Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

AF with CHF (พยาธิสภาพ (โรคหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพอง(Aortic Aneurysm)…

- - - - โรคหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพอง)
      - เกิดจากความเสื่อมของผนังหลอดเลือดที่เป็นความผิดปกติตั้งแต่กำเนิด หรือมีการอักเสบติดเชื้อ หรือมีการเสื่อมของผนังหลอดเลือดจากภาวะหลอดเลือดแข็ง ส่งผลให้ผนังหลอดเลือดไม่แข็งแรง และเกิดการโป่งพองโรคนี้ส่วนใหญ่จะตรวจพบบริเวณช่องท้องมากถึง 75% และพบในช่องอกอีก 25% ซึ่งโดยปกติแล้ว หลอดเลือดแดงใหญ่ของคนเราจะมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 3 เซนติเมตร หากตรวจพบว่ามีขนาดโตขึ้นมากกว่าปกติ จะต้องเฝ้าระวังและติดตามอาการอย่างใกล้ชิด และถ้ามากกว่า 5.5 เซนติเมตรขึ้นไปก็ต้องรีบรักษา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการแตกซึ่งเป็นอันตราย
      - ภาวะหลอดเลือดแดงในส่วนท้องโป่งพอง ส่วนใหญ่เกิดขึ้นเมื่อผนังหลอดเลือด Aorta บางส่วนเกิดอ่อนตัวลงจนทำให้เลือดปริมาณมากที่ไหลผ่านบริเวณนั้นสร้างแรงดันขึ้นบนจุดอ่อนแอ ทำให้เกิดการบวมหรือโป่งพองออก
  - - - ภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว คือภาวะที่มีการกระตุ้นของหัวใจห้องบนแบบกระจัดกระจายไม่เป็นระเบียบ ทำให้การบีบตัวของหัวใจห้องบนเสียไป ส่งผลให้หัวใจเต้นเร็วและไม่สม่ำเสมอ โดยผลแทรกซ้อนของภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว คือ ทำให้หัวใจสูบฉีดเลือดออกไปได้ลดลง ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสมจะนำไปสู่ภาวะหัวใจวายในที่สุด และการทำให้เลือดหมุนวนตกค้างในหัวใจห้องบนสามารถก่อให้เกิดลิ่มเลือดหลุดไปอุดตันหลอดเลือดสมองได้สูงกว่าคนทั่วไปถึง 5 เท่าซึ่งนำไปสู่การเสียชีวิต
      - สาเหตุ
        
        เกิดจากหัวใจ เช่น โรคของลิ้นหัวใจ หัวใจล่างซ้ายโต โรคหลอดเลือดหัวใจ เยื่อบุหัวใจอักเสบ(pericarditis)
        
