Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
distal end radius fracture (การวินิจฉัย (CT scan (whattoexpectctscan_0),…
distal end radius fracture
อาการและอาการแสดง
-ข้อมือจะบวม แดงขึ้นมา และเมื่อปล่อยทิ้งไว้จะยิ่งทำให้ข้อมือบวมมากขึ้นเรื่อยๆ
-ปวดที่ข้อมือ และปวดมากขึ้นเมื่อพยายามเคลื่อนไหวมือ
-ไม่สามารถขยับข้อมือได้เต็มที่
-ใช้มือจับบริเวณข้อมือจะรู้สึกว่าข้อมืออุ่นขึ้นเมื่อเทียบกับข้างปกติ
การวินิจฉัย
X-ray
CT scan
การทำMRI
การรักษา
-จัดกระดูกให้เข้าที่ แล้วใช้ลวดเสียบกระดูกให้อยู่ในสภาพที่ต้องการแล้วเข้าเฝือก
-การผ่าตัดเพื่อจัดกระดูกให้เข้าที่ พร้อมกับดามด้วยโลหะ
-รักษาภาวะ osteoporosis ในกรณีที่เป็น low-energy trauma ได้แก่การเสริม calcium และวิตามินดี , การให้ยาเฉพาะ สำหรับโรค osteoporosis , การแนะนำการออกกำลังกาย เพื่อเพิ่มมวลกระดูก และการป้องกันการหกล้มในผู้สูงอายุ
คำแนะนำเมื่อกลับบ้าน
-แนะนำให้รับประทานวิตามิน D 1000 unit/day และวิตามิน C 500 mg/day 6 สัปดาห์
-เมื่อมีอาการปวดให้รับประทานยาพาราเซตามอล
-การออกกำลังกาย เน้นไปที่การเคลื่อนไหวของนิ้วมือและการเคลื่อนไหวของข้อมือและการหมุนแขน
พยาธิสภาพ
ภาวะกระดูกหักที่เกิดในส่วนของ metaphysis ของปลายกระดูกradius ซึ่งจะอยู่ในช่วง ประมาณ 2 ซม. เหนือข้อต่อ radio-carpal joint
หากกระดูกหักบริเวณใกล้ข้อจะทำให้มีการฉีกขาดของเอ็นกระดูกและเอ็นกล้ามเนื้อเยื่อหุ้มข้อร่วมด้วย ทำให้มีเลือดออกเพิ่ขึ้นจากการที่เนื้อเยื่อบริเวณกระดูกที่หักเกิดการอักเสบ รวมทั้งจะมีการขยายตัวของหลอดเลือดทำให้บริเวณที่กระดูกหักเกิดอาการบวม
ข้อวินิจฉัยและการวางแผนการพยาบาล
ปวดเนื่องจากกระดูกหักบริเวณข้อมือ
1.ประเมินความปวดโดยใช้ plan scale
2.จัดท่านอนให้บริเวณที่หักอยู่ในท่าที่สบาย และวางสูงกว่าระดับหัวใจเพื่อลดอาการบวมและช่วยในการไหลเวียน
3.วางกระเป๋าน้ำแข็งบริเวณที่มีอาการปวด
4.เบี่ยงเบนความสนใจ เช่น ฟังเพลง
5.ดูแลให้ยาตามแผนการรักษาของแพทย์
6.แนะนำให้รับประทานอาหารที่ส่งเสริม
การหายของแผลเช่น เนื้อ นม ไข่ ผัก และผลไม้ต่าง ๆ
เสี่ยงต่อการเกิดcompartment syndromeเนื่องจากเนื้อเยื่อบริเวณข้อมือได้รับบาดเจ็บ
1.ประเมิน 6 P โดยการจับชีพจรpopliteal,posterior tibial,dorsalis pedis อาการปวด เสียว ชา จับเท้า และบริเวณที่กระดูกหัก
2.สังเกตอาการซีดของผิวหนังรอบๆให้เคลื่อนไหวบริเวณที่กระดูกหักเท่าที่จะทำได้ โดยควรประเมินทุกชั่วโมง หรืออย่างน้อยเวรละ1-2ชั่วโมง
3.ประเมินblanching test โดยการกดบริเวณเล็บมือเล็บเท้า
4.ไม่ยกบริเวณที่หักสูงกว่าระดับหัวใจ เมื่อสงสัยว่ามีอาการแสดงของcompartment syndrome
5.ขยายสิ่งที่กดรัดบริเวณอวัยวะที่หักเมื่อมีอาการบวมมากขึ้น
6.วัดรอบบริเวณอวัยวะที่หักทุกเวรเพื่อประเมินอาการบวม
7.รายงานแพทย์หากพบอาการผิดปกติเพื่อทำการแก้ไข หรือ ส่งวัดความดันในcompartment เพื่อพิจารณาทำ fasciotomy
ดูแลตนเองไม่ดีเนื่องจากขาดความรู้ในการดูแลตนเองอย่างต่อเนื่องเมื่อกลับบ้าน
1.ประเมินความรู้ และความพร้อมของผู้ป่วยทั้งร่างกายและจิตใจก่อนกลับบ้านทั้งผู้ป่วย/ญาติ
2.ให้ข้อมูลที่ละน้อยๆ พร้อมประเมินความเข้าใจเพื่อช่วยให้การเรียนรู้ดีขึ้น
3.ใช้กระบวนการกลุ่มในการถ่ายทอดความรู้ที่คล้ายคลึงกันกับผู้ป่วยอื่นๆเพื่อให้เกิดความสนใจ
4.แนะนำแหล่งให้ความรู้ แหล่งประโยชน์อื่นๆเพื่อให้ผู้ป่วยเกิดความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ
5.ประเมินความรู้/การปฎิบัติตัวอย่างต่อเนื่องที่บ้าน หลังให้การพยาบาลพร้อมบันทึกทุกเวร