Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ชีวนิเวศ BIOMES (ไบโอมบนบก (terrestrial biomes) (ไบโอมป่าสน (ป่าสน…
ชีวนิเวศ BIOMES
ไบโอมบนบก (terrestrial biomes)
ไบโอมป่าดิบชื้น
ป่าดิบชื้น (tropical rain forest)
พบได้ในบริเวณใกล้เขตเส้นศูนย์สูตรของโลกในทวีปอเมริกากลาง ทวีปอเมริกาใต้ ทวีปแอฟริกา ทวีปเอเชียตอนใต้ และบริเวณบางส่วนของหมู่เกาะแปซิฟิก
ลักษณะของภูมิอากาศร้อนและชื้น มีฝนตกตลอดปี ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย 200-400 เซนติเมตรต่อปี ในป่าชนิดนี้พบพืชและสัตว์หลากหลายนับพันสปีชีส์ เป็นป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์
ไบโอมป่าผลัดใบในเขตอบอุ่น
ป่าผลัดในใบเขตอบอุ่น (temperate deciduous forest) พบกระจายทั่วไปในละติจูตกลาง ซึ่งมีปริมาณความชื้นเพียงพอที่ต้นไม้ใหญ่จะเจริญเติบโตได้ โดยมีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย 100 เซนติเมตรต่อปี
และมีอากาศค่อนข้างเย็น ในป่าชนิดนี้ต้นไม้จะผลัดใบก่อนที่จะถึงฤดูหนาวและจะเริ่มผลิใบอีกครั้งจากฤดูหนาวผ่านพ้นไปแล้ว ต้นไม้ที่พบมีหลากหลายทั้งไม้ยืนต้น ไม้พุ่ม รวมถึง ไม้ล้มลุก
ไบโอมป่าสน
ป่าสน (coniferous forest)
ป่าไทกา (taiga)
ป่าบอเรียล (boreal)
เป็นป่าประเภทเดียวกันที่มีต้นไม้เขียวชอุ่มตลอดปีพบได้ทางตอนใต้ของแคนาดา ทางตอนเหนือของทวีปอเมริกาเหนือ ทวีปเอเชีย และยุโรป ในเขตละติจูตตั้งแต่ 45-67 องศาเหนือ ลักษณะของภูมิอากาศมีฤดูหนาวค่อนข้างยาวนาน อากาศเย็นและแห้งพืชเด่นที่พบ ได้แก่ พืชจำพวกสน เช่น ไพน์ (pine) เฟอ (fir) สพรูซ (spruce) และเฮมลอค (hemlok) เป็นต้น
ไบโอมทุ่งหญ้าเขตอบอุ่น
ทุ่งหญ้าเขตอบอุ่น (temperate grassland)
หรือที่รู้จักกันในชื่อของ ทุ่งหญ้าแพรี่ (prairie) ในตอนกลางของทวีปอเมริกาเหนือและ
ทุ่งหญ้าสเตปส์(steppes)
ของประเทศรัสเซีย เป็นต้น สภาพภูมิอากาศมีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย 25-50 เซนติเมตรต่อปี ทุ่งหญ้าเขตอบอุ่นนี้เหมาะสำหรับการทำการกสิกรรมและปศุสัตว์ เพราะดินมีความอุดมสมบูรณ์สูงมีหญ้านานาชนิดขึ้นอยู่ ส่วนใหญ่พบมีการทำเกษตรกรรมควบคู่ในพื้นที่นี้ด้วย
ไบโอมสะวันนา(savanna)
เป็นทุ่งหญ้าที่พบได้ในทวีปแอฟริกา ทวีปอเมริกาใต้ ทวีปออสเตรเลีย และพบบ้างทางตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปเอเชีย ลักษณะของภูมิอากาศร้อน พืชที่ขึ้นส่วนใหญ่เป็นหญ้าและมีต้นไม้ขึ้นกระจายเป็นหย่อม ๆ ในฤดูร้อนมักมีไฟป่า เกิดขึ้นอยู่เสมอๆ
