Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การวินิจฉัยปัญหาสุขภาพอนามัยชุมชน (การวินิจฉัยปัญหาสุขภาพอนามัยชุมชน)
การวินิจฉัยปัญหาสุขภาพอนามัยชุมชน
การวินิจฉัยปัญหาสุขภาพอนามัยชุมชน
การวินิจฉัยปัญหาสุขภาพอนามัย
ความหมาย
การบอกภาวะสุขภาพอนามัยของชุมชน ซึ่งได้รวบรวมและวิเคราะห์ มีการเทียบกับข้อมูลเดิมที่มีอยู่ ตลอดจนเปรียบเทียบกับพื้นที่อื่นๆ แล้วจึงนําข้อมูลทั้งหมดที่ได้มากําหนดเพื่อวินิจฉัยปัญหาสุขภาพชุมชนต่อไป
ประโยชน์
ทําให้มองสภาพการณ์ของชุมชนได้ชัดเจนขึ้น
3.ใช้เป็นข้อความสื่อสารให้ชุมชนทราบและเข้าใจถึงสภาวะสุขภาพของชุมชน เพื่อร่วมกันหาแนวทางแก้ไข
ใช้เป็นข้อความสื่อสารในทีมสุขภาพให้มีความเข้าใจตรงกัน
ปัญหาสุขภาพอนามัยของชุมชน
ความหมาย
ความแตกต่างระหว่างภาวะสุขภาพอนามัยของชุมชนที่เป็นอยู่ในปัจจุบันกับภาวะสุขภาพอนามัยที่ควรจะเป็น
การวิเคราะห์ปัญหาสาธารณสุข
วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยต่างๆกับการเกิดโรค พิจารณาโดยใช้วิธีการทางสถิติ
พิจารณาผลของปัญหาสาธารณสุข ว่ามีผลต่อ บุคคล สิ่งก่อโรค และสิ่งแวดล้อม
วิเคราะห์ข้อมูลที่เก็บได้ เพื่อให้ได้ข้อสรุปของชุมชนว่าสาเหตุที่สําคัญคืออะไร
พิจารณาตามสาเหตุของการเกิดปัญหาสาธารณสุข โดยใช้หลักวิทยาการระบาด
นําผลการวิเคราะห์ปัญหาสาธารณสุข มาเรียงลําดับแล้วกําหนดปัญหาของชุมชนขึ้น
เก็บรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อช่วยยืนยันสาเหตุของปัญหา
พิจารณาลักษณะของปัญหา โดยจําแนกถึงขนาด และความ รุนแรงของปัญหา
การระบุปัญหาอนามัยชุมชน
1) การเลือกสิ่งที่เป็นปัญหา
3) การเปรียบเทียบกับหลักเกณฑ์
4) การกําหนดสภาพและขอบเขตของปัญหา
5) การค้นหาสาเหตุของปัญหา
2) การกําหนดดัชนีชี้วัด
การกําหนดข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลอนามัยชุมชน
ส่วนที่กําหนดปัญหา ทำให้ทราบเป้าหมายของกิจกรรมการพยาบาล
2 ส่วนที่ระบุสาเหตุ ใช้เป็นแนวทางกําหนด กิจกรรมการพยาบาล
3 ส่วนที่เป็นข้อมูลสนับสนุน ใช้เป็นแนวทางในการประเมินผลกิจกรรมการพยาบาล
การจัดลําดับความสําคัญของปัญหา (Priority Setting)
วิธีที่ 3 ของ 5 D
ใช้หลักการทางวิทยาการระบาด
1) Death
จํานวนประชากรที่ตายจากปัญหา
2) Disability
จํานวนประชากรที่มีแนวโน้มที่ก่อให้เกิดความพิการจากปัญหา
3) Disease
จํานวนประชากรที่ป่วยเป็นโรคจากปัญหา
4) Discomfort
ความไม่สุขสบายและการตระหนักของประชาชน
5) Dissatisfaction
ความไม่พึงพอใจและต้องการที่จะแก้ไขปัญหาของประชาชน
วิธีที่ 4 ของกระบวนการกลุ่ม (Nominal Group Process)
เป็นการนํากระบวนการกลุ่มมาใช้ในการจัดลําดับความสําคัญปัญหา เพื่อให้ประชาชน เป็นคนตัดสินใจเลือกแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง ตามลําดับความสําคัญ
1) ความสําคัญของปัญหาหรือผลกระทบของปัญหาต่อชุมชน
2) ผลดีผลเสียในการดําเนินงานแก้ไขปัญหา
3) ความสามารถของชุมชน ในการดําเนินงานแก้ไขปัญหา
วิธีที่ 7 Standhope และ Lancaster (2000)
นําคะแนนของเกณฑ์มาคูณกับคะแนนของปัญหา และนําที่ได้มาบวกกัน
เกณฑ์ (Criteria) สําหรับการเรียงลําดับความสําคัญของปัญหา
5 ความรุนแรงของปัญหา
6 ความรวดเร็วที่จะต้องแก้ไขปัญหานั้น
3 ความสามารถของพยาบาล
2 ความตั้งใจในการจะแก้ไขปัญหา
1 การรับรู้ปัญหา
4 ผู้ชํานาญการในการแก้ปัญหานั้นๆที่มีอยู่
มีน้ำหนักคะแนน ตั้งแต่ 1 - 10
วิธีที่ 2 วิธีขององค์การอนามัยโลก
Guide Index
2 ความสําคัญของปัญหา
