Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคในเด็ก (ภาวะแทรกซ้อนจากการให้วัคซีน (ดาวน์โหลด…
การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคในเด็ก
การทำให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกัน หรือความต้านทาน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรค หรือทำให้โรคมีความรุนแรงน้อยลง
วิธีการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
Active Immunization
วัคซีนที่เตรียมจากเชื้อที่ทำให้เกิดโรค อาจเป็นเชื้อที่ตายแล้วหรือมีชีวิตอยู่ แต่ทำให้อ่อนฤทธิ์ลง
เป็น antigen ไปกระตุ้นร่างกายให้สร้าง antibody ขึ้น
เป็นภูมิคุ้มกันที่อยู่ได้นาน
การสร้างภูมิคุ้มกัน อาศัยเม็ดเลือดขาว 2 ชนิด คือ
จะสร้าง antibodyซึ่งอยู่ในกระแสเลือด ช่วยในการป้องกันไม่ให้เป็นโรคครั้งต่อไป
กระตุ้นให้เกิดการเพิ่มจำนวนของเม็ดเลือดขาว ช่วยในการทำลายเชื้อโรคโดยตรง
ลักษณะที่สำคัญ
2.มีความทรงจำ (memmory) ทั้ง B และ T lymphocyte ที่เคยพบกับเชื้อในวัคซีนใดครั้งหนึ่งแล้ว เมื่อถูกกระตุ้นเป็นครั้งที่ 2 จะมรีการตอบสนองได้เร็วกว่าครั้งแรก ถึงแม้ว่าการกระตุ้นทจะห่างจากครั้งแรกนานเป็นเดือน ๆ
3.การให้วัคซีน ต้องให้หลายๆครั้ง เพื่อกระตุ้นให้ภูมิคุ้มกันสู.ขึ้น และอยู่ได้นานพอที่จะป้องกันได้ในระยะยาว
1.มีความจำเพาะ (spesificity) ในการป้องกันหรือต้านทานได้ เฉพาะเชื้อในส่วนของวัคซีนที่ทำหน้าที่เป็น Anyigen นั้นๆ
เป็นการเลียนแบบการติดเชื้อในธรรมชาติ โดยใช้เชื้อที่ทำให้อ่อนฤทธิ์ หรือบางส่วนของเชื้อที่มีคุณสมบัติเป็น antigen เข้าสู่ร่างกายเพื่อกระตุ้นร่างกายให้สร้างภูมิคุ้มกันโดยไม่เกิดโรคอย่างการติดเชื้อโดยธรรมชาติ ได้แก่ วัคซีนชนิดต่าง ๆ ที่ให้ในเด็กประมาณ 20 ชนิด
Passive Immunization
การให้ anti-serum หรือ antitoxin ที่มีภูมิคุ้มกันอยู่แล้ว
เพื่อป้องกันโรค
เป็นภูมิคุ้มกันไม่ถาวร
อาจเกิดอาการแพ้
ภูมิคุ้มกันที่ผลิตขึ้นเพื่อใช้ฉีดเข้าไปในร่างกายให้ออกฤทธิ์ทันที (passive immunity) เรียกว่า immunoglobulin ใช้ในกรณีที่รอให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันไม่ทัน ภูมิคุ้มกันเหล่านี้อยู่ในร่างกายไม่นานก็หมดไป มีทั้งชนิดรวมคือมีฤทธิ์ต้านทาน antigen หลายชนิด คือintravenous immunoglobulin (IVIG) และชนิดเฉพาะเจาะจงต่อเชื้อแต่ละอย่าง เช่น ภูมิต้านทานไวรัสตับอักเสบบี hepatitis B immunoglobulin (HBIG) ใช้ฉีดให้ทารกที่คลอดจากแม่ที่เป็นพาหะไวรัสตับอักเสบบี เพื่อป้องกันทารกติดเชื้อขณะคลอด หลังจากนั้นจึงฉีดวัคซีนเพื่อให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาเอง นอกจากนี้ยังมีภูมิต้านทานโรคพิษสุนัขบ้า rabies immunoglobulin (RIG) โรคบาดทะยัก tetanus antitoxin (TAT) ภูมิต้านทานพิษงูที่เราเรียกกันว่าเซรุ่มต้านพิษงู (antivenom)
Immunoglobulin (Ig) คือโปรตีนชนิด globulin ที่ทำหน้าที่ด้านภูมิคุ้มกันด้านสารน้ำ มีทั้งหมด 5 กลุ่ม คือ