        เกิดจากสาเหตุที่ไม่ใช่หัวใจ เช่น ปอดอักเสบ การผ่าตัด การไม่สมดุลของเกลือแร่ hyperthyroidism, pulmonary embolism การได้รับสารจำพวก cocaine and caffeine, acute alcohol intoxication, septic or febrile illness สูงอายุ กรรมพันธุ์ ภาวะเครียด อ้วน หรือไม่ทราบ
      - โรคภาวะหัวใจห้องบนสั่นพริ้ว
  - - - โรคความดันโลหิตสูง
      - เป็นโรคเรื้อรังชนิดหนึ่งที่ผู้ป่วยใความดันอยู่ในหลอดเลือดแดงสูงกว่าปกติอยู่ตลอดเวลา โดยความดันโลหิตจะประกอบไปด้วยสองค่า นั่นก็คือ ความดันช่วงหัวใจบีบและความดันช่วงหัวใจคลาย ซึ่งถือเป็นความดันสูงสุดและต่ำสุดที่เกิดขึ้นในระบบหลอดเลือดแดงตามลำดับ โดยความดันในช่วงหัวใจบีบนั้น จะเกิดเมื่อหัวใจห้องล่างซ้ายเกิดการบีบตัวที่มากที่สุด ความดันในช่วงหัวใจคลายจะเกิดเมื่อหัวใจห้องล่างซ้ายคลายตัวมากที่สุด ก่อนการบีบตัวในครั้งถัดไป
  - - - คือ โรคที่มีระดับไขมันในเลือดสูงกว่าค่าที่ถูกกำ หนดขึ้น ซึ่งค่าปกตินี้ได้มาโดยการเก็บข้อมูลทางสถิติของระดับไขมันในเลือดของคนทั่วไป โดยพบว่าเมื่อมีค่าเกินระดับหนึ่งแล้วบุคคลนั้นๆก็จะเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจและตามมาคือโรคหัวใจขาดเลือด (กล้ามเนื้อหัวใจตาย)
      - โรคไขมันในเลือดสูง
  - - - โรคเบาหวาน
      - เป็นภาวะที่ร่างกายมีน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ เนื่องจากการขาดฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin) หรือการดื้อต่อฮอร์โมนอินซูลิน ส่งผลให้กระบวนการดูดซึมน้ำตาลในเลือดให้เป็นพลังงานของเซลล์ในร่างกายมีความผิดปกติหรือทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ จนเกิดน้ำตาลสะสมในเลือดปริมาณมาก หากปล่อยให้ร่างกายอยู่ในสภาวะนี้เป็นเวลานานจะทำให้อวัยวะต่าง ๆ เสื่อม เกิดโรคและอาการแทรกซ้อนขึ้น
    - - ล่าสุด วันที่ 14 กย 62 ไม่มีการเจาะ DTX เพิ่มแล้ว
  - - - โรคหอบหืด (asthma) เป็นโรคที่มีการอักเสบเรื้อรังของเยื่อบุหลอดลม ร่วมกับภาวะผิดปกติของหลอดลมที่ไวต่อสิ่งกระตุ้นต่างๆ มากกว่าปกติ เมื่อผู้ป่วยสัมผัสกับสิ่งกระตุ้น กล้ามเนื้อบริเวณหลอดลมจะเกิดการหดเกร็ง ผนังหลอดลมบวมหนาขึ้นและสร้างสารคัดหลั่งหรือเสมหะมากขึ้น ทำให้หลอดลมตีบแคบลง ผู้ป่วยจึงหายใจลำบาก มีอาการเหนื่อยหอบ สมรรถภาพการทำงานของปอดลดลง ในรายที่อาการรุนแรงมากอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
        โรคหอบหืดเป็นโรคที่รักษาไม่หายขาด แต่สามารถควบคุมไม่ให้อาการกำเริบได้
      - โรคหอบหืด
  - - - คือ อาการที่ผู้ป่วยรู้สึกถึงหายใจลำบาก ซึ่งความลำบากในการหายใจจะมีลักษณะจำเพาะและระดับความรุนแรงขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล อาการหายใจลำบากไม่จัดว่าเป็นโรค แต่จัดเป็นอาการที่แสดงถึงภาวะของโรคที่อยู่ภายในร่างกายของผู้ป่วยเสีย ที่มีความเกี่ยวข้องกับการทำงานของระบบหัวใจ ปอดที่เกิดความผิดปกติ ซึ่งผู้ป่วยจะมีบอกอาการต่างกันไป เช่น หายใจไม่พอ หายใจไม่อิ่ม หายใจไม่สุด หายใจแน่น เหนื่อย หอบ หิวอากาศ เป็นต้น
      - โรคหายใจลำบาก ( Dyspnea )
  - - - สาเหตุ
        
