ์มีโอกาสดำเนินต่อไปได้
อาการ
เลือดออก มักเป็นหยดเล็กๆ หยุดได้เองและออกซ้ำใหม่หลายวันเลือกที่ออกจะเป็นสีแดงสดจนถึงสีแดงคล้ำ
ปากมดลูดไม่เปิด
การรักษา
นอนพัก24-48ชม.
ให้ยานอนหลับส่วนใหญ่เลือกมักหยุดเองหลังจากนั้นให้นอนพักมากๆ
ห้ามทำงานหนัก
งดร่วมเพศ
ห้ามให้ยาถ่ายหลังจากเลือดหยุดแล้วอย่างน้อย2สัปดาห์
ติดตามค่า HCGอย่างต่อเนื่องเพื่อดูว่าก่ตั้งครรภ์ยังคงดำเนินต่อไปได้หรือไม่
การแท้งครบ(Complete abortion)
การแท้งค้าง(Missed abortion)
การแท้งที่เด็กและรกอยู่ในมดลูกอย่างน้อย 8 สัปดาห์ หลังจากที่เด็กตายแล้ว
อาการ
มีอาการแท้งคุกคามอยู่ระยะหนึ่งแล้วอาการดีขึ้น
เลือดหยุดต่อมามีเลือดสีน้ำตาลออกกะปริดกะปรอย
อาการของการตั้งครรภ์หายไป
การรักษาส่วนใหญ่จะแท้งเองภายใน 6 สัปดาห์ ขูดมดลูก
ภาวะแทรกซ้อน
ภาวะแข็งจัวของเลือดผิดปกติ จากมีการดูดซึมเอาสารThromboplastinที่เกิดจากจาก
ขบวนการ Autolysisของเด็กที่ตายแล้ว เข้าสู่กระแสเลือดของแม่ ผลที่ตามมามารดาจะตกเลือดมาก
การแท้งเป็นอาจิณ(Habitual abortion)
การแท้งที่เกิดขึ้นเองติดต่อกัน ตั้งแต่3ครั้งขึ้นไป
สาเหตุ
ความผิดปกติของฮอร์โมน
ภาวะทุพโภชนาการ
อักเสบเรื้อรังของช่องคลอด
หมู่เลือดABO ที่เข้ากันไม่ได้
สุขภาพจิต
ความผิดปกติของมดลูก
มีการเปิดขยายของปากมดลูกโดยไม่มีอาการเจ็บครรภ์
การติดเชื้อ
การรักษา
รักษาตามสาเหตุของปัญหา
ในรายที่มีIncomplete
cervix แพทย์จะผ่าตัดเย็บรัดปากมดลูกแบบหูรูด เรียกว่า Mac Donald และ Shirodkar
สาเหตุของการแท้ง
โครโมโซมผิดปกติ
การติดเชื้อ
โรคที่เกิดจากความผิดปกติของฮอร์โมนต่อมไร้ท่อ
การขาดฮอร์โมนโปรเจนเตอโรน
โภชนาการบกพร่อง
การสูบบุหรี่
การดื่มแอลกอฮอล กาแฟ
โรคเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันบางอย่าง
ความผิดปกติของมดลูกหรือปากมดลูก
การขยายปากทดลูดแล้วเอาเด็กและรกแแกโดยการขูดมดลูก
ควรทำในรายที่ตั้งครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์
จัดให้ผู้ป่วยนอนท่า Lithotomy
ภาวะแทรกซ้อน
มดลูกทะลุ
การติดเชื้อ ควรให้ยาปฏิชีวนะก่อนและหลังขูดมดลูก
การเกิดพังผืดในโพรงมดลูก
การเกิด cervical incompetence แต่พบได้น้อย
การพยาบาล
การปฏิบัติตนก่อน-หลังการขูดมดลูก
การให้คำแนะนำการปฏิบัติตน
เช่น
การทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์
การเปลี่ยนPad
การคุมกำเนิด
การงดมีเพศสัมพันธ์
การสังเกตอาการผิดปกติ
ติดตามตรวจตามนัด
การดูแลสภาวะจิตใจ
3.การตั้งครรภ์นอกมดลูก
(Ectopic Pregnancy)
การตั้งครรภ์ที่เกิดจากไข่ที่ผสมแล้วไปฝังตัวเป็นตัวอ่อนนอดโพรงมดลูก
ตำแหน่งที่พบบ่อย คือ ปีกมดลูกทำให้เกิดการแตกของปีกมดลูก
สาเหตุ
เคยมีประวัติท้องนอกมดลูกมาก่อน
มีการขัดขวางการเดินทางของไข่ที่ผสมแล้ว ไม่ให้เข้าในโพรงมดลูก
มีพังผืดรอบท่อนำไข่จากการอักเสบของอวัยวะอุ้งเชิงกราน การติดเชื้อและไส้ติ่งอักเสบ
เคยได้รับการผ่าตัดในอุ้งเชิงกราน : ผ่าตัดที่ท่อนำไข่
เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดปกติ/เนื้องอกมดลูก/ถุงน้ำ
การเคลื่อนของไข่ที่ผสมแล้วช้า พัฒนาตัวอ่อนเร็วทำให้เกิดการฝังตัวเร็ว การคุมกำเนิดด้วยProgesterone Mini-pill ใส่ห่วงอนามัย
ประเภทของการตั้งครรภ์นอกมดลูก
การตั้งครรภ์ที่ท่อนำไข่ 95%
การตั้งครรภ์ในช่องท้อง 1-2%
การตั้งครรภ์ที่รังไข่ 1-2%
การตั้งครรภ์ที่ปากมดลูก 0.4%
ชนิด
ชนิดไม่แตก ทำให้ขาดประจำเดือน กดเจ็บแน่นๆที่ปีกมดลูกข้างเดียว
ชนิดแตก ทำให้ตกเลือกในช่องท้องและเกิดช็อคได้
ชนิดเรื้อรัง มีอาการอีดอัดในอุ้งเชิงกรานและพบก้อนที่ปีกมดลูก
อาการ
การขาดประจำเดือน
ปวดท้องน้อยจากทารกเบียดดันบริเวณที่ฝังตัว
ปวดบริเวณหัวไหล่ เป็นRefered pain กรณีที่ท่อมดลูกแตก มีเลือดในช่องท้องเกิน 500 ml.
