Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีปัญหา Endocrine 9FF2D9CF-B711-4868-BFFB-D9067B5219B0
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีปัญหา Endocrine
ต่อมพาราไทรอยด์ (Parathyroid gland)
-
สรีรวิทยา
ต่อมพาราไทรอยด์ เป็นต่อมเล็กๆมีทั้งหมด 4 ต่อมโดยที่อยู่ติดกับด้านหลังของต่อมธัยรอยด์ 2 ข้างซึ่งพบ ข้างละ 2 ต่อม มีความสําคัญในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเท่านั้น
ต่อมพาราไทรอยด์สร้างพาราไทรอยด์ฮอร์โมน (parathyroid hormone) หรือ พาราฮอร์โมน (parathormone) เรียกชื่อย่อว่าพีทีเอช (PTH) ควบคุมระดับความเข้มข้นของแคลเซียมในกระแสเลือดเพิ่มขึ้น และ ลดระดับของฟอสเฟตที่กระดูก ไต และลําไส้เล็ก เพิ่มกระบวนการสลายแคลเซียมออกจากกระดูก และยับยั้ง กระบวนการสร้างกระดูก ในขณะ เดียวกันก็เพิ่มการดูดกลับของแคลเซียมที่ไตทําให้ระดับแคลเซียมในกระแส เลือด เพิ่มขึ้น กระตุ้นการขับฟอสเฟตออกไปกับปัสสาวะ พาราฮอร์โมนเร่งอัตราการดูดซึม แคลเซียมจากอาหารที่ ลําไส้เล็กโดยการทํางานร่วมกับวิตามินดี พาราฮอร์โมนเพิ่มการ สลายแคลเซียมจากกระดูกและ เพิ่มการดูดซึม แคลเซียมกลับที่ไต เร่งการขับฟอสเฟตที่ ไต ทําให้ระดับของแคลเซียม(Ca2+) ในกระแสเลือดเพิ่มขึ้น
-
-
-
ฮอร์โมนพาราไทรอยด์สูง
Hyperparathyroidism หรือ ฮอร์โมนพาราไทรอยด์สูง เป็นภาวะที่ต่อมพาราไทรอยด์ที่อยู่บริเวณคอผลิตฮอร์โมนพาราไทรอยด์ออกมามากกว่าปกติ ซึ่งผู้ป่วยมักไม่มีอาการใด ๆ หรือมีอาการเพียงเล็กน้อย เช่น คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย สับสน เป็นต้น ซึ่งภาวะนี้มักส่งผลให้ผู้ป่วยมีระดับแคลเซียมในเลือดสูงและสูญเสียแคลเซียมในกระดูก หากไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้เกิดอาการป่วยอื่น ๆ ที่ร้ายแรงตามมาได้
อาการของฮอร์โมนพาราไทรอยด์สูง
ผู้ป่วย Hyperparathyroidism บางคนอาจไม่มีอาการใด ๆ เกิดขึ้น หรืออาจมีอาการเพียงเล็กน้อย เช่น เมื่อยล้า อ่อนเพลีย ไม่มีสมาธิ กระหายน้ำและปัสสาวะบ่อย ความอยากอาหารลดลง กล้ามเนื้ออ่อนแรง ท้องผูก หรือมีภาวะซึมเศร้า เป็นต้น
-
-
กายวิภาค
เป็นต่อมเล็กๆมีทั้งหมด 4 ต่อม โดยที่อยู่ติดกับด้านหลังของต่อมธัยรอยด์ 2 ข้างซึ่งพบข้างละ 2 ต่อมมีความสำคัญในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเท่านั้น
-
-
ต่อมไทมัส
สรีรวิทยา