        เกิดจากหลอดลมตีบตัน หอบหืด หลอดลมอักเสบรุนแรง เนื้อปอดถูกทำลาย เช่น ภาวะปอดอักเสบมาก ๆ มีน้ำหรือลมในช่องเยื่อหุ้มปอดมาก ๆ กล้ามเนื้อการหายใจเสียหน้าที่ เช่น โรคไขสันหลังอักเสบ (Poliomyelitis), Myasthenia gravis ศูนย์หายใจในเมดัลลาเสียหน้าที่ เช่น มีเลือดออกในสมอง ได้รับพิษจากยา มีภาวะพร่องออกซิเจน
      - ภาวะหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน
  - - - ภาวะที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายได้อย่างเพียงพอจนส่งผลให้อวัยวะต่างเกิดการขาดออกซิเจน นอกจากนั้นหัวใจซึ่งทำหน้าที่เหมือนปั๊มน้ำ เพื่อส่งเลือดออกจากห้องหัวใจ เมื่อหัวใจมีความบกพร่องในการสูบฉีดเลือด จะส่งผลให้เกิดมีภาวะคั่งของเลือดหรือน้ำในห้องหัวใจตามมาได้ และเกิดการล้นกลับไปที่ปอด หรือเกิดภาวะที่เรียกว่าน้ำท่วมปอด
        อาการแสดงจากภาวะหัวใจล้มเหลวได้แก่ เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย หน้ามืด ไตวาย ซึ่งเป็นผลจากอวัยวะสำคัญขาดออกซิเจนเรื้อรัง และอาการเหนื่อยจากภาวะน้ำท่วมปอด นอนราบไม่ได้ หน้าบวม ขาบวม ซึ่งเกิดจากกลไกที่มีน้ำคั่งอยู่ในร่างกาย
      - แบ่งเป็นสองชนิด ได้แก่
      - สาเหตุ
        
        โรคหัวใจล้มเหลวเป็นกลุ่มอาการที่มีสาเหตุจากโรคอื่นได้หลายชนิด แต่สาเหตุอันดับหนึ่งยังคงเกิดจากผลแทรกซ้อนของโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีสาเหตุอื่นอีก เช่น ไข้หวัดหรือเชื้อไวรัสบางชนิด โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะบางประเภท การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ หรือการที่เคยได้รับเคมีบำบัดหรือการฉายแสงมาก่อน เป็นต้น
- - - - รักษาอาการ
        
        ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
      - ผลข้างเคียง
        
        มีอาการบวมแดง เจ็บปวดในบริเวณที่ถูกฉีดยา ท้องร่วง หรือคลื่นไส้อาเจียนเล็กน้อย
  - - - รักษาอาการ
        
        ยาแก้ไอแบบมีเสมหะสำหรับรักษาโรคระบบทางเดินหายใจ โดยออกฤทธิ์ลดความเหนียวข้นของเสมหะให้ขับออกมาได้ง่ายและลดความเสี่ยงของการติดเชื้อแบคทีเรียที่ปอด ละลายเสมหะ บรรเทาอาการไอมีเสมหะเรื้อรัง
      - ผลข้างเคียง
        
        บางรายอาจมีอาการคลื่นไส้ ท้องเสีย ปวดท้อง ซึ่งเป็นผลข้างเคียงเล็กน้อยหลังรับประทานยา แต่หากเกิดอาการแพ้ยาอย่างรุนแรง เกิดผื่น อาการบวมตามใบหน้า ลิ้น หรือคอ เวียนศีรษะอย่างรุนแรง หายใจลำบาก แน่นหน้าอก หรือเกิดผลข้างเคียงรุนแรงยา เช่น หน้ามืด เหงื่อตก อาเจียนเป็นเลือดหรือมีสีดำ หนาวสั่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ เป็นอาการที่ผู้ป่วยควรรีบไปพบแพทย์
  - - - ผลข้างเคียง
        
        ยานี้อาจก่อให้เกิดอาการอันไม่พึงประสงค์ ได้แก่ อาการข้างเคียงต่อระบบประสาท เช่น ปวดศีรษะ มึนงง ง่วงซึม อ่อนล้า นอนไม่หลับ อาการข้างเคียงต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด เช่น อาการใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว อาการข้างเคียงต่อระบบทางเดินอาหาร เช่น คลื่นไส้ อาหารไม่ย่อย ท้องเสีย อาการข้างเคียงต่อระบบทางเดินหายใจ เช่น การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนบน ไซนัสอักเสบ อาการข้างเคียงต่อระบบอวัยวะสืบพันธุ์ เช่น อาการปัสสาวะคั่ง อาการข้างเคียงต่อระบบผิวหนัง เช่น เกิดผื่น ผื่นลมพิษ อาการข้างเคียงต่อระบบภูมิคุ้มกัน เช่น เกิดการแพ้ การติดเชื้อไวรัส (เช่นเชื้อ Influenza virus) อาการข้างเคียงอื่น เช่น ปวดหลัง ประจำเดือนไม่มา
      - รักษาอาการ
        
