Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ยุคสมัย(Generatio) หรือ G (1 G ยุคของโทรศัพท์มือถือแบบอนาล็อค (1 G…
ยุคสมัย(Generatio) หรือ G
1 G ยุคของโทรศัพท์มือถือแบบอนาล็อค
โทรศัพท์มีขนาดที่ใหญ่มาก ใช้กำลังไฟฟ้ามากและมีราคาแพงมากๆอยู่หน้าจอมีแต่ตัวเลขโทรศัพท์ยุคเนี้ยจึงยังไม่สามารถต่ออินเตอร์เน็ตหรือส่งข้อความได้เน้นการพูดคุยอย่างเดียว
1 G
การใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ในยุค 1G
โทรออก / รับสาย
ไม่รองรับผู้ใช้งานในจำนวนมาก
เกิดการดักฟังโทรศัพท์ได้ง่ายและไม่ปลอดภัย
2 G ยุคแรกของมือถือแบบดิจิตอล
โทรศัพท์จะมีขนาดเล็กลงมากมีจอที่สามารถแสดงภาพและตตัวหนังสือยังดำอยู่ สามารถส่ง(sms) ได้ ข้อมูลที่อยู่และเบอร์โทรจะ๔ูกบันทึกไว้ใน sim Card
2G
การใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ในยุค 2G
โทรออก รับสาย
ส่ง SMS
2.5G
การใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ในยุค 2.5G
โทรออก รับสาย
ส่ง SMS
ส่ง MMS
เสียงเรียกเข้าแบบ Polyphonic
เล่นอินเทอร์เน็ตบนมือถือได้ด้วยความเร็ว 115 kbps
2.75G
การใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ในยุค 2.75G
โทรออก รับสาย
ส่ง SMS
ส่ง MMS
รองรับเสียงเรียกเข้าแบบไฟล์ MP3
เล่นอินเทอร์เน็ตบนมือถือได้ด้วยความเร็ว 70 - 180 kbps
3Gยุคที่เน้นการรับส่งข้อมูลผ่านเคลื่อข่ายมือถือ
3G
โทรศัพท์ทางไกลผ่านอินเทอร์เน็ต (Voice Over IP)
คุยแบบเห็นหน้า (Video Call)
ประชุมทางไกล (Video Conference)
ดูทีวีและดูวีดีโอออนไลน์ (Streaming)
เล่นเกมออนไลน์ (Online Gaming)
ดาวน์โหลดเพลงหรือโปรแกรมต่างๆ ได้เร็วกว่าในยุค 2G มาก
คุณสมบัติในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตลอดเวลา (Always On)
ภาพนี้แสดงให้เห็นถึงความจุของข้อมูลที่ 3G นั้น
สามารถที่จะรับส่งได้ ซึ่งมากกว่า 2G อยู่มากโดยเฉพาะส่วนของข้อมูล (Data)
4 G
4Gยุคของการรับส่งข้อมุลผ่านทางเครือข่ายในอนาคต(LTEWiMax)
สำหรับเทคโนโลยีที่ใช้ในยุค 4G นี้สามารถแบ่งออกเป็น 2 ระบบด้วยกัน คือ WiMAX (Worldwide Interoperability of Microwave Access) และ LTE (Long Term Evolution) ซึ่งทั้งสองระบบนี้ เป็นเทคโนโลยีไร้สายที่มาช่วยในเรื่องของการรับส่งข้อมูลให้เร็วขึ้นกว่าในยุคก่อนๆ นั่นเอง โดยในส่วนของ WiMax นั้นนิยมใช้แค่ในบางประเทศเช่น ญี่ปุ่น, ไต้หวัน, บังคลาเทศ ซึ่ง LTE นั้นเป็นที่นิยมใช้มากกว่ารวมถึงบ้านเราด้วยเช่นกัน
5G
เจนเนอเรชั่นที่ 5
ความเปลี่ยนแปลงจาก 4G → 5G
เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้นเดี๋ยวมาดูกันเพิ่มเติมว่าเมื่อเทียบกับ 4G แล้ว 5G มีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง
5 G
Latency การตอบสนองที่ไว้ขึ้น สามารถสั่งงานควบคุมสิ่งต่างๆได้อย่างรวดเร็ว หรือเรียกว่าแทบจะทันที จากตอน 4G ถ้าตามทฤษฎีจะอยู่ที่ 10ms ซึ่งเมื่อใช้งานจริงจะอยู่ราว 20-30ms แต่เมื่อเป็น 5G จะลดลงไปถึง 10 เท่า เหลือน้อยกว่า 1ms ทางทฤษฎี ซึ่งคาดว่าเมื่อใช้งานจริงจะอยู่ราว 3-4ms
Data Traffic รองรับการรับส่งข้อมูลที่มากกว่า จากที่ใน 4G จะสามารถรับส่งข้อมูลต่อเดือนได้ราว 7.2Exabytes ต่อเดือน แต่เมื่อขึ้นเป็น 5G จะเพิ่มขึ้นราว 7 เท่า หรือ 50 Exabytes ต่อเดือน
Peak Data Rates ความเร็วเพิ่มขึ้นสูงสุด 20 Gbps หรือราว 20 เท่าจากเดิม
Available Spectrum ความถี่สำหรับใช้งาน เพิ่มขึ้นจากตอน 4G ที่มีให้ใช้เพียง 3GHz แต่เมื่อเป็น 5G จะสามารถใช้งานคลื่นได้จนถึงความถี่ 30GHz
Connection Density ความหนาแน่นของการใช้งาน เพิ่มขึ้น 10 เท่าจากที่สามารถรับคนได้ราว 1 แสนคนต่อพื้นที่ 1 ตร.กม. กลายเป็น 1 ล้านคนต่อพื้นที่ 1 ตร.กม.
เราจะได้ประโยชน์อะไรจาก 5G?
หลังจากเห็นตัวเลขอะไรมากมายน่ามึนหัวสำหรับหลายๆคนมาแล้ว มาลองดูการใช้งานจริงกันบ้างดีกว่าว่าถ้าเปลี่ยนจากตัวเลขเหล่านั้นเป็นการใช้งานจริง อะไรจะเกิดขึ้นได้บ้าง มีการแบ่งการใช้งาน 5G ออกเป็น 3 แกนหลักด้วยกัน ได้แก่ Enhanced mobile broadband (eMBB), Massive machine type communications (mMTC), และ Ultra-reliable and low latency communications (URLLC) โดยแต่ละการใช้งานจะมีส่วนผสมของแต่ละแกนมาน้อยต่างกันไป