Thymus มีขนาดเปลี่ยนแปลงไปตามอายุ จากการทดลองเป็นจํานวนมากพบว่า Thymus เป็นอวัยวะแรกที่ เป็นหลักของระบบน้ําเหลือง แรกเกิดมีน้ําหนักระหว่าง 10 – 15 กรัม และยังคงโตขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเข้าสู่วัยรุ่น ในวัยนี้จะมีน้ําหนักอยู่ระหว่าง 30 - 40 กรัม จากนั้นจึงเริ่มลดขนาดลงเรื่อยๆ โดยการเที่ยวลงและถูกแทนที่ด้วย เนื้อเยื่อไขมัน จนเมื่อถึงวัยกลางคนอาจหนักเพียง 10 กรัม เท่านั้น แม้กระนั้นยังคงใหญ่และหนักได้ระหว่าง 28 - 50 กรัม โรคเฉพาะบางอย่างเร่งการลดขนาดของต่อมให้เร็วขึ้น จึงอาจเป็นสาเหตุของขนาดที่แตกต่างกันได้มากใน แต่ละคน
ในช่วงแรกของชีวิตเนื้อต่อมนี้มีสีเทาอมชมพู นุ่มและผิวเป็นลอนนูนละเอียด ประกอบด้วยกลีบรูปกรวย สองข้างที่มีขนาดต่างกัน ยึดไว้ด้วยกันด้วยเนื้อยึดต่อแม้ว่า Thymus มักถูกกล่าวในลักษณะอวัยวะเดี่ยว แต่แท้จริง แล้ว แต่ละกลีบพัฒนามาจาก third pharyngeal pounch แต่ละข้าง และติดอยู่ที่ตําแหน่งปกติในลักษณะเป็น กลีบสองกลีบ แยกจากกันอย่างแท้จริงออกเป็นกลีบซ้ายและขวา
กายวิภาค
มีลักษณะเป็นพู 2 พู อยู่ในทรวงอกส่วนบน ระหว่างกระดูกอกกับหลอดเลือดใหญ่ อาจยื่นต่ำลงไปอยู่หน้าเยื่อหุ้มหัว ในเด็กเกิดใหม่มีขนาดโตกว่าในผู้ใหญ่มาก ต่อมไทมัสเป็นอวัยวะสำคัญอย่างหนึ่ง ของระยะการเติบโตของชีวิต ๒-๓ ปีหลังเกิดอัตราการเจริญเติบโตลดลงอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังเจริญต่อไปจนถึงระยะวัยรุ่น ต่อจากนั้นไปก็จะค่อยๆ ฝ่อเล็กลงในช่วงของการเจริญเติบโต ต่อมไทมัสมีสีชมพู ประกอบด้วย 2 กลีบ รูปคล้ายพีระมิดแบนทางข้าง
-
-
-
Thymosin Hormones
ต่อมไทมัสเป็นที่สร้างฮอร์โมนไทโมซิน (Thymocin) ซึ่งมีผลต่อการเจริญเติบโตของ T-lymphocyte สร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย หน้าที่และบทบาท ฮอร์โมนไทโมซินทำหน้าที่สร้าง T-lymphocyte เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันโรคที่เกี่ยวกับเซลล์ (Cellular immunity)
ต่อมหมวกไต
กายวิภาค
-
ต่อมหมวกไตมีลักษณะเป็นต่อมเล็กรูปสามเหลี่ยมครอบอยู่ส่วนบนของไตทั้ง2ข้าง ประกอบด้วย เนื้อเยื่อ2ชั้นที่แตกต่างกันและแยกออกจากกันอย่างชัดเจน
สรีรวิทยา
ต่อมหมวกไตผลิตฮอร์โมนที่ทำหน้าที่ต่างกัน
- เนื้อเยื่อชั้นนอก เรียกว่าอะดรีนัลคอร์เทกซ์ (adrenal cortex) เจริญมาจากเนื้อชั้นกลาง (mesoderm) สร้างฮอร์โมนประเภทสารสเตียรอยด์ได้มากชนิดที่สุด