        บรรเทาอาการที่เกี่ยวข้องกับอาการคัดจมูกตามฤดูกาล และใช้ในการรักษาผื่นลมพิษเรื้อรัง ยาไม่ได้มีฤทธิ์ในการรักษาโดยตรงแต่ป้องกันการเกิดอาการคัดจมูก และการเกิดลมพิษโดยไม่ทราบสาเหตุ และช่วยลดความรุนแรงของอาการที่เกี่ยวข้องกับภาวะเหล่านี้ได้ สามารถช่วยบรรเทาอาการน้ำมูกไหล คันตา คันผิวหนัง
    - - รักษา
        
        รักษาความดันโลหิตสูง และควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจ
      - ผลข้างเคียง
        
        ลมพิษ หายใจลำบาก หน้าบวม ริมฝีปากบวม ลิ้นบวม คอบวม ภาวะหลอดลมหดเกร็ง เป็นต้น
        
        หายใจไม่ออก หายใจลำบาก หัวใจเต้นผิดปกติ ใจสั่น
- - - - OD
        
        ผู้ป่วยมีอาการหอบเหนื่อยหลังทำกิจวัตรประจำวัน
        
        BP: 131/15 T:36.0 RR=20 P=86
        
        Aterial blood gas
        ค่า pH =7.412 ปกติ .
        ค่าHco3 act=18.3 ต่ำ
        ค่า pO2 =188.8 mmHg (สูง)
        ค่าpCo2 = 29.2ิ mmHg (ต่ำ)
        Respiratory alkalosis acidosis compensation in complete
        
        ผู้ป่วยมีประวัติการเจ็บป่วยในอดีตเป็น
        โรคความดันโลหิตสูง ,โรคหลอดเลือดแดงใหญ่ส่วนท้องโป่งพอง ,โรคหลอดเลือดหัวใจ ,โรคไขมันในเลือดสูง ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ภาวะหัวใจห้องบนสั่นพริ้ว
        โรคหืด
        
        ผู้ป่วยเป็น complete bedridden
        
        ผู้ป่วยเปลี่ยนมาเป็นการหายใจแบบ room air
        
        EKG บอกว่าเป็น AF
      - SD
        
        ผู้ป่วยพูดบอกว่า "หายใจไม่ออก"
        
