Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
COPD image (การพยาบาล (3) สอนฝึกการหายใจด้วยวิธีการหายใจอย่างลึก (deep…
COPD 
พยาธิภาพ
ทฤษฎี
-
สารระคายเคืองเหล่านี้ก่อให้เกิดการอักเสบขึ้นในหลอดลมขนาดใหญ่ลงไปจนถึงหลอดลมขนาดเล็กกระตุ้นเซลล์ที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ (Inflammatory cells) แทรกไปในเยื่อบุทั่วไปมีการรวมตัวกันของเม็ดเลือดขาว ได้แก่ ที่ลิมโฟไซด์ (Tilymphocyte นิวโทรฟิล (neutrophit) และแมคโครฟาจ (rmacrophage) ออกมาทำลายสารพิษต่างๆ
เกิดการระคายเคืองต่อเนื้อปอดทำให้เซลล์หลังมูกและต่อมเมือกมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นทำให้มีการสร้างและหลั่งเมือกออกมามากและเหนียวกว่าปกติร่วมกับการทำงานของขนกวัด (citia) ที่ผิดหน้าที่ไป จนไม่สามารถกำจัดแบคทีเรียและเมือกออกไปได้
มีการทำลายเนื้อปอดและถุงลมจนเสียความยืดหยุ่นของปอด ร่วมกับมีหลอดลมอุดตันจนทำให้เวลาหายใจออกเกิดมีหลอดลมตีบได้
หากการอักเสบเกิดขึ้นซ้ำๆเรื่อยๆจะทำให้เกิดการการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของผนังหลอดลม ทำให้เกิดการตีบแคบของหลอดลม พยาธิสภาพที่เกิดขึ้นทำให้การระบายอากาศในถุงลมผิดปกติถุงลมบางส่วนโป่งพองบางส่วนแฟบบริเวณที่มีการระบายอากาศไม่ดีจะมีอากาศขังอยู่ในปอดมาก
ถุงลมโป่งพองจะสูญเสียความยืดหยุ่นทำให้แรงดันลมที่ออกจากปอดลดลงหลอดลมเล็กๆและหลอดลมใหญ่แฟบลงได้ง่ายเวลาหายใจออก ทำให้เกิดภาวะเลือดขาดออกซิเอน (hypoxemia) และมีภาวะคาร์บอนไดออกไซด์คั่งในเลือด (hypercapnia)
สาเหตุ
ทฤษฏี
-
-
3. มลภาวะ (Air pollution)
เช่น ฝุ่นละออง ควันพิษ รวมถึงการหายใจเอาสารเคมีบางอย่างเข้าไปในปอดติดต่อกันเป็นเวลานาน
4.) พันธุกรรม (Heredity) คนที่พร่อง serum alpha 1 – antitrypsin พบวา่ เป็น COPD ได้
ตั้งแต่อายุน้อย โรคนี้จะพบมากในคนที่มีอายุ 40 ปีข้ึนไป
-
-
การรักษา
แพทย์จะรักษาผู้ป่วยตามอาการและแนะนำให้หลีกเลี่ยงปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดโรค เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนและชะลอความรุนแรงของโรค เพราะ COPD ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ควบคุมอาการไม่ให้แย่ลง โดยการรักษาขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคด้วย
-
-
การใช้ยา
ยาขยายหลอดลม เป็นยาช่วยคลายกล้ามเนื้อทางเดินหายใจ เพื่อช่วยให้หายใจง่ายขึ้น ส่วนใหญ่เป็นยาในรูปแบบสูดพ่นผ่านเครื่องมือสูดพ่นยา ทำให้ผู้ป่วยได้รับยาเข้าสู่ปอดโดยตรงขณะหายใจ กลุ่มยาที่นิยมใช้แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่
-
-
ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์
ควรให้สตีฟรอยด์ในรูปของ hydrocortisone ขนาด 100-200 มก. หรือ dexamethasone 5-10 มก. ฉีดเข้ามายาด่าทุก 6 ชั่วโมง อาการดีแล้วก็ให้กิน prednisolone วันละ20-40 มก. / วันต่อไปเป็นเวลา 1 สัปดาห์
-
-
การพยาบาล
3) สอนฝึกการหายใจด้วยวิธีการหายใจอย่างลึก (deep breathing exercise) หายใจเข้าทางจมูกช้าๆแล้ว ค่อยๆผ่อนลมหายใจออกทางปากช้าๆ นับ 1-4 ฝึกอย่างน้อยวันละ 3 ครั้ง ครั้งละ 5 นาที ในท่านั่ง นอน หรือยืนก็ได้ เพื่อลดอาการเหนื่อยและช่วยเพิ่มปริมาตรอากาศเข้าสู่ปอด
2) ดูแลให้ได้รับออกซิเจน cannular 2-3 ลิตร/นาที เพื่อป้องกันภาวะร่างกายขาดออกซิเจนและให้อย่างน้อย 15 - 24 ชม. จะทำให้ออกซิเจนเปลี่ยนแปลงดีขึ้น
-
4) จัดให้ผู้ป่วยนอนศีรษะสูงประมาณ 45 องศา เพื่อให้กล้ามเนื้อหน้าท้องหย่อนตัวปอดขยายตัวได้ดีขึ้นและปอดมีพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนก๊าชเพิ่มขึ้น
-
1) ประเมินวัดสัญญาณชีพทุก 1 ชั่วโมง ติดตามการเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วย เช่น สังเกตจังหวะความตื้น-ลึกของการหายใจ ดูปีกจมูกว่ามีการหุบเข้า-ออกตามจังหวะเพื่อประเมินภาวะการหายใจ
7) หลังให้ยาประเมินโดยนับอัตราการหายใจและอัตรา การเต้นของหัวใจ สังเกตลักษณะการหายใจ ฟังเสียงลม เข้าปอด รวมถึงสังเกต ผลข้างเคียงจากการใช้ยา เช่น อาการมือสั่น
คลื่นไส้ กล้ามเนื้อเกร็งตัว
5) แนะนำการไออย่างมีประสิทธิภาพ (Effective cough) โดยหายใจเข้าออกลึกๆ 2-3 ครั้ง หลังจากนั้นให้หายใจเข้าลึกๆเกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้อง กลั้นหายใจสักครู่ หายใจออกพร้อมไอออกมาแรงๆ 2-3 ครั้งติดต่อกัน ระหว่างไอ ควรประเมินผลการตอบสนองของผู้ป่วย เช่น มีอาการเหนื่อย หอบ แน่นหน้าอกหรือไม่ ลักษณะของเสมหะ จำนวน สี กลิ่น เป็นอย่างไร รวมถึงประเมินเสียงการหายใจและการเปลี่ยนแปลงสัญญาณชีพ
-
-
-
-
-
-
ค่าปกติ 41-50%
เกิดจากโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง(COPD) ทำให้เซลล์ทั่วร่างกายได้รับ O2 จากเม็ดเลือดแดงไม่เพียงพอ เป็นผลต่อเนื่องให้ร่างกายต้องเร่งสร้างจำนวนเม็ดเลือดแดงเพิ่ม
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
ค่าปกติ Arterial blood gas
pH (7.35–7.45)
PaO2 (90–100 mmHg)
PaCO2(35–45 mmHg)
HCO3 (22–26 mEq / L)
O2 (saturation 95 %)
-
-
-