อะดรีนัลคอร์เทกซ์(Adrenal cortex) สร้างฮอร์โมน 3 กลุ่ม คือกลูโคคอร์ติคอยด์ (Glucocorticoids) เช่น คอร์ติซอลCortisol hormone ทําหน้าที่ กระตุ้นการสลาย glycogen ไปเป็น glucose กระตุ้นการสลายไขมันไปเป็นกรดไขมัน เพิ่มการดูด Na+ กลับที่ท่อของหน่วยไต ถ้า cortisol มากเกินไปจะเป็น Cushing's syndrome มิเนอราโลคอร์ติคอยด์ (Mineralocorticoids) เช่น Aldosterone hormone ทําหน้าที่ ควบคุมเมตาโบลิซึมของเกลือแร่เป็นสําคัญ เพิ่มการดูด Na+ กลับ และเพิ่มการขับ K+ และ CLทิ้งไปกับปัสสาวะ อะดรีนัลเซกส์ ฮอร์โมน (Adrenal sex hormone) ได้แก่ ฮอร์โมนเพศต่างๆ คือ Estrogen , Progesterone และ Testosterone ถ้าต่อมหมวกไตส่วนนอกถูกทําลายจนไม่สามารถสร้าง ฮอร์โมนได้ จะทําให้เป็น Addoson's disease ซึ่งมีอาการ คือ คนไข้จะซูบผอม ผิวหนังตกกระ ร่างกายไม่สามารถรักษาสมดุลของแร่ธาตุ อาจถึงแก่ความตาย
- เนื้อเยื่อชั้นใน เรียกว่าอะดรีนัลเมดุลลา (adrenal medulla) เจริญมาจากเนื้อชั้นนอก (ectoderm) สร้างฮอร์โมนจําพวก Amine , Polypeptide
อะดรีนัล เมดุลลา(Adrenal medulla) เป็นต่อมที่อยู่ภายใต้การควบคุมของระบบซิมพาเธติกสร้าง ฮอร์โมนสําคัญ 2 ชนิด คือ Adrenalin หรือ Epinephrine มีปริมาณมาก มีอวัยวะเป้าหมายคือ ตับกล้ามเนื้อหัวใจ และ กล้ามเนื้อเรียบ หน้าที่ของ adrenalin คือ เพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ เพิ่มระดับน้ําตาลในเลือด เพิ่มการใช้ O2 ของเซลล์ ทําให้เซลล์มีพลังงานมาก กระตุ้นให้ artery เล็กๆที่อวัยวะภายใน ขยายตัว ช่วยให้การลําเลียงอาหาร O ไปให้อวัยวะได้มากขึ้น หลั่งออกมามาก เมื่อร่างกายอยู่ใน ภาวะฉุกเฉิน จึงเรียก adrenal medulla ที่สร้างฮอร์โมนนี้ว่า “ต่อมฉุกเฉิน (The gland of Emergency)” Noradrenalin หรือ Norepinephrine มีปริมาณน้อย มีอวัยวะเป้าหมาย คือตับ กล้ามเนื้อหัวใจ และกล้ามเนื้อเรียบ หน้าที่ของ Noradrenalin มีหน้าที่เช่นเดียวกับ Adrenalin แต่มีฤทธิ์ต่ํากว่า และผลที่ได้ต่างไปจาก Adrenalin คือทําให้artery หดตัว
พยาธิสรีระ
อาการแสดง
1.ภาวะต่อมหมวกไตบกพร่องชนิดเฉียบพลัน หรือ adrenal crisis เป็นความผิดปกติที่ต้องการการแก้ไขอย่างเร่งด่วน เนื่องจากผู้ป่วยจะมีภาวะความดันโลหิตต่ำที่ไม่ตอบสนองต่อ vasopressor ซึ่งอาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ อาการอื่นๆ ที่พบได้เช่น อาการปวดกล้ามเนื้อ รู้สึกไม่สบาย เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย น้ำหนักตัวลดลง คลื่นไส้อาเจียน และมีไข้เป็นต้น นอกจากนี้ อาจมีระดับน้ำตาลต่ำ หรือระดับโซเดียมในเลือดต่ำร่วมด้วย ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีภาวะต่อมหมวกไตบกพร่องชนิดเรื้อรังอยู่แล้ว แต่ไม่มีอาการผิดปกติ เมื่อมีความเจ็บป่วยเช่น การติดเชื้อที่รุนแรง หรือมีภาวะเครียด (stress) ก็จะส่งผลให้อาการกำเริบขึ้นได้
2.ภาวะต่อมหมวกไตบกพร่องชนิดเรื้อรัง โดยส่วนใหญ่ อาการต่างๆ ของภาวะต่อมหมวกไตบกพร่องชนิดเรื้อรังจะคล้ายกันไม่ว่าจะเป็นชนิด primary หรือ secondary adrenal insufficiencies ?นอกจากนี้ อาการส่วนใหญ่ไม่จำเพาะเจาะจง ?จะพบในโรคอื่นได้ด้วยเช่น อาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักตัวลดลง มึนศีรษะ ความดันโลหิตต่ำเมื่อเปลี่ยนท่า และคลื่นไส้อาเจียน เป็นต้น อย่างไรก็ตาม มีอาการบางอย่างที่เฉพาะเจาะจงกับ primary adrenal insufficiency เช่น มีเม็ดสีสูงกว่าปกติ (hyperpigmentation) จากการมีระดับ ACTH ในร่างกายสูงเป็นเวลานาน สำหรับอาการที่จำเพาะกับ secondary adrenal insufficiency มากกว่าคือ มีเม็ดสีต่ำกว่าปกติ (hypopigmentation), ภาวะขาดประจำเดือน (amenorrhea) และ secondary hypothyroidism เป็นต้น
ถ้ามีฮอร์โมนนี้น้อยเกินไปจะทำให้เกิดโรคที่เรียกว่าแอดดิสัน (Addison’s disease) จะมีอาการซูบผอม รับประทานอาหารไม่ได้ (anorexia nervosa) อาเจียน ท้องเสีย การรักษาสมดุลของแร่ธาตุสูญเสีย ทำให้สับสนและถึงแก่ความตายได้
-
ถ้ามีฮอร์โมนมากเกินไป จะทำให้มีความผิดปรกติเกี่ยวกับเมแทบอลิซึมของคาร์โบไฮเดรต ไขมันและโปรตีน เพิ่มความต้องการรับประทานอาหาร ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น มีการสะสมไขมันบริเวณแกนกลางของลำตัว เช่น ใบหน้าทำให้หน้ากลมคล้ายดวงจันทร์ (moon face) บริเวณคอมีหนอกยื่นออกมา (buffalo hump) มีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง เนื่องจากมีการสลายโปรตีนและไขมันตามบริเวณแขน ขา ทำให้แขน ขาเรียว ผิวบาง เห็นเส้นเลือดฝอย พบเส้นเลือดแตกที่หน้าท้อง(red stria) ขาดประจำเดือน (amenorrhea) กระดูกผุ ติดเชื้อง่าย เกิดกลุ่มอาการโรคที่เรียกว่า คุชชิง(Cushing’s syndrome ) พบในผู้ป่วยที่มีเนื้องอกของต่อมหมวกไตส่วนนอกหรือได้รับการรักษาด้วยยาหรือฮอร์โมนที่มีคอร์ติโคสเตรอยด์เป็นส่วนผสม เพื่อป้องกันอาการแพ้ อักเสบติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน เกิดขึ้นได้ทั้งชายและหญิง