        Dx. AF with CHF
    - - เพื่อให้ร่างกายได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ
    - - มีอาการหอบเหนื่อยลดลง ไม่มีภาวะ hypoxia
      - BP : 120/80-140/90 mmhg T : 36.5-37.4 องศาเซลเซียส, RR:16-24 ครั้ง/นาที P:60-100 ครั้ง/นาที
      - O2 sat อยู่ในเกณฑ์ 95%-100%
      - ค่าAterial blood gas ปกติ 32.0-46.0 , pO2 ปกติ 74.0-108.0 ,HCo3 ปกติ 22-26
      - ตรวจบริเวณหน้าหัวใจ
      - ตรวจปอด
      - ตรวจท้อง
    - - 1.ประเมินและบันทึก vital sign ทุก 4ชม โดยเฉพาะอัตราการหายใจและ ค่า O2 sat อยู่ในเกณฑ์ 95-100% เพื่อให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย สังเกตอาการหอบเหนื่อย
      - 2.สังเกตอาการและอาการแสดงภาวะพร่องออกซิเจน hypoxia เช่นริมฝีปาก ปลายมือปลายเท้าเขียว ระดับความรู้สึกตัวของผู้ป่วย
      - 3.จัดท่านอน High Fowler's position 30-45 องศา เพื่อให้ปอดมีการขยายได้อย่างเต็มที่
      - 4.พลิกตะแคงตัวทุก 2ชม.เพื่อช่วยในการขับสารคัดหลั่งในท่อทางเดินหายใจ
      - 5.ให้ผู้ป่วยนอนพักผ่อนอยู่บนเตียงอย่างปลอดภัย
      - 6.ดูแลความสะอาด ปาก ฟัน ทางเดินหายใจให้สะอาดและโล่งอยู่เสมอ สังเกตว่ามีเสมหะหรือไม่ หากผู้ป่วยคายออกเองได้ให้ผู้ป่วยคายออกเองแต่ หากคายไม่ได้ ให้ค่อยๆ suction แต่ไม่ต้องลึกมากให้ suction โดยใช้เทคนิคปราศจากเชื้อ
      - 7.ติดตามผลทางห้องปฏิบัติการ เช่น ค่า Arterial blood gas ,EKG, CT Whole เป็นต้น
      - 8.ให้ยาตามแผนการรักษาของแพทย์ หากมีเสมหะมากให้ยาคือ Carbocysteine 450mg./5ml.SY และระวังผลข้างเคียงคือ มีอาการคลื่นไส้ ท้องเสีย ปวดท้อง ซึ่งเป็นผลข้างเคียงเล็กน้อยหลังรับประทานยา แต่หากเกิดอาการแพ้ยาอย่างรุนแรง เกิดผื่น อาการบวมตามใบหน้า ลิ้น หรือคอ เวียนศีรษะอย่างรุนแรง หายใจลำบาก แน่นหน้าอก
      - 9.เฝ้าสังเกตอาการผิดปกติที่เกี่ยวกับโรคที่เป็นโโยต้อง ตรวจ ปอด ตรวจบริเวณหน้าหัวใจพร้อมกับอัตราการเต้นของหัวใจ
    - - ฟังเสียงหัวใจได้ยินเสียง Crepitation
      - ค่า vital sign 19/09/62
      - ฟังเสียงปอด
      - มีหอบเหนื่อยหลังทำกิจกรรม
      - ฟังเสียงการหายใจ มีเสียงหายใจเข้าสั้น และหายใจออกไม่ค่อยยาว
  - - - ป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากพยาธิสภาพของโรคabdominal aortic aneurysm(AAA)
    - - ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนจากพยาธิสภาพของโรคabdominal aortic aneurysm(AAA) เช่น เลือดออกในช่องท้อง ถ้าเกิดในช่องท้องจะมีอาการปวดรุนแรงที่ท้องน้อยและหลังและกดเจ็บ ถ้าเกิดในช่องอกจะปวดรุนแรงที่หลังด้านบนและแผ่ลงด้านล่าง ภาวะช็อก เป็นต้น
    - - SD
        
        ผู้ป่วยบ่นปวดท้อง
        
        Dx. AF with CHF
      - OD
        
        ผู้ป่วยเป็น complete bedridden
        
        ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
        
        ได้รับ lactulose 2-3 วันยังไม่ถ่าย จึงต้อง Fleet edema จึงถ่าย
        
        ผู้ป่วยอายุ 87ปี
        
        มีการเจ็บป่วยในอดีต คือโรคเบาหวาน ,โรคความดันโลหิตสูง ,โรคหลอดเลือดแดงใหญ่ส่วนท้องโป่งพอง ,โรคหลอดเลือดหัวใจ ,โรคไขมันในเลือดสูง ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ,โรคหืด
        