อาการหน้ามืดเป็นลม พบบ่อยในรายที่ท่อมดลูกแตก Bleed
เลือดออกกระปริดกระปรอยทางช่องคลอด
อาการแสดง
รายที่มีการแตกของท่อนำไข่และมีเลือดออกทางช่องท้อง
ชีพจรเร็ว มากกว่า 120ครั้ง/นาที
ตรวจพบRebound tenderness guarding และ rigidity จากเลือดไประคายเคืองช่องท้อง
หน้าท้องจะโป่งนูน
รายที่แท้งทางท่อนำไข่ เลือดจะค่อยๆซึมมาสะสมในช่องท้อง
ท้องอืด หน้าท้องโป่งนูน กดเจ็บบริเวณหน้าท้อง
การตรวจห้องปฏิบัติการ
การตรวจหา HCG ในปัสสาวะเพื่อดูการตั้งครรภ์
การตรวจหาHCG ในเลือด
Ultrasonography
การเจาะ cul-de-sac (Culdocentesis)
Lab: CBC
Laparoscopy
การรักษา
การผ่าตัดท่อนำไข่ออก Salpingectomy
การผ่าตัดท่อนำไข่ออกพร้อมรังไข่
Salpingo-Oophorectomy
(SO)
การตัดท่อนำไข่ออกเฉพราะส่วนสั้นๆแล้วเย็บต่อใหม่
(End-to-endanastomosis )
ให้ฮอร์โมนทดแทน
เอสโตรเจน (Estrogen)
โปรเจสเตอโรน (Progesterone
ให้แคลเซียมทดแทน
การใช้ Phytoestrogen พบมากในถั่วเหลือง
Isoflavonoid
การพยาบาลสตรีวัยหมดระดู
ดูแลให้ได้รับความสุขสบายจากอาการของวัยหมดระดู
สร้างสัมพันธภาพและประเมินสภาพจิตสังคม
อธิบายลักษณะทางกายวิภาคและสรีรวิทยาของระบบสืบพันธ์ุสตรี
แนะนำให้ผู้ป่วยออกกำลังกายแบบแอโรบิค
ให้คำแนะนำเกี่ยวกับโภชนาการ
การตรวจวินิจฉัย
การซักประวัติ
การตรวจร่างกาย
การตรวจด้วยคลื่นความถี่สูงทางช่องคลอด
การสุ่มตรวจชิ้นเนื้อจากโพรงมดลูก
(EndometrialSampling)
การขูดเยื่อบุโพรงมดลูกแบบ Dilatation and curettag
การใช้กล้องส่องโพรงมดลูก
(Hysteroscopy)
Saline infusion sonography (SIS)
การบิดขั้วรังไข่และหรือการแตกของรังไข่(Twisted or rupture of ovarian cyst)
ความหมาย
การบิดขั้วของเนื้องอกรังไข่
และมีการแตกของเนื้องอกรังไข่ตามมา
อาการและอาการแสดง
คลำได้ก้อน หากก้อนโต
ปวดท้องรุนแรงเวลาเกิดการบิดขั้ว
หน้ามืด ใจสั่น ตัวเย็น จากการเสียเลือดในช่องท้อง
การรักษา
การผ่าตัด SO Lt. or Rt. / BSO (Salpingo-oophorectomy, Bilateral SO)
การพยาบาล
การดูแลก่อนและหลังผ่าตัด (เหมือน Myoma)
การดูแลหลังผ่าตัด
กรณีทำ Lt./Rt. SO จะเหลือรังไข่ 1 ข้าง จะยังมีประจำเดือน แต่อาจนานกว่าปกติ
กรณีทำ BSO จะมีปัญหา Menopause หากรุนแรงให้ขอฮอร์โมนทดแทน
Discharge paln เน้น F/U เพื่อฟังผลชิ้นเนื้อ
กายวิภาคระบบอวัยวะสืบพันธุ์ในสตรี
Hormone
1.Estrogen
แหล่งผลิต
คอปัสลูเทียม (Corpus lutium)
รก (prasenta)
รังไข่ (Ovary)
หน้าที่
กระตุ้นการเจริญเติบโตอย่างสมบูรณ์ของเพศหญิง
ต่อต้านการแข็งตัวของเลือด
2.Progesterone
แหล่งผลิด
รังไข่ (ovary)
รก (ในขณะตั้งครรภ์)
หน้าที่
หากไม่มีการปฏิสนธิโปรเจสเตอโรนก็จะลดระดับลงทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกหลุดลอกออกมากลายเป็นประจำเดือนในทุกๆ เดือน
ขณะตั้งครรภ์โปรเจสเตอโรนจะยับยั้งมดลูกไม่ให้บีบตัว
ช่วยปรับการทำงานของร่างกายเพื่อให้เหมาะกับการมีทารกเติบโตอยู่ในครรภ์
การประเมินสุขภาพทางนารี
การตรวจร่างกาย
Head & Neck
General appearance: V/S น้ำหนัก ส่วนสูง ภาวะซีด ภาวะขาดน้ำ ปริมาณสิว หนวดเครา
Breast examination
Abdominal examination
Neurological & Musculoskeletal examination
Pelvic examination
อาการที่พบบ่อยทางนรีเวช
ตกขาว
เลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด
ก้อนที่ท้องน้อย
ปวดท้องน้อย
การซักประวัติผู้ป่วยนรีเวช
ประวัติการเจ็บป่วยในปัจจุบัน
ประวัติในอดีต
อาการสำคัญ
ประวัติครอบครัว
ประวัติทางสังคม
ประวัติการตั้งครรภ์และการคลอด
ประวัติการมีเพศสัมพันธ์ การคุมกำเนิด
ประวัติทางจิตใจ สังคม จิตวิญญาณ
ประวัติการมีระดู
ประวัติการคุมกำเนิด ชนิด และระยะเวลาที่ใช้คุมกำเนิด
ประวัติความผิดปกติตามระบบ
เยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่ Endometriosis
ภาวะที่เยื่อบุโพรงมดลูกส่วน endometrial gland และ stroma ไปเจริญอยู่ที่ตำแหน่งอื่นนอกเหนือไปจากภายในโพรงมดลูก
สาเหตุยังไม่ทราบแน่ชัด อาจสัมพันธ์กับภาวะมีบุตรยากที่ไม่ทราบสาเหตุ และมักพบในสตรี วัยเจริญพันธุ์โดยเฉพาะช่วงอายุ 30-40 ปี
ปัจจัยเสี่ยง
สตรีที่มีระดูครั้งแรกอายุน้อย ช่วงรอบระดูสั้น และมีเลือดระดูออกมาก
พันธุกรรม
มีพยาธิสภาพขัดขวางการไหลของระดู เช่น Imperforate hymen
สตรีที่ไม่มีบุตรหรือมีบุตรน้อย
พยาธิกำเนิด
Transplantation Theory (retrograde tubal flow)
เชื่อว่า endometriosis เกิดจากชิ้นส่วนของเยื่อบุโพรงมดลูกหลุดไหลย้อนผ่านท่อนำไข่ไปฝังตัวและเติบโตขึ้นในอุ้งเชิงกราน
Metaplasia Theory (Peritoneal irritation
เชื่อว่า การระคายเคืองซ้ำๆ ตลอดเวลาต่อ เยื่อบุช่องท้อง (coelomic epithelium) เป็นเวลานาน ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของ coelomic epithelium จนกลายเป็นเยื่อบุโพรงมดลูกได้