เด็กที่มีอาการคูชชิ่ง
ภาพด้านซ้ายเป็นภาพก่อนมีอาการ ภาพด้านขวาคือภาพหน้าพระจันทร์(moon face)เมื่อมีอาการโรคนี้ผ่านไป 4เดือน
-
-
ต่อมหมวกไตส่วนนอก
การทำงานของต่อมหมวกไตส่วนนอกถูกควบคุมโดย อะดรีโนคอร์ติโคโทรฟิคฮอร์โมน (adrenocorticotrophic hormone : ACTH) ซึ่งเป็นโทรฟิคฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองส่วนหน้า การหลั่งของ ACTH จะถูกควบคุมอีกทีจากคอร์ติโคโทรฟิน รีลิสซิงฮอร์โมน (corticotrophin releasing hormone: CRH) จากไฮโพทาลามัสมาตามการเปลี่ยนแปลงของสภาวะแวดล้อม ได้แก่ ระยะเวลาของแต่ละวัน การเปลี่ยนเวลานอน การอดอาหาร ภาวะเครียด ระดับของคอร์ติซอลที่ลดลงจะย้อนกลับไปกระตุ้นการหลั่ง CRH และACTH ได้
-
ความเครียด การได้รับบาดเจ็บ อารมณ์ ฯ จะกระตุ้นไฮโพทาลามัส ให้หลั่ง CRH ไปกระตุ้นต่อมใต้สมองส่วนหน้าให้หลั่ง ACTH มากระตุ้นที่ต่อมหมวกไตส่วนนอก ให้หลั่งฮอร์โมนของต่อมใต้สมองส่วนนอกออกมามีผลต่อส่วนต่างๆ ของร่างกาย แต่เมื่อระดับฮอร์โมนของต่อมหมวกไตส่วนนอกมีมากเพียงพอ จะไปยับยั้งไฮโพทาลามัสและต่อมใต้สมองส่วนหน้าให้ลดการหลั่ง CRH และ ACTH ทำให้ฮอร์โมนจากต่อมหมวกไตปกต
-
-
ต่อมไพเนียล
กายวิภาค
ต่อมไพเนียลเป็นต่อมขนาดเล็ก ขนาดเท่ากับเม็ดข้าวมีสีแดงปนน้ำตาล เรียกชื่อเต็มว่าเอน อะเซทิล ไฟฟ์เมทอคซิทริพทามีน( N acetyl -5- methoxytryptamine) เนื่องจากรูปร่างคล้ายลูกสน (pine cone) จึงเรียกว่าต่อมไพเนียล (pineal gland)
ต่อมนี้ยื่นมาจากด้านบนของไดเอนเซฟฟาลอน หรืออยู่ด้านล่างสุดของโพรงสมองที่สาม ประกอบด้วยเซลล์ 2 ประเภท คือเซลล์ไพเนียล( pinealocytes) และเซลล์ไกลอัน (glial cell) ต่อมไพเนียลจัดอยู่ทั้งในระบบประสาท คือการรับตัวกระตุ้นจากการมองเห็น (visual nerve stimuli) และระบบต่อมไร้ท่อ คือการสร้างฮอร์โมน
สรีรวิทยา
เป็นต่อมเล็กๆ ที่ช่วยสร้างฮอร์โมนเมลาโทนิน (Melatonin) ทําหน้าที่ยับยั้งการเจริญเติบโตของต่อมเพศในช่วงระยะก่อนวัยหนุ่มสาว เมื่อเข้าสู่ช่วง วัยรุ่นอาจมีผลต่อการตกไข่ และประจําเดือนในเพศหญิง ซึ่งหากต่อมไพเนียล มีการผลิตฮอร์โมน ออกมามากเกินไป จะส่งผลทําให้เป็นหนุ่มเป็นสาวช้ากว่าปกติ แต่ถ้าหากต่อมไพเนียลถูกทําลาย เช่น เกิดเนื้องอกในสมอง ก็จะทําให้เป็นหนุ่มเป็นสาวเร็วกว่าปกติ