        EKG บอกว่าเป็น AF
    - - 1.บันทึกสัญญาณชีพทุก 4 ชม. โดยเฉพาะค่าความดันโลหิต หากมีอาการผิดปกติรีบแจ้งแพทย์
      - 2.นำ stethoscope มาฟังเสียง ปอด เสียงหัวใจ เพื่อเฝ้าสังเกตอาการผิดปกติ
      - 3.ดูแลอาการปวดท้อง ว่าเป็นอาการปวดท้องว่าเป็นจากพยาธิสภาพของโรค หรือปวดเนื่องจากอยากเบ่งถ่ายอุจจาระ ดูแลตามแผนการรักษา
      - 4.เมื่อผู้ป่วยไม่ขับถ่ายหลังให้ยา 2-3 วันให้สังเกตอาการหรืออาจจะสวนอุจจาระให้ผู้ป่วย ห้ามให้ผู้ป่วยเบ่งงอุจจาระ
      - 5.ห้ามกดท้องของผู้ป่วย เพราะอาจจะทำให้เส้นเลือดในช่องท้องแตก อาจทำให้เกิดภาวะช็อกและอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้
      - 6.
      - ตามผลเอ็กซเรย์ขนาดของหลอดเลือดแดงที่โป่งพองบริเวณช่องท้อง
      - 9.แนะนำญาติผู้ป่วยเกี่ยวกับพยาธิสภาพของโรค อาการแทรกซ้อนและข้อควรระวัง เกี่ยวกับโรคนี้ เพื่อจะได้สามารถปฏิบัติตัวได้ถูกต้องและไม่เกิดภวะแทรกซ้อน
      - 7.ตามผล Lab CBC กรณีมีอาการผิดปกติ
      - 10.ดูแลให้ได้รับยาของโรคประจำตัวตามแผนการรักษา
  - - - 1.ดูแล Personal hygine ทุกครั้งหลังการขับถ่าย
      - 2.พลิกตะแคงตัวทุก 2ชั่วโมง
      - 3.สังเกตลักษณะผิวหนัง ป้องกันการเกิดแผลกดทับ
      - 4.ดูแลสาย NG ไม่ให้ดึงรั้ง ตรวจสอบโดยเช็ค gastric content ก่อนการให้ อาหาร
      - 5.ดูแลสาย foley catheter ไม่ให้ดึงรั้งไม่หักพับงอ และดูแลถุงปัสสาวะให้แขวนอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม
      - 6.ดูแลให้ผู้ป่วย Bed rest
      - 8.ดูแลให้ได้รับสารน้ำ สารอาหาร และยา ตามแผนการรักษา
      - 9.ยกไม้กั้นเตียงขึ้นทุกครั้ง หลังให้การพยาบาล
      - 10.บัณทึกสัญญาณชีพทุก 4ชั่วโมง และเฝ้าสังเกตอาการผิดปกติ
      - 11.บันทึกสารน้ำที่เข้า-ออกเพื่อป้องกันภาวะน้ำเกิน และดูให้ได้รับยา lasix ตามแผนการรักษา
      - 12.ดูแลให้ไม่เกิดอาการท้องผูก หากผู้ป่วยอยากอุจจาระ ไม่ให้ผู็ป่วยเบ่งอุจจาระ หากอุจจาระไม่ออก ให้รายงานแพทย์และรับประทานยาตามแผนการรักษาหากไม่ดีขึ้นอาจสวนอุจจาระให้
      - สังเกตว่ามีเสมหะหรือไม่ หากผู้ป่วยคายออกเองได้ให้ผู้ป่วยคายออกเองแต่ หากคายไม่ได้ ให้ค่อยๆ suction แต่ไม่ต้องลึกมาก
      - 13.ออกกำลังกายแบบ active exercise โดยดูแต่ละข้อ โดยใช้มือประคองข้อทั้งด้านบนและล่างในตอนออกกกำลังกาย เพื่อป้องกันข้อยึดติด
    - - OD
        
        ผู้ป่วยช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
        
        ผู้ป่วยขยับแขนขาได้เล็กน้อย
        
        ผู้ป่วย on ventilator เปลี่ยนจาก P-CMV mode มาเป็น PSV mode และวันที่16/09/2562 เปลี่ยนมาเป็นหายใจ Room air
        
        on NG tube
        
        on foley catheter
        
        ผู้ป่วยมีประวัติการเจ็บป่วยในอดีตเป็น
        โรคความดันโลหิตสูง ,โรคหลอดเลือดแดงใหญ่ส่วนท้องโป่งพอง ,โรคหลอดเลือดหัวใจ ,โรคไขมันในเลือดสูง ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
    - - ไม่มีภาวะแทรกซ้อนจากการช่วยเหลือตัวเองไม่ได้