ภาวะ endometriosis ในสตรีที่ยังไม่เคยมีระดูมาก่อนเลยและเยื่อบุโพรงมดลูกก็ยังไม่เจริญ ดังนั้น ภาวะ endometriosis ที่เกิดจากชิ้นส่วนของเยื่อบุโพรงมดลูกไหลย้อนเข้าไปยังอุ้งเชิงกรานนั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้
Induction Theory
เชื่อว่า endometriosis เกิดจากสารเคมีที่ผลิตโดยเยื่อบุมดลูกไปกระตุ้นในเนื้อเยื่อ mesenchyme ในช่องท้องให้เปลี่ยนแปลงรูปร่าง (metaplasia) ไปเป็นเยื่อบุโพรงมดลูก
Immunology
เชื่อว่า ภาวะพร่องทางระบบภูมิคุ้มกัน (immunity defect) ทำให้เกิด endometriosis
การวินิจฉัย
ซักประวัติถึงอาการและอาการแสดง
อาการสำคัญ
ภาวะปวดประจำเดือน (dysmenorrhea) และปวดภายในอุ้งเชิงกราน (pelvic pain) เป็นมากขึ้นทุกๆ รอบเดือน
คลำพบก้อนบริเวณท้องน้อย
มีบุตรยาก
การตรวจภายในช่องคลอด
อาจพบรอยโรคสีม่วงคล้ำหรือสีแดง
มักพบบริเวณ posterior fornix
การตรวจวินิจฉัยด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงทางช่องคลอด (Transvaginal songraphy)
การตรวจวินิจฉัยด้วยกล้องส่องช่องท้อง (Diagnostic Laparoscopy)
Maker ในซีรั่ม
CA 125 เพื่อประเมินความรุนแรงได้
การรักษา
รักษาด้วยยา
ใช้ฮอร์โมนเพื่อควบคุมการหลั่งของ GnRH
ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกฝ่อ
Progesterone
จะยับยั้งการหลั่ง FSH และ LH
เช่น
Depo Medroxy Progesterone Acetate (DMPA)
Danazol
ยับยั้งการหลั่งของ GnRH ส่งผลให้เกิดการฝ่อของเยื่อบุโพรงมดลูกจากการที่มีระดับเอสโตรเจนที่ต่ำและมีปริมาณแอนโดรเจนที่สูงขึ้น
GnRH agonist
ยับยั้งการหลั่งของ GnRH
Combined Estrogen-Progestin Hormone
ยับยั้งการหลั่งของ FSH, LH ทำให้รังไข่หยุดทำงาน
การผ่าตัด
Laparoscopic Surgical
ทำให้ขนาดของแผลเล็ก ความเจ็บปวดภายหลังผ่าตัดไม่มาก ใช้เวลาพักฟื้นน้อยและลดการเกิดพังผืดในช่องท้อง
Explore Laparotomy
จำเป็นในรายที่มีเยื่อบุโพรงมดลูกกระจายตัวเป็นบริเวณกว้างหรือรายที่การทำผ่าตัดแบบ Laparoscopic ล้มเหลว
Conservative Surgery
จะผ่าตัดเลาะเฉพาะจุดที่มีเยื่อบุโพรงมดลูกที่ขึ้นผิดที่ออก คงสภาพท่อนำไข่เอาไว้ในมากที่สุด
Radical Surgery
ตัดมดลูก ท่อรังไข่และรังไข่รวมถึงเลาะพังผืด (Lysis Adhesion) ออกทั้งหมด
D : Pelvic
อวัยวะอุ้งเชิงกรานหย่อน
( Pelvic organs Prolapse )
คือ
หมายถึง การเคลื่อน หรือหย่อนของอวัยวะภายในอุ้งเชิงกราน ได้แก่ มดลูก ผนังช่องคลอด หรือทั้ง2อย่างต่ำกว่าตำแหน่งปกติ ซึ่งบางครั้งอาจหย่อนมากจนโผล่พ้นปากช่องคลอดออกมาข้างนอกได้
ซึ่งพบอุบัติการณ์สูงสุดในหญิงอายุ 60-69 ปี
สาเหตุ
การถูกทำลายของเส้นประสาท เส้นเอ็น และกล้ามเนื้อที่พยุงอวัยวะในอุ้งเชิงกราน
อาการ
หน่วงที่ช่องคลอด / ปวดตึงบริเวณก้นกบ
มีก้อนโผล่ออกมา ทางช่องคลอด
มีเลือดออกทาง ช่องคลอด
ปัสสาวะบ่อย / ปัสสาวะลำบาก
ท้องผูก
การรักษา
การรักษาที่ไม่ต้องผ่าตัด
การบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน
ฝึกขมิบช่องคลอด (Kegel exercise)
เลี่ยงกิจกรรมที่เพิ่มความดันในช่องท้อง
ให้ Estrogen H. ทดแทน
การใช้ห่วงวงแหวน
การผ่าตัด
Vaginal hysterectomy ร่วมกับ A-P repair
Anterior colporrhaphy
Manchester operation
ปัจจัยเสี่ยง
อายุและวัยหมดระดู
การตั้งครรภ์และการคลอดบุตร
มีการเพิ่มขึ้นของความดันในช่องท้อง
ชนิดของการหย่อนของอวัยวะในอุ้งเชิงกราน
. การหย่อนของผนังช่องคลอด (Vagina prolapse)
Cystocele
Urethrocele
Rectocele
Enterocele
Relaxation of vagina outlet (RVO)
Vagina vault prolapse
การหย่อนของมดลูก ( Uterine prolapse)
Frist degree
Second degree
Third degree
การพยาบาล
การป้องกัน
แนะนำการบริหารกล้ามเนื้อในอุ้งเชิงกรานด้วยการขมิบช่องคลอด (Kegel exercise)
หลีกเลี่ยงการเพิ่มความดันในช่องท้อง
การพยาบาลสตรีที่ได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัด
24 ชม.แรกหลังผ่าตัด : ภาวะแทรกซ้อนหลังได้รับยาระงับความรู้สึก
Day1 : ตกเลือดทางช่องคลอด , ปวดแผล
Day2 : เสี่ยงต่อการติดเชื้อบริเวณแผลผ่าตัด , ปวดแผล
Day3 : ท้องอืด
Day4 : เตรียมความพร้อมผู้ป่วยก่อนกลับบ้าน
การตรวจวินิจฉัยโรคทางนรีเวช
Swab (wet smear) การนำหนองหรือสิ่งขับหลั่งที่อยู่ภายในช่องคลอดออกมาตรวจหาเชื้อ
Smear (dry smear) เป็นการนำหนองหรือสิ่งขับหลั่งที่อยู่ในตำแหน่ง urethra, Skene gland, Bartholin’s gland และ cervix ออกมาตรวจ
Papanicolaou smear (Pap smear) การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกระยะแรก
Biopsy การติดชิ้นเนื้อของอวัยวะสืบพันธุ์ภายในออกมาตรวจ
Twist การบิดติ่งเนื้อที่อยู่บริเวณปากมดลูก