ต่อมไพเนียล ผลิต เมลาโทนิน โดยเฉลี่ยคืนละ 1-3 มิลลิกรัม ปริมาณการสร้างเมลาโทนินจะลดลงตามวัย โดยอายุ 5-6 ปี จะมีระดับเมลาโทนินสูงสุด และลดลง ในวัยหนุ่มสาว เมื่อถึงวัยกลางคน (40 ปีขึ้นไป) จะ ลดลงเป็นครึ่งหนึ่งของระดับเดิม และจะลดลงเรื่อย ๆ เมื่อเข้าสู่วัยชรา ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ยาตัวนี้เป็นที่ต้องการของผู้ที่ไม่ประสงค์จะชราก่อนวัย หรือที่เรียกว่า "วัยทอง" ซึ่งเป็นวัยที่ความกระฉับกระเฉงจะลดถอยลง ความเสื่อมโทรมของร่างกายจะเกิดมากขึ้น
ฮอร์โมนเมลาโทนิน
เมลาโทนิน เป็นฮอร์โมนที่จะถูกผลิตโดยต่อมไพเนียลในสมอง ขณะที่กำลังนอนหลับ มีหน้าที่ในการช่วยปรับนาฬิกาชีวิตให้คงที่
โดยฮอร์โมนเมลาโทนินจะเริ่มทำงานตั้งแต่ช่วง 21.00-22.00 น. เราก็จะเริ่มง่วงนิดๆ แต่ถ้ายังถ่างตาต่อไปอยู่เรื่องๆ เมลาโทนินก็จะเริ่มค่อยๆ ทวีพลังมากยิ่งขึ้นในช่วง 02.00-04.00 น. หลังจากนั้นก็จะค่อยๆ ลดการทำงานลง จนกระทั่งช่วง 07.00-08.00 น. ก็จะหยุดทำงาน
การใช้ยา
Melatonin มีผลช่วยรักษาอาการนอนไม่หลับเบื้องต้น และอาการนอนไม่หลับจากการเดินทางโดยเครื่องบิน (jet lag) Melatonin ในประเทศไทยจัดเป็นยาใหม่ อยู่ในระหว่างการติดตามความปลอดภัยและยังไม่อนุญาตให้จำหน่ายในร้านยา มีใช้ในเฉพาะในสถานพยาบาล หรือ ในโรงพยาบาลเท่านั้น ซึ่งอยู่ในความดูแลของแพทย์ มีชื่อการค้า คือ Circadin (ขนาด 2 มิลลิกรัม) โดยได้รับอนุมัติจากสหภาพยุโรป (EU) ในข้อบ่งใช้ คือ รักษาอาการนอนไม่หลับเบื้องต้นระยะสั้นในผู้ป่วยอายุ 55 ปีขึ้นไป และสามารถใช้ได้นาน 3 เดือน
ผลข้างเคียง
ผลข้างเคียงที่พบได้ เช่น ทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย ง่วงนอนค้าง ปวดศีรษะ มึนงง มีผลต่อความจำ ในการรับ ประทานระยะยาว อาจทำให้ความรู้สึกทางเพศลดลง ซึมเศร้า
-
ต่อมไทรอยด์ (THYROID GLANDS)
กายวิภาค
ต่อมไทรอยด์เป็นต่อมไร้ท่อซึ่งอยู่บริเวณลำคอ หน้าต่อกล่องเสียง เป็นต่อมไร้ท่อที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ในคนปกติมีน้ำหนักประมาณ 25 กรัม เจริญมาจากเนื้อเยื่อตัวอ่อนชั้นใน (endoderm) ที่อยู่ที่ฐานของคอหอย แล้วแทรกตัวเข้าไปอยู่หน้าต่อหลอดลม แบ่งออกเป็น 2 พูและเชื่อมกันตรงกลาง ด้วยส่วนที่เรียกว่าคอคอดหรืออิสมัส (isthmus)
-
