Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
กระดูกหัก (Bone Fracture) หรือ Compound fracture Case Open fracture of…
กระดูกหัก (Bone Fracture) หรือ Compound fracture Case Open fracture of right leg
อากาาและอาการแสดง
กระดูกข้างขวาแตกหัก
ปวด
มีรอยแตกที่ขาขวาบริเวณกระดูกหน้าแข้ง
พยาธิสรีรภาพ
เมื่อกระดูกหักจะมีเลือดออกจากตัวกระดูกและเนื้อเยื่อรอบๆ กระดูก เมื่อเลือดหยุดไหลจะเกิดเป็นก้อนเลือดตรงบริเวณที่หักทำให้กระดูกสูญเสียความมั่นคง ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ตามปกติ และมีอาการปวดและชาเนื่องจากการสูญเสียการทำงานชั่วคราวของเส้นประสาทหากมีกระดูกหักบริเวณใกล้ข้อจะทำให้มีการฉีกขาดของเอ็นกระดูกและเอ็นกล้ามเนื้อเยื่อหุ้มข้อร่วมด้วย ทำให้มีเลือดออกเพิ่มขึ้นจากการที่เนื้อเยื่อบริเวณกระดูกที่หักเกิดการอักเสบ รวมทั้งจะมีการขยายตัวของหลอดเลือดทำให้บริเวณที่กระดูกหักเกิดอาการบวม กระดูกที่หักบริเวณแขนขาจะมีความยาวสั้นลงและผิดรูปออกไป เนื่องจากแรงดึงของกล้ามเนื้อตามแกนยาวของกระดูกทำให้กระดูกเกยกัน หากกระดูกรูปยาวหักอาจหักเป็นมุม เนื่องจากแรงดัด หรือโก่ง และแรงดึงของกล้ามเนื้อบริเวณรอบๆ กระดูกหักไม่เท่ากัน
การอักเสบเป็นระยะเวลานานจะทำให้เกิดพังผืด (Fibrosis) ขึ้นได้ โดยเฉพาะกระดูกหักบริเวณข้อ พังผืดที่เกิดรอบๆ ข้อทำให้ข้อติดแข็งได้
การวินิจฉัยโรค
จากประวัติการได้รับบาดเจ็บ ดูจากอาการปวด การเคลื่อนไหว อาจมองเห็นกระดูกหักได้จากภายนอก การถ่ายภาพรังสีจะช่วยให้จำแนกได้ว่า กระดูกหักแบบไหน โดยทั่วไปการถ่ายเอ็กเรย์ธรรมดาจะช่วยให้เห็นบริเวณที่หักได้ แต่หากได้ทำ Computed tomography (CT) scan จะช่วยประเมินลักษณะของการหักได้ดียิ่งขึ้น เพื่อช่วยวางแผนในการรักษาต่อไป
การรักษา
CT Scan การตรวจสแกนร่างกายด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์เพื่อหาความผิดปกติในบริเวณที่เฉพาะเจาะจง
การผ่าตัดโดยการทำวัสดุยึดตรึงกระดูกภายใน โดยการใส่ Screw and plate
การเปิดแผลลักษณะนี้มักจำเป็นต้องใช้กระดูกเสริมจากกระดูกสะโพกของผู้ป่วยเองมาวางบริเวณกระดูกที่หักเพื่อช่วยให้การเชื่อมติดของกระดูกดีขึ้น จึงทำให้ผู้ป่วยต้องมีแผลเพิ่มขึ้นบริเวณสะโพก จากความเสี่ยงและข้อแทรกซ้อนดังกล่าว จึงมีการพัฒนาเทคนิคการผ่าตัดยึดตรึงกระดูกหักแบบแผลเล็กขึ้น
ข้อวินิจฉัยและการวางแผนการพยาบาล
เสี่ยงต่อการติดเชื้อเนื่องจากได้รับการผ่าตัดใส่วัสดุยึดตรึงที่ขาข้างขวา
ประเมินการติดเชื้อที่แผลผ่าตัด โดยสังเกตลักษณะบาดแผลเกี่ยวกับลักษณะการบวม แดงรอบๆ แผลและสังเกต discharge ที่ซึมจากแผลผ่าตัด
ทาแผลผ่าตัดโดยใช้หลักปราศจากเชื้อ
ดูแลท่อระบายที่ขาให้ระบายสารเหลวอย่างมีประสิทธิภาพ สายไม่หัก พับ งอ ป้องกันการคั่งค้างเพื่อเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคได้
บันทึกสัญญาณชีพ ทุก 4 ชั่วโมง เพื่อดูการเปลี่ยนแปลง ถ้าอุณหภูมิมากกว่า 38 องศาเซลเซียสแสดงถึงการติดเชื้อ
รักษาความสะอาดร่างกาย เช็ดตัวให้สะอาด ดูแลความสะอาดปากฟัน เสื้อผ้า และ สิ่งแวดล้อม
แนะนาเรื่องการไม่แกะเกาแผล ไม่ให้น้าโดนแผล ถ้าน้าโดนแผลต้องรีบซับให้แห้งด้วยผ้าสะอาด และรีบไปรับการทาแผลจากพยาบาล
ดูแลการได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อการฟื้นตัวหลังทาผ่าตัดและการหายของแผล
ดูแลให้ได้รับยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษา
เสี่ยงต่อการตกเลือดจากการผ่าตัดใส่วัสดุยึดตรึงที่ขาข้างขวา
กิจกรรมการพยาบาล
ตรวจบันทึกสัญญาณชีพอย่างใกล้ชิดทุก 1 – 2 ชั่วโมง ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงผิดปกติรีบรายงานแพทย์
กรณีมีภาวะช็อก ขณะรอแพทย์ ควรให้การพยาบาล ดังนี้
จัดท่านอนให้นอนหงายราบศีรษะต่า ยกเท้าสูง 20 - 30 องศา ขาเหยียดตรง ห่มผ้าให้อบอุ่นเพื่อให้เลือดไหลกลับเข้าสู่หัวใจได้มากขึ้น
ทาการห้ามเลือดบริเวณที่มีเลือดออก โดยใช้ pressure dressing และบันทึกปริมาณเลือดที่ออก
บันทึกสัญญาณชีพทุก 15 – 30 นาที
จองเลือดและให้เลือดชดเชย
ให้สารละลายทางหลอดเลือดดาเพื่อพยุงปริมาตรน้าในร่างกาย
ให้ออกซิเจนเพื่อช่วยการหายใจ
สวนคาสายสวนปัสสาวะและบันทึกปริมาณทุก 1 ชั่วโมง
การประเมิน neurovascular status โดยหลัก 6 P (Pain, Pallor, Polar, Paralysis, Paresthesia , Pluselessness) และการทดสอบ blanching test (capillary refill) ทุก 4 ชั่วโมง
ตรวจดูการซึมของเลือดจากผ้าปิดแผลผ่าตัด และลักษณะเลือดที่ซึมออกมา