Ultrasound (U/S): ตรวจดูอวัยวะภายช่องท้องและอุ้งเชิงกราน
ตรวจทางหน้าท้อง (Abdominal ultrasound)
ใช้คลื่นความถี่ต่ำ
ตรวจทางช่องคลอด (Transvaginal ultrasound)
ใช้คลื่นความถี่สูง
แต่มีข้อจำกัด
คลื่นเสียงจะผ่านได้ไม่ไกล
ใช้ได้ในพื้นที่จำกัด
ตรวจดูสิ่งเล็กและต้องการรายละเอียด
มะเร็งปากมดลูก
สาเหตุ
เชื้อHuman Papilloma Virus;HPV
16
18
31
39
45
51
52
58
59
61
66-68
ปัจจัยเสี่ยง
มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุน้อย
มีคู่นอนหลายคน
มีบุตรมาก
ฐานะยากจน
มีประวัติการเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
การสูบบุหรี่
โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง
ชนิดของมะเร็งปากมดลูก
Squamous cell carcinoma (SCC)
well
moderately
poorly differentiated carcinoma
Adenocarcinoma
อาการและอาการแสดง
ระยะก่อนลุกลาม
ไม่มีอาการผิดปกติ
ระยะลุกลาม
ตกขาวและเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด
ระยะท้ายๆของโรค
อาจมีการลุกลามไปยังอวัยวะอื่น
ลักษณะทางคลินิก
กลิ่นเหม็นเปรี้ยวซึ่งเกิดจากเนื้อมะเร็งที่ตายและมีการติดเชื้อที่ก้อนมะเร็.นั้น
ก้อนมะเร็ง
ก้อนทูมยื่นออกมา
ก้อนมะเร็งลุกลามเข้าไปในเนื้อปากมดลูก
ก้อนมะเร็งกัดกร่อนปากมดลูกจนแหว่งหรือเกิดเป็นโพรง
การวินิจฉัย
การซักประวัติ ตรวจร่างกาย
ตรวจภายในและPAP smear
Cervical punch biopsy
มักทำร่วมกับ colposcopy
Endocervical curelttage;ECC
Cervical conization บริเวณ T cell
Loop electrosurgical procedure;LEEP
Lab
การแพร่กระจายของมะเร็ง
การลุกลามโดยตรง
การแพร่กระจายทางหลอดน้ำเหลือง
การแพร่กระจายไปทางหลอดเลือด
การแบ่งระยะของมะเร็ง
Stage 0
พบเซลล์เยื่อบุปากมดลูกผิดปกติไม่ใช่มะเร็ง (ระยะก่อนลุกลาม Carcinoma in situ; CIN)
Stage |
ตรวจพบมะเร็งอยู่ในปากมดลูกเท่านั้นไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่สามารถมองเห็นด้วยกล้องจุลทรรศน์
Stage |||
มะเร็งกระจายออกไปยัง 1/3 ของส่วนล่างช่องคลอดโดยอาจจะมีการกระจายไปยังผนังด้านข้างของอุ้งเชิงกรานและทำให้ไตทำงานได้แย่ลงเกิด hydronephosis
Stage II
มะเร็งกระจายออกไปจากปากมดลูก แต่ยังไม่ถึงเนื้อเยื่อของผนังด้านข้างของเชิงกราน (pelvic wal) หรือมีการกระจายไปยังช่องคลอดแล้วแต่ยังไม่ถึง 1/3 ส่วนล่างของช่องคลอด
Stage IV
มะเร็งกระจายออกไปนอกอุ้งเชิงกรานหรือส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย
สาเหตุการตายของมะเร็งปากมดลูก
ภาวะยูรีเมีย
การติดเชื้อ
การตกเลือดในช่องคลอด
การแพร่กระจายเซลล์ไปอวัยวะอื่นๆในร่างกาย
ภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัด
เสียเลือดมาก
การอักเสบติดเชื้อ
ภาวะ bladder atony ประเมินจาก residual urine> 50-150 ml
การเกิด fistula: vesicovaginal, ureterovaginal fistulae
การเกิด seroCoele หรือ lymphocyte
การพยาบาลเพื่อป้องกันมะเร็งปากมดลูก
Primary prevention
ป้องกันที่จะสัมผัสกับเชื่อ HPV การมีเพศสัมพันธ์ที่เหมาะสมการใช้ถุงยางอนามัยการฉีดวัคซีน
Secondary prevention
การตรวจคัดกรองเมื่อมีการสัมผัสหรือรับเชื้อไปแล้ว
Tertiary prevention
รักษาโรคและป้องกันการกลับเป็นซ้ำ
การรักษา
ระยะก่อนลุกลาม (CIN และ CIS)
1.1 CIN l และ ll ใช้การจี้ไฟฟ้า (Electrocautery) การจี้ด้วยความเย็น (Cryosurgery), LEEP Laser vaporization baz f / u PAP smear nn 3-6 month
1.2 กลุ่ม CIN II และ CIS อาจทำ TAH ในรายที่อายุมากหรือไม่ต้องการมีบุตรแล้วในรายที่ต้องการมีบุตรทำเหมือน CIN l และ II
ระยะลุกลาม (Stage I-V)
2.1 Stage 1 ถึง IA บางรายทำ Wertheim's operation หรือ Radical hysterectomy C pelvic node dissection (RHND)
2.2 รีงสีรักษา
2.3 เคมีบำบัด
การรักษาร่วม (Combined treament)
การผ่าตัดรักษาในผู้ป่วยนรีเวช
การใช้ขดลวดไฟฟ้า (Loop diathermy)
การตัดปากมดลูกเป็นรูปกรวย (Conization)
การจี้ด้วยไฟฟ้า (Electrocoagulation diathermy)
การผ่าตัดเอามดลูกออกทางหน้าท้อง (Total Abdominal Hysterectomy; TAH)
การใช้ Laser
การจี้โดยใช้ความเย็น (cryosurgery)
การผ่าตัดใหญ่เพื่อเอามดลูกและต่อมน้ำเหลืองของอุ้งเชิงกรานออก (Radical Hysterectomy and Pelvic Node Dissection ;RHND)
เนื้องอกกล้ามเนื้อมดลูก
อาการและอาการแสดง
เลือดและระดูออกมากและนานกว่าปกติ
มีก้อนในท้องน้อย
ก้อนเนื้อกดเบียดอวัยวะข้างเคียง
อาการปวดท้องน้อย
ภาวะมีบุตรยาก
สาเหตุ
อาจเกิดจากฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนจากรังไข่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดเนื้องอกและพบว่าก้อนเนื้องอกจะมีขนาดเล็กลงภายหลังหมดระดู
