Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับการสวนปัสสาวะ (การประเมินสภาวะสุขภาพในระบบทางเดิน…
การพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับการสวนปัสสาวะ
การประเมินสภาวะสุขภาพในระบบทางเดินปัสสาวะ
การตรวจร่างกาย
ความผิดปกติเกี่ยวกับลักษณะปัสสาวะ
ปัสสาวะเป็นเลือด
ปัสสาวะเป็นหนอง
กลิ่นปัสสาวะผิดปกติ เช่น กลิ่นเหม็น
ความผิดปกติเกี่ยวกับจำนวนปัสสาวะ
ถ่ายปัสสาวะมากกว่าปกติ (Polyuria)
ถ่ายปัสสาวะน้อยกว่าปกติ (Oliguria)
ภาวะไม่ถ่ายปัสสวะ (Anuria)
อาการบวม
อาการบวมที่เกิดจากโรคไต จะมีลักษณะเฉพาะคือ บวมบริเวณใบหน้าและหนังตาในเวลาตอนเช้า แต่บวมที่เท้าและข้อเท้าในเวลาตอนเย็น
มีก้อนในท้อง (Mass)
ภ้าพบก้อนในท้องอาจเกิดจากไตโตจากโรคถุงน้ำในไต (Polycystic Kidney) หรือเนื้องอกของไต
การตรวจทางห้องปฏิบัติการพิเศษ
การตรวจปัสสาวะ
ปริมาตรของปัสสาวะ
สีของปัสสาวะ
ภาวะความเป็นกรด-ด่างของปัสสาวะ
ความถ่วงจำเพาะของปัสสาวะ
ความขุ่นของปัสสาวะ
การตรวจหาโปรตีนในปัสสาวะ
การตรวจน้ำตาลในปัสสาวะ
การตรวจปัสสาวะด้วยกล้องจุลทรรศน์ การตรวจการตกตะกอน
พบเม็ดเลือดขาว (White Blood Cell )
พบเม็ดเลือดแดง (Red Blood Cell )
พบเซลล์บุผิว (Epithelial cell)
การเจาะเลือด
ตรวจ Blood Urea Nitrogen
ตรวจ Creatinine
การส่องกล้องตรวจท่อปัสสาวะและกระเพาะปัสสาวะ (Cystourethroscopy)
Renal Biopsy
Intravenous pyelography (IVP)
Computerized tomography of the kidney (CT of the kidney)
Renal angiography
การซักประวัติ
อายุ
แบบแผนการรับประทานอาหารและน้ำ
ประวัติการใช้ยา
ประวัติโรคประจำตัวหรือความเจ็บป่วยอื่นๆ
แบบแผนการดำเนินชีวิตประจำวัน
ความกดดันทางด้านจิตใจ
การออกกำลังกาย
อาการปวด
ปวดหลังบริเวณ Flank pain
ปวดบริเวณเหนือหัวหน่าว
ปวดบริเวณ Lower quadrant ร้าวไปที่ขาหนีบ
ความผิดปกติในการขับถ่ายปัสสาวะ
ปัสสาวะมีลม
ปัสาวะคั่ง
ปัสสาวะรดที่นอน
ควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะไม่ได้
กลั้นปัสสาวะไม่ได้
ปวดและแสบเวลาถ่ายปัสสาวะ
ปัสสาวะลำบาก
ปัสสาวะบ่อยผิดปกติ
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
มีภาวะติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะเนื่องจากมีการใส่สายสวนปัสสาวะคา ก่อนผ่าตัด
วัตถุประสงค์ : เพื่อลดภาวะการติดเชื้อและทำให้การติดเชื้อหมดไป