1.IgG เป็น immunoglobulin ที่มีขนาดเล็กที่สุด เป็นชนิดเดียวที่สามารถผ่านรกได้ และมีปริมาณมากที่สุดคือ 75-80%ของ immunoglobulin ทั้งหมดในน้ำเหลืองของคนปกติ มีบทบาทสำคัญในการป้องกันโรคติดเชื้อต่าง ๆ มีระดับสูงขึ้นหลังการกระตุ้นด้วย antigen โดยเฉพาะการตอบสนองต่อการติดเชื้อระยะที่ 2 (secondary response) ต่อจาก IgM ที่สร้างขึ้นในระยะแรกของการติดเชื้อ
2.IgA พบ 7-15 % ของ immunoglobulin ทั้งหมดในน้ำเหลือง ผลิตโดย plasma cell ที่อยู่ใต้ชั้นเยื่อบุผิว ส่วนใหญ่อยู่ในสารคัดหลั่งต่าง ๆ เช่น น้ำนมมารดา น้ำตา น้ำลาย สิ่งคัดหลั่งของปอด ทางเดินอาหาร ทางเดินหายใจ ระบบขับถ่าย มีบทบาทสำคัญที่สุดในการป้องกันโรคติดเชื้อของเยื่อบุต่าง ๆ โดยเฉพาะการติดเชื้อไวรัสของระบบหายใจและระบบทางเดินอาหาร และ IgA ที่อยู่ใน ของมารดา เป็นภูมิคุ้มกันที่ช่วยป้องกันทารกแรกคลอดจากการติดเชื้อ
3.IgM มีขนาดใหญ่ที่สุด พบ 5-10% ของ immunoglobulin ทั้งหมดในน้ำเหลือง เป็น antibody ตัวแรกที่ร่างกายสร้างขึ้นในการตอบสนองต่อ antigen ในระยะแรกที่ติดเชื้อ (primary antibody response) หลังจากนั้น IgG จึงเพิ่มตามมา มีบทบาทสำคัญในการทำลาย antigen โดยเฉพาะเชื้อ ไวรัสและแบคทีเรีย เป็น immunoglobulin ที่พบบ่อยในภูมิต้านทานเนื้อเยื่อตนเอง (autoimmune disease)
4.IgD มีปริมาณน้อยมาก ประมาณ 0.03%ของ immunoglobulin ทั้งหมดในน้ำเหลือง ยังไม่ทราบคุณสมบัติที่แน่ชัด
5.IgE ค้นพบหลังสุด มีปริมาณน้อยที่สุด คือพบประมาณ 0.003% ของ immunoglobulin ทั้งหมดในน้ำเหลือง สัมพันธ์กับภาวะภูมิแพ้ และเป็นภูมิคุ้มกันที่สำคัญในโรคพยาธิ
คำแนะนำในการให้วัคซีน
วัคซีนหลายชนิดอาจให้พร้อมกันในวันเดียวกันได้
การให้วัคซีนห่างเกินกว่ากำหนดไม่ได้ทำให้ภูมิคุ้มกันเกิดน้อยลง
ผู้ที่เจ็บป่วยเล็กน้อย สามารถให้วัคซีนได้
ผู้ที่มีไข้สูงควรเลื่อนไปก่อน
ผู้ที่ได้รับอิมมูโนโกลบูลิน พลาสมา หรือเลือดมาไม่ถึง3 เดือน ไม่ควรให้วัคซีนไวรัสที่มีชีวิต
เด็กที่ได้วัคซีน DPT แล้วมีไข้สูงเกิน 40.5 องศาเซลเซียส และมีชัก ครั้งต่อไป ควรให้แค่ DT เท่านั้น
ทารกคลอดก่อนกำหนด ให้วัคซีนเหมือนเด็กเกิดครบกำหนด
หญิงที่กำลังมีครรภ์ไม่ควรให้วัคซีนชนิดที่มีชีวิต
เด็กที่มีภูมิคุ้มกันผิดปกติแต่กำเนิด ไม่ควรได้รับวัคซีนที่มีชีวิต
เด็กที่ได้ยากดภูมิคุ้มกันสามารถให้ท็อกซอยด์ได้ และวัคซีนชนิดไม่มีชีวิตได้ ส่วนวัคซีนที่มีชีวิตไม่ควรให้จนกว่าจะหยุดยาไปแล้วอย่างน้อย 3 เดือน
เด็กที่ติดเชื้อ HIV หรือ AIDS ไม่ว่าจะมีอาการหรือไม่สามารถฉีดวัคซีนได้ทุกชนิด ยกเว้น BCG ถ้ามีอาการ AIDS ห้ามฉีด
กำหนดการสร้างภูมิคุ้มกัน
แรกเกิด
BCG
เด็กที่มีอาการของโรคเอดส์ ไม่ให้ BCG
BH1
HB1 ควรให้ภายใน 24 ชม. หลังคลอด
กรณีคลอดที่บ้าน ควรให้ภายใน 7 วันหลังคลอด
ถ้าแม่เป็นพาหะ HBV ควรให้ HBIC แก่เด็ก
6 เดือน
DTP3
OPV3
HB3
4 - 6 ปี
DTP5