การวินิจฉัย
ซักประวัติ ตรวจทางหน้าท้อง
ตรวจภายใน
U/S
Diagnostic hysteroscopy
Magetic Resonace Imaging
การรักษา
การสังเกตอาการและให้ยาเสริมธาตเหล็ก
การรักษาด้วยยา
NSAID
GnRH analogue
ผ่าตัด
Myomectomy
Hysterectomy
เนื้องอกรังไข่ (Benign Ovarian Tumor)
หมายถึง
เนื้องอกรังไข่ที่มีการเจริญเติบโตผิดปกติ เนื่องจากการเสียสมดุลระหว่างการแบ่งตัวใหม่
และการตายของเซลล์
ชนิดของเนื้องอกรังไข่
Non-neoplastic tumor
ลักษณะเป็น cyst ไม่ลุกลามเป็นมะเร็ง
แบ่งเป็น
Follicle cyst เกิดจากความผิดปกติของการดูดกลับของของเหลวในฟองไข่ มองเห็นด้วยตาเปล่าเป็นถุงใส มีรังไข่โตข้างเดียว มักไม่มีอาการและหายไปเองภายใน 2 เดือน
Corpus luteum cyst เป็นก้อนถุงน้ำที่เกิดจากภายหลังการตกไข่ ก้อนอาจโตได้ถึง10 cms. มีรังไข่โตข้างเดียว หากถุงน้ำแตกอาจเกิดเลือดออกในช่องท้อง และปวดท้องเฉียบพลัน
3.Theca lutein cyst ถุงน้ำขนาดเล็ก พบได้รังไข่ทั้ง 2 ข้าง สัมพันธ์กับ molar pregnancy และมะเร็งเนื้อรก
4.Polycystic ovary ถุงน้ำเล็กที่รังไข่ 2 ข้าง มีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก
Neoplastic cystadenoma
เนื้องอกชนิดนี้สามารถลุกลามเป็นมะเร็งได้
แบ่งเป็น
Serous cystadenoma
Mucinous cystadenoma
Benign cystic teratoma (Dermoid cyst)
อาการและอาการแสดง
คลำพบก้อนบริเวณหน้าท้อง
มีอาการแสดงของการที่ก้อนกดเบียดอวัยวะในอุ้งเชิงกราน: ปัสสาวะบ่อย ท้องผูก หน่วงท้องน้อย
หน้าท้องโตขึ้น จากเนื้องอกมีขนาดใหญ่
อาการปวดท้องเฉียบพลันที่เกิดจากการบิด (torsion),
การแตก (rupture), การติดเชื้อ (infection) และตกเลือดภายในช่องท้อง
มีเลือดออกทางช่องคลอด (bleeding per vagina)
มีการอุดตันของลำไส้ที่เกิดจากการโตขยายของเนื้องอก ทำให้ท้องอืด อึดอัด แน่นท้อง
การตรวจแบบวินิจฉัย
ซักประวัติ
การตรวจภายใน (Per vaginal examination)
U/S ทางหน้าท้อง หรือ ช่องคลอด
ตรวจหา Tumor maker
CT scan
Laparoscopy
การรักษา
แบบไม่ต้องผ่าตัด
รายที่เนื้องอกขนาดน้อยกว่า 8 cms. ให้สังเกตอาการทุก 2-3 เดือน
แบบผ่าตัด
รายที่สงสัยเป็นมะเร็ง
Ovarian cystectomy: ตัดเฉพาะถุงน้ำ/ก้อนเนื้องอกออก ทำในรายที่อายุน้อย และต้องการมีบุตร
Unilateral salpinggo-oophorectomy: ผ่าตัดรังไข่และท่อนำไข่ออกข้างเดียว
Total abdominal cysterectomy with bisalpingo-oophorectomy: ผ่าตัดมดลูกและท่อนำไข่ทิ้งทั้ง 2 ข้าง
การพยาบาล
การดูแลก่อนการผ่าตัด
NPO ให้ IV เตรียมส่ง Lab เช่น Blood group, CBC, E’lyte
13.การเตรียมตัวก่อนผ่าตัด: Vaginal Dough เย็น-เช้า, สวนอุจจาระ, Retained catheter / Void ก่อนไป OR
4.เตรียมความสะอาดบริเวณหน้าท้อง โกนขนตั้งแต่ใต้ลิ้นปี่ถึงหัวหน่าว
ตรวจสอบสิ่งของมีค่า เครื่องประดับ ฟันปลอม แว่นตา คอนแทคเลนส์
6.การปฏิบัติตนก่อน-หลังผ่าตัด
การให้ข้อมูลเกี่ยวกับโรคเพื่อคลายความวิตกกังกล และเพื่อประกอบการตัดสินใจในการรับการรักษา ลงนามใบยินยอมการรักษา
การพยาบาล Post Operation
V/S …BP < 90/60 ,P >100…shock
Load IV ….160 CC./Hr. / free flow
ให้ O2 Cannula 6 lit./min
Monitor V/S
ดูค่า EBL. /Estemated Blood Loss
Obs.
Day1
Observe Bleeding ประเมินจากแผล และ ค่า V/S
แผล พบเลือดซึม Gauze วงด้วยปากกาน้ำเงิน
V/S if BP < 90/60 , P > 100 bpm ระวัง Shock
ประเมิน Pain score พร้อมให้การพยาบาลที่เหมาะสม
Pain scale 1-3 ….. rest 4-6 , 7-8 ให้ MO หรือยาแก้ปวดตาม order
9-10 ….. Notify
การเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนจาก (General Anasthesia)
Day2
1.กระตุ้น Early ambulation ให้ลุกจากเตียง เข้าห้องน้ำเอง
2.ประเมิน Pain พร้อมให้การพยาบาลที่เหมาะสม
จัดให้นอนท่า หน้าท้องหย่อน ..Fowler’s position
ประเมิน Bowel sound และเริ่ม Step diet
(6-12/m.)… 1-3/m.... จิบน้ำ (Off IV , Off Cather) ตามด้วย Liquid diet
… Soft diet ...Regular diet
Observe Bleeding
Day3
Early ambulation
Fowler’s position
ประเมิน Bowel sound (6-12/m.)…5-6/m
Observe การอักเสบของแผล & Discharge + (Vg.)
... Dressing ปิดด้วย Tegaderm หากแพทย์เปิดแผล
... แนะนำการดูแลแผล + อาหารส่งเสริมการหายของแผล
Day4
Ambulation
Observe การอักเสบของแผล / Discharge
แนะนำการปฏิบัติตัวเกี่ยวกับโรคที่เป็น & การปฏิบัติตัวที่บ้าน
หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่เพิ่มแรงดันในช่องท้อง เพื่อป้องกันแผลแยก
ไม่ยกของหนัก เกิน 3 กก. 6-8 สัปดาห์
การเดินขึ้น - ลงบันไดบ่อยๆ
การไอจาม
การดูแลความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์และซับให้แห้ง
การดูแลสุขภาพ การรับประทานอาหาร การพักผ่อน 6-8 ชม.