เกณฑ์การประเมิน
1.ไม่มีไข้สัญญาณชีพปกติ อุณหภูมิ 36.8 องศาเซลเซียส ชีพจร 86 ครั้ง/นาที หายใจ 20 ครั้ง/นาที ความดันโลหิต 110/80 มิลลิเมตรปรอท
2.การขับถ่ายปัสสาวะปกติไม่แสบขัด ปัสสาวะสีเหลืองใส
3.ผลการตรวจปัสสาวะปกติไม่พบเชื้อในปัสสาวะ
4.ดื่มน้ำได้วันละ 2,500cc. ขึ้นไป
ข้อมูลสนับสนุน
SD
ผู้ป่วยบอกว่า “รู้สึกแสบเวลาปัสสาวะ และปัสสาวะไม่สุด”
OD
1.มีไข้ อุณหภูมิอยู่ในช่วง 37.8-39 องศาเซลเซียส
2.ผลการตรวจปัสสาวะ WBC 50-100 cell/HP ลักษณะปัสสาวะค่อนข้างขุ่น
3.มีการใส่สายสวนปัสสาวะ ก่อนผ่าตัด วันที่ 6 ธ.ค. 50
กิจกรรมการพยาบาล
1.วัดสัญญาณชีพ ทุก 4 ชม. เพื่อประเมินภาวะติดเชื้อ
2.ให้การพยาบาลโดยยึดหลักเทคนิคปราศจากเชื้อ
3.ดูแลให้ได้รับยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษาของแพทย์และสังเกตอาการข้างเคียงของยา
4.จัดให้ผู้ป่วยดื่มน้ำวันละ 2,500-3,000 cc เพื่อขับเชื้อโรคออกจากกระเพาะปัสสาวะ
5.แนะนำให้ผู้ป่วยชำระอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก จากด้านหน้าไปด้านหลัง ทุก 3-4 ชั่วโมงอย่างสม่ำเสมอ และหลังการขับถ่ายทุกครั้ง เพื่อขจัดสิ่งหมักหมม และลดจำนวนเชื้อโรคลง
6.แนะนำผู้ป่วยไม่ให้กลั้นปัสสาวะ หากต้องการปัสสาวะ หรือรู้สึกกระเพาะปัสสาวะเต็ม ต้องปัสสาวะทันที ทั้งนี้เพราะน้ำปัสสาวะที่คั่งค้างในกระเพาะปัสสาวะ อาจเป็นแหล่งสะสมเชื้อ โรค ทำให้การทำงานของหูรูดท่อปัสสาวะเสียไป
7.อธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจ การติดเชื้อที่ระบบทางเดินปัสสาวะ เพื่อให้เกิดความตระหนักต่อการป้องกันการติดเชื้อยิ่งขึ้น
มีของเสียคั่งในกระแสเลือด เนื่องจากประสิทธิภาพการทำงานของไตลดลง
ข้อมูลสนับสนุน
OD
BUN = 39 mg/dl
Cr = 1.44 mg/dl
GFR = 34.8 ml/min
SD
-
วัตถุประสงค์
ของเสียในร่างกายลดลง ไม่เกิดอันตรายจากของเสียคั่ง
กิจกรรมการพยาบาล
สังเกตการของเสียคั่งในร่างกาย เช่น อ่อนเพลีย บวม หายใจหอบ ความดันโลหิตสูง
เพราะการสังเกตของเสียคั่งในร่างกายจะช่วยในการประเมินความรุนแรงของของเสียคั่งในร่างกายและให้การรักษาอย่างเหมาะสม
จำกัดน้ำผู้ป่วยโดยให้ผู้ป่วยจิบน้ำได้โดยไม่เกิน 500 ml
เพราะถ้าดื่มน้ำมากจะทำให้เกิดอาการบวมน้ำจากการที่ไตมีการกรองของเสียลดลง
บันทึกน้ำเข้า-ออก ทุก 8 ชม. เพราะเป็นการประเมินความสมดุลของน้ำเข้าและน้ำออก
วัด vital sign ทุก 4 ชม.