ฟอลลิคูลาร์เซลล์ (follicular cell) เมื่อดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ ต่อมไทรอยด์จะประกอบ ด้วยท่อกลมๆหลายอัน เรียกว่า ไทรอยด์ฟอลลิเคิล (thyroid follicle) ฟอลลิเคิล แต่ละอันประกอบด้วย เซลล์ เยื่อบุผิวชนิดลูกเต๋า (cuboid) เรียงตัวเป็นชั้นเดียวล้อมรอบช่องว่าง ซึ่งบรรจุสารคอลลอยด์ เซลล์เหล่านี้คือ ฟอลลิคูลา เซลล์(follicular cell) ที่ทำหน้าที่สร้างฮอร์โมนไทรอกซิน (thyroxine , หรือ tetraiodothyronine, T4) และไทรไอโอโดไทโรนิน: triiodothyronine, T3)
-
กลุ่มเซลล์ที่เรียกว่า เซลล์ซี (C-cell) หรือ เซลล์พาราฟอลลิคูลาร์ ( parafollicular cell )
เป็นเซลล์ที่แทรกอยู่ ในระหว่างไทรอยด์ฟอลลิเคิลของต่อมไทรอยด์ซึ่งสร้าง ฮอร์โมนแคลซิโทนิน ( calcitonin )
-
ทำหน้าที่กระตุ้นการสะสมของแคลเซียมที่กระดูก เพิ่มการขับแคลเซียมและฟอสเฟตที่ไต ลดอัตราการดูดซึมแคลเซียมที่ลำไส้ ทำงานร่วมกับฮอร์โมนพาราไทรอยด์(parathyroid) และวิตามินดี ช่วยให้ระดับของแคลเซียม ในกระแสเลือดไม่มากเกินไป ยับยั้งไม่ให้แคลเซียมออกจากกระดูก
สรีระวิทยา
ฮอร์โมนของต่อมไทรอยด์
ฮอร์โมนของต่อมไทรอยด์มีสารตั้งต้นมาจากกรดอะมิโนไทโรซีน (tyrosine) ที่สำคัญ 2 ชนิด ที่มีผลต่อเมแทบอลิซึมของร่างกายคือไทรอกซิน (thyroxine) หรือเตเตราไอโอโดไทโรนิน(tetraiodothyronine) เรียกว่า T4 เพราะประกอบไปด้วยไอโอดีน 4 ตัว และไทรไอโอโดไทโรนิน(triiodothyronine) มักเรียกว่า T3 เพราะประกอบไปด้วยไอโอดีน 3 ตัว ต่อหนึ่งโมเลกุล
-
ต่อมไทรอยด์สร้างฮอร์โมน ที่สามารถดึงไอโอดีนจากกระแสเลือดเข้าสู่เซลล์ได้ ต่อมไทรอยด์ จะประกอบด้วยถุงหุ้มที่เป็นเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (connective tissue) ซึ่งเป็นที่สร้างฮอร์โมน เรียกว่า ไทรอยด์ฟอลลิเคิล (thyroid follicle) เป็นที่สร้างและหลั่งฮอร์โมนไทรอกซิน (thyroxine) และไทรไอโอโดไทโรนิน (triiodothyronine) ซึ่งมีไอโอดีนเป็นส่วนประกอบ แล้วเก็บไว้ในของเหลว ที่อยู่ตรงกลางเรียกว่าคอลลอยด์หรือโพรงถุงไทรอยด์ (colloid) ซึ่งมีส่วนประกอบเป็นไกลโคโปรตีน (glycoprotein) เรียกว่าไทโรโกลบูลิน (thyroglobulin) ไกลโคโปรตีนคือโปรตีนเชิงซ้อนซึ่งมีหมู่ของคาร์โบไฮเดรตทำพันธะโควาเลนท์กับโปรตีน
-
กลไกการออกฤทธิ์
ฮอร์โมน T4 จะต้องเปลี่ยนเป็น T3 ก่อนแล้วจะจับกับ ตัวรับสัญญาณที่อยู่ในนิวเคลียส เป็นฮอร์โมนรีเซฟเตอร์คอมเพล็กซ์ ซึ่งจะจับกับดี เอน เอ เพื่อกระตุ้นการสร้าง mRNA และโปรตีนจำเพาะซึ่งจะมีผลต่อกระบวนการต่างๆของร่างกายต่อไป
พยาธิสรีระ