การออกกำลังกาย การรับประทานยาตามแผนการรักษาแพทย์
การงดเพศสัมพันธ์ 6-8 สัปดาห์
การมาตรวจตามแพทย์นัด
มะเร็งรังไข่ (ovarian cancer)
ปัจจัยเสี่ยง
อายุ 40-60 ปี
การมีระดู
สิ่งแวดล้อม สารเคมี (Talc) มลพิษ
ปัจจัยเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ การคุมกำเนิด มีบุตรน้อยหรือมีบุตรยาก
ความผิดปกติของการทำงานของรังไข่ เช่น ระดูผิดปกติ มีระดูเร็ว หรือหมดช้า
การได้รับฮอร์โมน
อาการและอาการแสดง
คลำพบก้อน ก้อนโตกดอวัยวะข้างเคียง (pressure symptom): ปัสสาวะบ่อย ท้องผูก
ปวดหน่วงท้องน้อย
มีอาการท้องอืด ท้องน้อยโต หรือ ascites แน่นอึดอัดท้อง
มีเลือดออกผิดปกติหรือออกกะปริดกะปรอย หรือขาดระดู หรือระดูมามาก
Functional tumor : เช่น อาการเป็นสาวก่อนวัยอันควร ขนดก เสียงแหบห้าว หรือมีภาวะ Hyperthyroidism
มีอาการของระบบทางเดินอาหาร
เช่น ท้องเสีย ท้องผูก (แพร่กระจายไปช่องท้อง)
เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ผอมลง และมีไข้
ข้อสังเกตอาการสำคัญ
3 ประการ
อายุมากกว่า 40 ปี
มีประวัติการทำงานของรังไข่ผิดปกติ เช่น มีระดูตั้งแต่อายุน้อย ระดูผิดปกติบ่อย ระดูหมดเร็ว ระดูหมดช้า
มีอาการของระบบทางเดินอาหารผิดปกติเป็นเวลานาน
การกระจายของมะเร็งรังไข่
การหลุดลอกของเซลล์มะเร็ง (surface exfoliation) ซึ่งพบได้บ่อยที่สุด
การแพร่ไปตามพื้นผิว (direct extension) ผิวก้อนมะเร็งแตกออก และเซลล์มะเร็ง แพร่ไปตามอวัยวะในอุ้งเชิงกราน
การแพร่กระจายไปตามระบบน้ำเหลือง (Lymphatic speading) ที่มาเลี้ยงรังไข่
การแพร่กระจายไปตามระบบเลือด (Hematogenous spreading)
การแบ่งระยะของมะเร็งรังไข่โดย Internaltional Federation of Gynecology and Obstertrics (FIGO)
Stage II
หมายถึง
มะเร็งอยู่ข้างหนึ่งหรือสองข้าง และแพร่กระจายไปอุ้งเชิงกรานเช่น ช่องคลอด ท่อนำไข่ กระเพาะปัสสาวะ
ลำไส้ใหญ่
แบ่งเป็น
IIc มะเร็งแพร่กระจายในช่องท้อง มี ascites
IIb มะเร็งลุกลามเข้าไปในช่องเชิงกราน เช่น กระเพาะปัสสาวะ
มะเร็งลุกลามเข้าอวัยวะสืบพันธุ์ เช่น ช่องคลอด
Stage III
หมายถึง
III มะเร็งอยู่ในรังไข่และลุกลามเข้ายังอวัยวะในช่องท้อง เช่น
ต่อมน้ำเหลืองในช่องท้องและลำไส้
แบ่งเป็น
IIIb มะเร็งมีขนาดเล็กกว่า 2 cm ไม่พบกระจายไปต่อมน้ำเหลือง
IIIc มะเร็งมีขนาดใหญ่กว่า 2 cm พบมะเร็งที่ต่อมน้ำเหลือง
IIIa มะเร็งแพร่กระจายช่องท้อง
Stage I
หมายถึง
มะเร็งอยู่ในรังไข่
แบ่งเป็น
Ib เนื้อมะเร็งอยู่ที่รังไข่ 2 ข้างและยังไม่ออกนอกรังไข่
Ic มะเร็งอยู่ในรังไข่ข้างใดข้างหนึ่ง หรือสองข้างร่วมกับมะเร็งอยู่ที่ผิวของรังไข่ หากมะเร็งเป็นถุงน้ำ
และถุงน้ำแตกออกพบเซลล์มะเร็งในช่องท้องพบ ascites
Ia เนื้อมะเร็งอยู่ที่รังไข่ 1 ข้าง
Stage IV
หมายถึง
มะเร็งแพร่กระจายไปยังตับ ปอด และสมอง
การวินิจฉัย
อาการและอาการแสดง
ตรวจภายใน: คลำได้ก้อนที่ปีกมดลูก
ตรวจร่างกาย: คลำพบก้อนที่ช่องท้อง ascites ต่อมน้ำเหลืองโต ฯลฯ
U/S
CT scan
Tumor marker ของมะเร็งรังไข่ ได้แก่ CA-125 (ปกติ 35 U/ml), CA 19-19,
Alpha fetoprotein (AFP), β-HCG, Lactate dehydrogenase
การรักษา
การผ่าตัด TAH with BSO with Omentectomy
รังสีรักษา เป็น palliative treatment
Chemotherapy
มะเร็งปากช่องคลอด (Vulva Cancer)
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง
อายุ ส่วนมากพบในหญิงวัยหมดระดู อายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไป
ประวัติระดูหมดเร็ว ไม่มีบุตร มีคู่นอนหลายคนที่มีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
การติดเชื้อเรื้อรังบริเวณอวัยวะเพศมาก่อน
เคยเป็นมะเร็งปากมดลูกมาก่อน เชื้อ HPV
ภาวะภูมิคุ้มกันลดต่ำลง
โรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง
ปัจจัยส่งเสริม เช่น สูบบุหรี่
อาการและอาการแสดง
คันที่ปากช่องคลอดเรื้อรัง (pruritus vulva)
มีก้อนลักษณะขุรขระเหมือนหูดขนาดใหญ่หรือแผลเรื้อรังที่ปากช่องคลอดหรือ labia majora มีหนองหรือเลือดออกที่แผล
ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโต
การวินิจฉัย
ตัดชิ้นเนื้อไปตรวทางพยาธิวิทยา เป็นการวินิจฉัยที่แน่นอนที่สุด
การรักษา
การผ่าตัด
Radical wide excision เป็นการผ่าตัดที่ตัดรอยโรคออกให้ลึกและกว้าง โดยห่างจากขอบมะเร็งอย่างน้อย 1 cm
Simple vulvectomy หรือ Hemivulvectomy อาจจำเป็นต้องทำให้กรณีที่มีรอยโรคเกิดขึ้นหลายๆแห่ง
Redical vulvectomy และ Inguinal lymphadenectomy การผ่าตัดอวัยวะสืบพันธุ์ออกและเลาะต่อมน้ำเหลืองออกจากขาหนีบทั้ง 2 ข้าง
รังสีรักษา
เพื่อลดอุบัติการของการกลับเป็นซ้ำที่ขาหนีบในผู้ป่วยที่มีมะเร็งแพร่กระจายมาที่ต่อมน้ำเหลืองมากกว่า 2 ต่อมขึ้นไป
เคมีบำบัด
การพยาบาล
การพยาบาลก่อน – หลังผ่าตัด
โดยเฉพาะหลังผ่าตัด Redical vulvectomy อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้มาก เช่น แผลแยก แผลอักเสบติดเชื้อ ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ น้ำเหลืองคั่งโคนขาหนีบ ชาที่โคนขา กลั้นปัสสาวะไม่ได้ เป็นต้น
การพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยรังสี
การกลับเป็นซ้ำของมะเร็งปากช่องคลอด
การเกิดการกลับเป็นซ้ำของมะเร็งปากช่องคลอดและขาหนีบ (local recurrent) พบมาก ในผู้ป่วยที่มีขนาดของมะเร็งโตกว่า 4 cm และขอบเขตของการผ่าตัดห่างจากมะเร็งน้อยกว่า 2 cm วิธีการรักษาจะใช้รังสีรักษาร่วมกับการผ่าตัด
การกลับเป็นซ้ำในที่อื่นๆ (distant recurrent) พบมากขึ้นถ้าจำนวนของต่อมน้ำเหลืองมีมะเร็งมากกว่าหรือเท่ากับ 3 ต่อมขึ้นไป จะรักษาด้วยวิธีเคมีบำบัด หรือเคมีบำบัดร่วมกับรังสีรักษา (chemoradiation)