1 ขนาดของปัญหา
3 ความเหมาะสมของเทคโนโลยี
ใช้สําหรับปัญหาสุขภาพ ที่ไม่ซับซ้อน
Public Health In the Western Pacific
3 ความสนใจของชุมชน
2 ขนาดของปัญหา
1 ความเหมาะสม
4 การสนับสนุนด้านนโยบาย
เหมาะสําหรับปัญหาที่เกี่ยวข้องกับความเจ็บป่วยหรือโรค
วิธีที่ 6 วิธีของคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
องค์ประกอบที่ 3 ความยากง่ายในการที่จะแก้ไขปัญหา (Feasibility of Management)
คะแนน 0-4
พิจารณาหลายด้าน คือ เทคโนโลยี กำลังคน เวลา ทรัพยากร งบประมาณ และนโยบาย
องค์ประกอบที่ 2 ความรุนแรงของปัญหา (Severity of Problem)
แบบที่ 1
ร้อยละหรืออัตราประชากรที่ได้รับผลจากปัญหา คะแนน 0-4
แบบที่ 2
ความร้ายแรงปัญหา คะแนน 0-4
นิยมในปัจจุบัน
เนื่องจากมีองค์ประกอบ ที่ง่ายต่อการตัดสินใจ คํานวณเป็นคะแนนได้ง่ายและไม่ซับซ้อน
การคิดคะแนน
วิธีที่ 1 วิธีบวก (Additive Method)
ความสําคัญของปัญหา = A + B + C + D
วิธีที่ 2 วิธีคูณ (Multiplicative Method)
ความสําคัญของปัญหา = A x B x Cx D
องค์ประกอบที่ 4 ความตระหนักและความร่วมมือของประชาชนในชุมชน (Community Concern)
ประเมินได้จากการซักถาม การสังเกต หรือ การให้ประชาชนมีส่วนร่วม
คะแนน 0-4
องค์ประกอบที่ 1 ขนาดปัญหา (Size of Problem)
ร้อยละ/อัตราอุบัติการณ์/อัตราความชุกของโรค คะแนน 0-4
วิธีที่ 5 ของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย
4) การยอมรับร่วมกันของชุมชน มีค่าคะแนนอยู่ระหว่าง 1-5
1) ขนาดของกลุ่มชนที่ถูกกระทบ มีค่าคะแนนอยู่ระหว่าง 1-5
2) ความร้ายแรงและเร่งด่วน มีค่าคะแนนอยู่ระหว่าง 1-5
3) ความเสียหายต่อการพัฒนาในอนาคต มีค่าคะแนนอยู่ระหว่าง 1-5
คิดจากเกณฑ์และ ความสัมพันธ์ของปัญหาเกณฑ์ที่ใช้พิจารณา ได้แก่
วิธีที่ 1 ของ John J. Halon
สูตรในการคํานวณ
Basic Priority Rating (BPR) = (A + B) C/3 x D
เหมาะสําหรับปัญหาระดับนโยบาย ต้องเกิดจากการทํางานที่ต่อเนื่องของทีมงานเดียวกัน
องค์ประกอบ A : ขนาดปัญหา
คํานวณจากปัญหาที่ประชาชนได้รับผลกระทบ
การให้คะแนนอยู่ระหว่าง 0 - 10
อัตราอุบัติการณ์ หรืออัตราความชุกของโรค
องค์ประกอบ B : ความรุนแรงปัญหา
ความเร่งด่วน (Urgency)
พิจารณาจากอัตราของประชาชนที่ได้รับผลกระทบ
ความร้ายแรง (Severity)
พิจารณา จากอัตราตาย และความพิการ
การสูญเสียทางเศรษฐกิจ (Economic Loss)
พิจารณาจาก ความรุนแรงของปัญหาที่มีผลต่อการลงทุน
4) ความเกี่ยวข้องของประชากรกับปัญหา (Involvement of Other People)
ปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องทําให้ปัญหามีขนาดและความรุนแรงมากขึ้น
มีคะแนน 0-20 โดยแต่ละปัจจัยมีคะแนน 0-10
องค์ประกอบ C: ประสิทธิผลของการปฏิบัติงาน
ความเป็นไปได้ของวิธีการแก้ไขปัญหา
เป็นผลคูณของ Basic Priority Rating (BPR)
องค์ประกอบ D : ข้อจำกัด
ปัจจัยกำหนดความสำเร็จ ภายใต้ทรัพยากรที่มีอยู่เป็นการดูความเป็นไปได้ของโครงการ
แต่ละปัจจัยมีคะแนนเป็น 0 หรือ 1
พิจารณาจาก
ความเหมาะสม (Propriety = P)
เศรษฐกิจ (Economics = E)
การยอมรับ (Acceptability =A)
ทรัพยากร (Resources = R)
ความเป็นไปได้ทางกฎหมาย (Legality = L)
การคิดวิเคราะห์หาสาเหตุราก (Root Cause Analysis : RCA)
วิธีการวิเคราะห์ RCA
Turning Point: เป็นการมองย้อนหลังก่อนที่จะเกิดปัญหา
Cognitive Walkthrough: ย้อนรอยอดีตโดยผู้ที่เกี่ยวข้อง
Conventional WHY: ทำไมจึงเกิดเหตุการณ์นั้นๆ
Comprehensive Scan: การใช้หัวข้อที่ครอบคลุมกว้างๆ