ถ้าร่างกายมีไทรอยด์ฮอร์โมนลดลงต่ำกว่าปกติ หรือถ้าอัตราการเผาผลาญสารอาหารลดลงจะกระตุ้นให้ไฮโพทาลามัส หลั่งไทโรโทรปิน รีลิสซิงฮอร์โมน เรียกย่อว่าที อาร์ เอช(TRH :thyrotropin releasing hormone) ไปกระตุ้นต่อมใต้สมองส่วนหน้าให้หลั่งไทรอยด์สติมิวเลติงฮอร์โมน เรียกย่อว่าที เอส เอช(TSH : thyroid stimulating hormone) เพื่อไปกระตุ้นต่อมไทรอยด์ ให้หลั่งไทรอยด์ฮอร์โมนออกมาจนกระทั่งความเข้มข้นของไทรอยด์ฮอร์โมนปกติ ในภาวะที่ร่างกายต้องการพลังงาน เช่น อาการหนาว อยู่ในที่สูง หรือมีการตั้งครรภ์ จะมีผลในการควบคุมทำให้สร้างไทรอยด์ฮอร์โมนเพิ่มขึ้น
-
-
-
คอพอก (goiter )
คอพอก (goiter ) คือต่อมไทรอยด์มีขนาดโตขึ้นกว่าปกติ ถ้าโตมาก ๆ จะกดหลอดลมทำให้หายใจลำบาก ไอ สำลัก ถ้ากดหลอดอาหารจะกลืนอาหารลำบาก ปัจจุบันคนที่มีอาการคอพอกไม่ค่อยพบในผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 40 ปี แต่จะมีผู้ที่ขาดสารไอโอดีน และมีผู้ที่มีอาการคอโหญ่กว่าปกติเล็กน้อย ในปัจจุบันต้องใช้วิธีการคลำ หรือใช้เครื่องอัลตราซาวน์วัด
-
การขาดไอโอดีน
ถ้าร่างกายได้รับไอโอดีนไม่เพียงพอจะส่งผลให้มีการผลิตไทรอยด์ฮอร์โมนได้น้อย (hypothyroidism) ซึ่งจะไม่มีสัญญาณย้อนกลับไปยับยั้งไฮโพทาลามัสทำให้มีสร้างฮอร์โมนไทรอยฮอร์โมนรีลีสซิงฮอร์โมน (Thyroid Releasing Hormone : TRH)มากขึ้น และไม่มีการยับยั้งต่อมใต้สมองส่วนหน้าทำให้มีสร้างไทรอยด์สติมิวเลติงฮอร์โมน (Thyroid Stimulating Hormone : TSH) เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน ทำให้ต่อมไทรอยด์กระตุ้นให้สร้างฮอร์โมนไทรอกซินเพิ่มมากขึ้น จนต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกินไป ต่อมจะโตขึ้นเรียกว่า โรคคอพอก (simple goiter)
-
-
-
ปัจจัยที่ทำให้เกิดคอพอก
- การได้รับธาตุไอโอดีนในอาหารน้อยกว่าปกติ
- การได้รับสาร กอยโทรเจน (goitrogens) มากเกินไป สาร กอยโทรเจน(goitrogens) เป็นสารยับยั้งการสังเคราะห์ไทรอยด์ฮอร์โมน โดยยับยั้งการส่งผ่าน ไอโอดีน ได้แก่สารพวก ไทโรยูราซิล(throuraci) และไทโอไซยาเนท (thiocyanate) ซึ่งพบในกระหล่ำปลี,หัวผักกาด มัสตาด และ ยารักษาโรคไทรอยด์ เช่นเพอโคเรท (perchlorate)
- การขาดเอนไซม์TPO สำหรับการสร้างฮอร์โมนมาตั้งแต่กำเนิด
- ร่างกายต้องการฮอร์โมนมากเกินปกติ พบในวัยรุ่น สตรีตั้งครรภ์ ผู้มีเนื้องอกของต่อมไทรอยด์ มีความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ เกี่ยวกับต่อมไทรอยด์และสาเหตุอื่นๆ
-
-
-