มะเร็งเนื้อรก(Gestational Trophoblastic Neoplasia)
พยาธิวิทยา
Nonmetastatic trophoblastic disease (NMTD)
มีการลุกลามเฉพาะที่ตัวมดลูกเท่านั้น
Metastatic trophoblastic disease (MTD)
มีการแพร่กระจายทางหลอดเลือด เกิดหลัง molar pregnancy
อาการและอาการแสดง
เลือดออกกะปริดกะปรอยทางช่องคลอด
central necrosis และมีเลือดออกภายในก้อนมะเร็ง ผู้ป่วยจึงมีอาการหลากหลายแล้วแต่ตำแหน่งที่มะเร็งแพร่กระจาย
การวินิจฉัย
ซักประวัติ
ที่เกี่ยวข้องกับอวัยวะที่มีเนื้องอกกระจายออกไป
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
เจาะเลือดหา tumor marker ได้แก่ -hCG
ผลชิ้นเนื้อที่ตรวจได้เป็น choriocarcinoma
การตรวจพิเศษ
Chest X-ray ใช้ในการตรวจหาการแพร่กระจายไปยังปอด
CT scan ตรวจการแพร่กระจายไปยังสมอง
Ultrasound จะพบ Metastatic evidence รอยโรคที่มีการแพร่กระจาย
การรักษา
การรักษาผู้ป่วยกลุ่ม low risk
ใช้การผ่าตัด Total Abdominal Hysterectomy ร่วมกับการรักษาด้วยเคมีบำบัด(Metrotexate+Actinomycin D)
การรักษาผู้ป่วยกลุ่ม high risk
ใช้การผ่าตัด Total Abdominal Hysterectomy ร่วมกับการรักษาด้วยเคมีบำบัด (Metrotrexate+Actinomycin D+Cyclophosphmide)
การพยาบาล
การพยาบาลก่อน-หลังผ่าตัด
การพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยเคมีบำบัด
มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก
ปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก
พันธุกรรม
สตรีที่มีญาติสายตรงเป็นมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกจะมีโอกาสเสี่ยง
อายุ
มักพบในวัยหมดระดู อาจเกิดจากเซลล์เยื่อบุโพรงมดลูกมีการฝ่อหรือเปลี่ยนสภาพไป
จำนวนบุตร (parity)
สตรีที่ยังโสดหรือไม่มีบุตรพบว่า มีอุบัติการณ์ของมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกสูงเป็น 2-3 เท่าเมื่อเปรียบเทียบกับสตรีที่มีบุตรหลายคน
การเข้าสู่วัยหมดระดูช้า (late menopause)
พบบ่อยในสตรีที่หมดระดูช้ากว่าปกติ โดยสตรีที่หมดระดูหลังอายุ 52 ปีขึ้นไป
ภาวะอ้วน (obesity)
BMI > 25 และวัยหมดระดูแล้ว
โรคเบาหวาน (Diabetes mellitus)
มักพบร่วมกับสตรีอ้วน
ความผิดปกติของระดับฮอร์โมน
ความผิดปกติของระดับฮอร์โมนที่เป็นผลมาจากบางโรค เช่น เนื้องอกรังไข่แบบที่สร้างฮอร์โมนเอสโตรเจน
อาการแสดงและการวินิจฉัย
อาการ
ตกเลือด หรือมีเลือดออกผิดปกติ ในวัยหมดระดู
Vaginal discharge มีน้ำใสๆ เหลืองๆ ไหลออกทางช่องคลอด
อาการอื่นๆ เช่น คลำพบก้อน มีหนองในโพรงมดลูก (pyometra)
การวินิจฉัย
Pap smear
Hysteroscopy
Transvaginal ultasonography; TVS
การขูดมดลูกแบบแยกส่วน (Fractional curettage; F&C)
การรักษา
การผ่าตัด
TAH c BSO c peritoneal washing (Omental or Peritoneal biopsy)
TAH
Radical hysterectomy c pelvic lymphadenectomy
รังสีรักษา
ใช้เมื่อรักษาด้วยการผ่าตัดไม่ได้ หรือระยะของโรคลุกลามไปมากแล้ว หรือใช้ระงับอาการปวด
การรักษา
ฮอร์โมนบำบัด
เคมีบำบัด
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง
สาเหตุ
เชื้อ Human Papilloma Virus; HPV โดยเฉพาะ type 16, 18, 31, 35, 39, 45, 51, 52, 58, 59, 61, 66-68
ปัจจัยเสี่ยง
มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุน้อย (น้อยกว่า 20 ปี)
มีคู่นอนหลายคน (Multiple partners)
มีบุตรมาก
ฐานะยากจน
มีประวัติการเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
การสูบบุหรี่
โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น โรคเอดส์หรือรับประทานยากดภูมิต้านทาน เช่น Steroid
ชนิดของมะเร็งปากมดลูก
Squamous cell carcinoma (SCC)
พบประมาณ ร้อยละ 80-85 เป็นการเปลี่ยนแปลงของ cervical intraepithelial neoplasia (CIN) แบ่งความรุนแรง 3 ระดับ คือ well, moderately, poorly differentiated carcinoma
Adenocarcinoma
พบบริเวณ endocervix
พยาธิสภาพมะเร็งปากมดลูก
การเปลี่ยนแปลงของเซลล์เยื่อบุปากมดลูก ชั้น squamous ที่เรียกว่า spuamous intraepithelium cell ระยะก้อลุกลาม
LSIL คือ การติดเชื้อ HPV ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่ำ พบความผิดปกติเฉพาะ lower 1/3 ของชั่นเยื่อบุปากมดลูก
HSIL คือ การติดเชื้อ HPV ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง พบความปิดปกติเกือบทั้งหมดของชั้นเยื่อบุปากมดลูก
เกิดจากเซลล์ผิดปกติของเซลล์เยื่อบุปากมดลูก เรียก dysplasia/ disorder growth
การเปลี่ยนแปลงของเซลล์ เกิดขึ้นที่ T cell เป็นบริเวณรอยต่อ ระหว่าง squamous epithelial cell และ columnar E cell ที่อยู่รอบ external os
กระบวนการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่จัดว่าอยู่ในระยะของมะเร็ง
แต่ถ้าหากมีการติดเชื้อ HPV เซลล์ T cell จะเติบโตเพิ่มจำนวนมากขึ้นและมีรูปร่างผิดปกติไปจากเดิมมาก
อาการและอาการแสดง
ระยะก่อนลุกลาม
ไม่มีอาการผิดปกติ
ตกขาว (Leucorrhoea) และเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด
ต่อมาตกขาวปนเลือดหรือเลือดออกกะปริดกะปรอยเป็นอาการนำที่มีลักษณะเฉพาะ โดยอาจเป็นเลือดออกภายหลังการมีเพศสัมพันธ์
ในระยะท้ายๆ ของโรค
อาจมีอาการของโรคลุกลามไปยังอวัยวะอื่น เช่น ปัสสาวะปนเลือดหากมะเร็งมีการกระจายไปยังกระเพาะปัสสาวะ
ลักษณะทางคลินิกของมะเร็งปากมดลูก
ก้อนทูมยื่นออกมา (exophytic growth)
เป็นชนิดบ่อยที่สุด เนื้อที่ยื่นออกมาจะเปื่อยยุ่ย มีเลือดออกได้ง่าย ก้อนชนิดนี้มักจะมีการอักเสบติดเชื้อและเนื้อตาย