ถ้าอายุเกิน 6 ปี ให้ dT แทน DT และควรฉีด dT ซ้ำทุก 10 ปี
OPV5
BCG
ให้ในกรณีที่ไม่มีหลักฐานว่าเคยได้รับตอนแรกเกิด และไม่มีแผลเป็น
เด็กที่มีอาการของโรคเอดส์ไม่ให้ BCG
9-12 เดือน
MMR1
ถ้าไม่ได้วัคซีน MMR ให้ใช้วัคซีนหัด
JE1
4 เดือน
DTP2
OPV2
1 ขวบ - 1 ขวบครึ่ง
DTP4
OPV4
2 เดือน
DTP1
OPV1
HB2
กรณีแม่เป็นพาหะ HBV ควรให้ HB2 เมื่อเด็กอายุ 1 เดือน
2 ขวบ - 2 ขวบครึ่ง
MMR2
JE2
ภาวะแทรกซ้อนจากการให้วัคซีน
ปวด บวม คัน ปวดศีรษะ ชัก
ไข้สูง ปวด บวม แดง ร้อน
ปวด บวม มีไข้ ผื่น หายใจลำบาก
HBV
ปวด บวม มีไข้ต่ำๆ
BCG
มีตุ่มแดง หรือตุ่มหนอง
วิธีการให้วัคซีน และการเก็บรักษาวัคซีน
วิธีการให้วัคซีน
4.การฉีดเข้ากล้ามเนื้อ(intramuscular)
เช่น วัคซีน คอตีบ บาดทะยัก ไอกรน วัคซีนตับอักเสบบีและวัคซีนพิษสุนัขบ้า
การฉีดเข้าใต้ผิวหนัง(subcutaneous) เช่น วัคซีน หัด คางทูม และหัดเยอรมัน วัคซีน ไข้สมองอักเสบ
2.การฉีดเข้าในชั้นผิวหนัง(intradermal)
เช่น วัคซีน BCG วัคซีนพิษสุนัขบ้า
การรับประทาน(oral)
เช่น วัคซีนโปลิโอ วัคซีนทัยฟอยด์
การเก็บรักษาวัคซีน
ส่วนใหญ่เก็บไว้ไม่เกิน (2°C - 8°C)
วัคซีนบางชนิดสามารถเก็บแช่แข็งไว้โดยคุณภาพไม่เสีย แต่บางชนิดไม่สามารถเก็บแช่แข็งได้
วัคซีนที่สามารถแช่แข็งได้
Oral Polio
วัคซีนที่ไม่สามารถแช่แข็งได้
MMR
IPV
HBV
JE
DTP, DT , T
ชนิดของวัคซีน
วัคซีนเชื้อไม่มีชีวิต (inactivated หรือ killed vaccine)
หมายถึงวัคซีนที่ผลิตขึ้นโดยใช้เชื้อโรคทั้งตัว (whole cell) ที่ตายแล้ว ตัวอย่างวัคซีนในกลุ่มนี้ ได้แก่ วัคซีนไอกรนชนิดทั้งเซลล์ วัคซีนตับอักเสบเอ วัคซีนอหิวาตกโรคชนิดฉีด วัคซีนพิษสุนัขบ้า และวัคซีนไข้สมองอักเสบเจอีชนิดเชื้อตาย วัคซีนโปลิโอชนิดฉีด และผลิตจากส่วนประกอบบางส่วนของเชื้อโรค (subunit)
ตัวอย่างวัคซีนในกลุ่มนี้ ได้แก่ วัคซีนตับอักเสบบี วัคซีนไข้หวัดใหญ่ วัคซีนฮิบ วัคซีนไอกรนชนิดไร้เซลล์ วัคซีนไทฟอยด์ชนิดฉีด และวัคซีนนิวโมคอคคัส หรือผลิตจากโปรตีนส่วนประกอบของเชื้อที่ผลิตมาใหม่โดยอาศัยหลักวิศวพันธุศาสตร์
มักเกิดปฎิกริยาบริเวณที่ฉีด บริเวณที่ฉีด หลังฉีด 3-4 ชั่วโมง อาจมีไข้ร่วมด้วย
3.วัคซีนเชื้อมีชีวิต (live vaccine)
หมายถึงวัคซีนที่ผลิตขึ้นโดยใช้เชื้อโรคมาทำให้อ่อนฤทธิ์ลงจนไม่สามารถทำให้เกิดโรคแต่เพียงพอที่จะกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกายได้
วัคซีนในกลุ่มนี้ได้แก่ วัคซีนโปลิโอชนิดกิน วัคซีนรวมหัด-หัดเยอรมัน-คางทูม วัคซีนอีสุกอีใส วัคซีนวัณโรค วัคซีนไทฟอยด์ชนิดรับประทาน วัคซีนโรต้า วัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิดพ่นจมูก
เมื่อให้เข้าไปในร่างกาย จะไม่แสดง
ปฎิกริยาทันที
1.ท็อกซอยด์(Toxoid)
หมายถึงวัคซีนที่ผลิตโดยการนำพิษของจุลชีพที่เป็นส่วนสำคัญในการก่อโรคมาทำให้หมดฤทธิ์แต่ยังสามารถกระตุ้นให้เกิดภูมิคุ้มกันโรคได้
เช่นวัคซีนคอตีบ และวัคซีนบาดทะยัก
โดยทั่วไปจะมีไข้ หรือปฎิกริยาที่เล็กน้อย