เพราะเป็นการประเมินสัญญาณชีพ โดยเฉพาะความดันโลหิต เพราะผู้ป่วยที่มีของเสียคั่งในร่างกายจะทำให้ความดันโลหิตสูงได้
ติดตามผล lab BUN Cr เพราะเป็นการประเมินการทำงานของไตในการกรองของเสีย
เกณฑ์การประเมิน
1.ไม่มีอาการของเสียคั่งในร่างกาย เช่น ปัสสาวะออกน้อย อ่อนเพลีย บวม คันตามตัว หอบเหนื่อย ความดันโลหิตสูง
2.BUN = 6-20 mg/dl
3.Cr = 0.51 - 0.95 mg/dl
4.BP = Systolic 140 - 90 mmHg Diastolic 90 - 60 mmHg
ขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคที่เป็น รวมทั้งการรักษาพยาบาลที่ถูกต้อง
วัตถุประสงค์ ให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความเป็นไปของโรค รวมทั้งสภาพของโรคที่เป็นอยู่ ตลอดจนการรักษาพยาบาลต่าง ๆ ที่ได้รับ
เกณฑ์การประเมิน
แสดงความจำนงค์ที่จะให้เจ้าหน้าที่อธิบายชี้แจงเกี่ยวกับความเป็นไปของโรค รวมทั้งการรักษาพยาบาลต่าง ๆ ที่ผู้ป่วยได้รับ
ซักถามข้อข้องใจต่าง ๆ รวมทั้งตอบคำถามเกี่ยวกับการปฏิบัติตนได้เหมาะสมกับสภาพที่เป็นอยู่
กิจกรรมการพยาบาล
กระตุ้นให้ผู้ป่วยดื่มน้ำให้มาก อย่างน้อยวันละ 3000 – 4000 มิลลิลิตร / วัน เพื่อชะล้างเชื้อโรคออกโดยธรรมชาติ
ในรายที่มีการอักเสบของกระเพาะปัสสาวะ ก่อนเข้านอนไม่ควรดื่มน้ำมากเพราะจะทำให้กระเพาะปัสสาวะเต็ม ทำให้เลือดไปเลี้ยงผนังกระเพาะปัสสาวะได้ไม่ดี ความต้านทานต่อการติดเชื้อจะลดลง
พยายามถ่ายปัสสาวะบ่อย ๆ อย่ากลั้นปัสสาวะ
ดูให้มีการไหลออกของปัสสาวะได้สะดวก ในรายที่จำเป็นต้องสวนออกต้องทำอย่างถูกวิธีและปราศจากเชื้อ
บันทึกจำนวนน้ำที่ร่างกายได้รับและขับออก
แนะนำให้ดื่มน้ำประมาณ 1 – 2 แก้วทันที ภายหลังร่วมเพศ หลีกเลี่ยงท่าที่มีการกดบริเวณผนังหน้าช่องคลอดให้มากที่สุด
ในรายที่มีไข้ ตรวจวัดสัญญาณชีพอย่างต่อเนื่อง เพื่อประเมินสภาวะการติดเชื้อว่าลดลงหรือไม่
ในรายที่มีการอักเสบของท่อปัสสาวะ ควรนั่งแช่ก้นในน้ำอุ่นเพื่อลดอาการอักเสบนานประมาณ 20 – 30 นาที
ขณะมีประจำเดือนต้องดูแลเรื่องความสะอาด เปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อย ๆ ให้ความรู้วิธีป้องกันการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะในผู้หญิง ทำความสะอาดบริเวณฝีเย็บและทวารหนักให้ถูกวิธี (เช็ดจากข้างบนลงมาข้างล่าง)
ให้ยาแก้ปวดและยาปฏิชีวนะตามแผนของการรักษา สังเกตอาการข้างเคียงของยาภายหลังให้ยา
ความหมาย
ขั้นตอนที่ใช้ในการระบายปัสสาวะออกจากกระเพาะปัสสาวะ โดยการใส่สายสวนปัสสาวะหรือเรียกว่า catheter
ชนิดของการใส่สายสวนปัสสาวะ
สายสวนปัสสาวะปล่อยหรือสวนเป็นครั้งคราว (intermittent catheters)
เป็นสายที่ใส่ไว้แค่ชั่วคราว ถอดออกเมื่อระบายปัสสาวะออกจากระเพาะปัสสาวะออกหมดแล้ว
สายสวนปัสสาวะแบบคาสายหรือสวนค้าง (indwelling catheters)
เป็นสายที่คาไว้เป็นวันหรือเป็นสัปดาห์ โดยสายชนิดนี้เป็นที่นิยมมากกว่าเนื่องจากสะดวกและเลี่ยงการถอดใส่สายบ่อยๆ แต่การคาสายไว้นานก็จะเสี่ยงต่อการติดเชื้อเช่นกัน