ก้อนมะเร็งลุกลามเข้าไปในเนื้อปากมดลูก
ทำให้เนื้อปากมดลูกแข็งผิดปกติ ซึ่งมองจากภายนอกจะไม่เห็นความผิดปกติและไม่มีการอักเสบติดเชื้อให้เห็นเด่นชัด
ก้อนมะเร็งกัดกร่อนปากมดลูกจนแหว่งหรือเกิดเป็นโพรง
ซึ่งมักมีการอักเสบติดเชื้อและกลิ่นเหม็น
ครรภ์ไข่ปลาอุก
สาเหตุ/ชนิด
อายุ สตรีตั้งครรภ์ที่มีอายุมากกว่า 40 ปี
Hx. Molar pregnancy
มีระดูน้อยหรือมีระดูช้ากว่าปกติ
ชนิดและพยาธิสภาพ
Complete molar pregnancy
Partial molar pregnancy
อาการและอาการแสดง
อาการของการตั้งครรภ์
เช่น ระดูขาด คลื่นไส้อาเจียนรุนแรง
เลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด
เริ่มมีเลือดออกผิดปกติตั้งแต่ไตรมาสแรก ลักษณะเลือดที่ออกทางช่องคลอดมักจะเป็นสีแดงเข้ม (prune-juice color) เนื่องจากเลือดออกมาจากการลอกตัวของ molar tissue แล้วถูก oxidize ให้เป็นสีแดงเข้ม
พบเม็ด Moles
คล้ายสาคูหลุดออกมาทางช่องคลอด
ภาวะครรภ์เป็นพิษ
เกิดในช่วงครึ่งแรกของการตั้งครรภ์ พบ BP สูง บวม ตรวจพบโปรตีน ในปัสสาวะ และมี hyperreflexia และอาการครรภ์เป็นพิษนี้จะแปรผันตรงกับขนาดของมดลูก
Hyperthyroidism
พบ free T3, free T4 สูง และ TSH ต่ำ
ขนาดมดลูกโตผิดปกติ
จะพบว่า ขนาดของมดลูกโตกว่าอายุครรภ์
No feral heart sound / No fetus part
ถุงน้ำชนิด Theca lutein cyst
เกิดจากระดับ B-hCG ที่สูงมากๆ กระตุ้นรังไข่ทั้ง 2 ข้างเกิดเป็นถุงน้ำ
Trophoblastic embolization
เกิดจาก Trophoblast cell กระจายไปที่ปอด มีอาการเจ็บหน้าอก หายใจลำบาก หายใจเร็วและหัวใจเต้นเร็ว ฟังปอดได้ยินเสียงกรอบ แกรบ (rales) X-ray พบ pulmonary infiltrates
การวินิจฉัย
ซักประวัติ
การตรวจร่างกาย
ตรวจภายใน
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การเจาะเลือดตรวจหาระดับ B-hCG ซึ่งเป็น tumor marker พบว่า มีระดับของ -hCG > 100,000 m lU/ml
การตรวจพิเศษ
Pelvic Ultrasonography จะพบถุงน้ำเล็กๆ สีขาวโพลนจำนวนมาก เรียกว่า snow storm pattern
Chest X-ray พบว่า มี bilateral pulmonary infiltration ในผู้ป่วยที่มีอาการ Trophoblastic embolization
Amniography การฉีดสารทึบแสงเข้าไปในโพรงมดลูกแล้วถ่ายภาพ X-ray แต่ปัจจุบันไม่นิยมทำแล้ว
การรักษา
การทำให้ภาวะตั้งครรภ์สิ้นสุดลง
Uterine curettage ขูดมดลูก ถ้ามดลูกมีขนาดอายุครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์
Suction curettage ทำในรายที่ขนาดใหญ่เกิน 12 สัปดาห์ และควรให้ oxytocin ทางหลอดเลือดดำต่อหลังขูดมดลูกอีก 24 ชั่วโมงเพื่อลดการเสียเลือด
Hysterectomy ปัจจุบันไม่นิยมทำเนื่องจากเสียเลือดมากกว่าการทำ suction curettage
Hysterectomy สามารถทำได้ในผู้ป่วยที่ไม่ต้องการมีบุตรอีก โดยเฉพาะผู้ป่วยที่อายุมากกว่า 35 ปี มี 2 แบบ
Hysterectomy with mole in situ หัตถการนี้มีความเสี่ยงต่อการเสียเลือดในระหว่างผ่าตัดได้มาก
Hysterectomy after suction curettage มีโอกาสเสียเลือดจากการผ่าตัดน้อยกว่าเนื่องจากมดลูกมีขนาดเล็กลง
การให้ยาเคมีบำบัด
ป้องกันภาวะ Malignant trophoblastic disease
การนัดตรวจติดตามการรักษาภายใน 2 ปีแรก
เพื่อติดตามดูระดับ B-hCG ทุก 1-2 สัปดาห์ อย่างน้อย 3 ครั้ง ตรวจเดือนละครั้งจนครบ 6 เดือน และตรวจทุกๆ 2 เดือน จนครบ 1 ปี ร่วมกับการใช้ยาคุมกำเนิดอย่างน้อย 1 ปี
อ้างอิง
วสกร เสือดี. (2014). การเตรียมผู้ป่วยก่อนการผ่าตัดทางนรีเวช. สืบค้นเมือ 13 มกราคม 2564.สืบค้นเมือ 13 มกราคม 2564.
https://w1.med.cmu.ac.th/obgyn/index.php?option=com_content&view=article&id=960:2014-03-27-05-18-33&catid=45&Itemid=561
Berg JW AP, Lidz CW, et al. Informed Consent: Legal Theory and Clinical Practice, 2nd edition, Oxford University Press, New York 2001.
มนตรี คำรังษี. (2019). การซักประวัติอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ: กรณีศึกษาระบบนรีเวช. สืบค้นเมือ 13 มกราคม 2564. สืบค้นจากเว็บ : file:///C:/Users/USER/Downloads/211811-Article%20Text-667638-1-10-20190826.pdf
กมลวรรณ สาพันธ์.การบิดขั้วของปีกมดลูก.สืบค้นเมื่อ 13 มกราคม 2564. สืบค้นจากเว็บ:
http://www.smj.ejnal.com/e-journal/showdetail/?show_detail=T&art_id=1318
โซ่สกุล บุณยะวิโรจ. (2017). เนื้องอกรังไข่. สืบคันเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2564. สืบค้นจาก
https://www.phyathai.com/article_detail/1858/th
สุวิชา จิตติถาวร. (2018). มะเร็งรังไข่. สืบค้นเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2564. สืบค้นจาก
https://med.mahidol.ac.th/cancer_center/th
หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2. “หูดข้าวสุก”. (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ). หน้า 979.
หาหมอดอทคอม. “หูดข้าวสุก Molluscum contagiosum”. (ศ.คลินิกเกียรติคุณ นพ.พนัส เฉลิมแสนยากร). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : haamor.com.
หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2. “เริม (Herpes simplex)”. (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ). หน้า 969-974.
อ้างอิง (ซิฟิลิส) :
http://www.rtcog.or.th/home/wp-content/uploads/2017/05/articlesfile_098713.pdf
https://www.siamhealth.net/public_html/Disease/infectious/std/Syphilis.htm
https://medtech.psu.ac.th/systems/uploads/documents/news_20200702_161655.pdf
Increase in Incidence of Congenital Syphilis — United States, 2012–2014 MMWR November 13, 2015