ไบโอมทะเลทราย(desert)
ในพื้นที่ที่มีปริมาณฝนตกเฉลี่ยน้อยกว่า 25 เซนติเมตรต่อปี ทะเลทรายบางแห่งร้อนมากมีอุณหภูมิเหนือผิวดินสูงถึง 60 องศาเซลเซียสตลอดวัน บางแห่งค่อนข้างหนาวเย็น พืชที่พบในไบโอมทะเลทรายนี้มีการป้องกันการสูญเสียน้ำโดยใบเปลี่ยนรูปเป็นหนาม ลำต้นอวบเก็บสะสมน้ำ ทะเลทรายที่รู้จักกันโดยทั่วไปได้แก่ ทะเลทรายซาฮารา (Sahara) ในทวีปแอฟริกา ทะเลทรายโกบี (Gobi) ในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนและทะเลทรายโมฮาวี (Mojave) ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา
ไบโอมทุนดรา
เป็นเขตที่มีฤดูหนาวค่อนข้างยาวนานฤดูร้อนช่วงสั้น ๆ ลักษณะเด่นคือ ชั้นของดินชั้นบนลงไปจะจับตัวเป็นน้ำแข็งอย่างถาวร ทุนดราพบทางตอนเหนือของทวีปอเมริกาเหนือ และยูเรเซีย พบพืชและสัตว์อาศัยอยู่น้อยชนิด ปริมาณฝนน้อยมาก ฤดูร้อนช่วงสั้นๆ น้ำแข็งที่ผิวหน้าดินจะละลาย แต่เนื่องจากน้ำมาสามารถซึมผ่านลงไปในชั้นน้ำแข็งได้จึงท่วมขังอยู่บนผิวดิน ทำให้ปลูกพืชได้ในระยะสั้นๆ พืชที่พบจะเป็นพวกไม้ดอกและไม้พุ่ม นอกจากนี้ยังพบสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำ เช่น ไลเคนด้วย
ไบโอมในน้ำ (aquatic biomes)
ไบโอมแหล่งน้ำจืด
โดยทั่วไปประกอบด้วยแหล่งน้ำนิ่ง ซึ่งได้แก่ ทะเลสาบ สระ หนอง หรือบึง กับแหล่งน้ำไหล ซึ่งได้แก่ ธารน้ำไหลและแม่น้ำ เป็นต้น
ไบโอมแหล่งน้ำเค็ม
โดยทั่วไปประกอบด้วยแหล่งน้ำเค็ม ซึ่งได้แก่ ทะเลและมหาสมุทร ซึ่งพบได้ในปริมาณมากถึงร้อยละ 71 ของพื้นที่ผิวโลก และมีความลึกมากโดยเฉลี่ยถึง 3,750 เมตร ไบโอมแหล่งน้ำเค็มจะแตกต่างจากน้ำจืดตรงที่มีน้ำขึ้นน้ำลงเป็นปัจจัยกายภาพสำคัญ
ไบโอมแหล่งน้ำกร่อย
ช่วงรอยต่อของแหล่งน้ำจืดและน้ำเค็มที่มาบรรจบกัน ซึ่งมักจะพบตามปากแม่น้ำ การขึ้นลงของกระแสน้ำมีอิทธิผลต่อการเปลี่ยนแปลงค่าความเค็มของน้ำในแหล่ง น้ำกร่อยเป็นอย่างมาก
การจำแนกประเภทของป่าในประเทศไทย
ป่าผลัดใบ (evergreen forests)
ป่าเต็งรัง (deciduous dipterocarp forest)
ป่าเต็งรังเป็นสังคมพืชที่แห้งแล้ง ซึ่งปัจจัยดิน (edaptic factors) และไฟป่าที่เกิดเป็นประจำทุกปีมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาและการกระจายของป่าเต็งรัง ต้นไม้ส่วนใหญ่มีความทนทานต่อไฟผิวดินซึ่งเกิดขึ้นเป็นประจำทุกปีได้ดี ป่าเต็งรังเกิดบนพื้นที่แห้งแล้งจนถึงแห้งแล้งมากที่สุดบนที่ลาดเชิงเขา บนไหล่เขา ตามแนวสันเขา และตามแนวลาดของภูเขาจนถึงความสูงประมาณ 600 – 800 เมตร จากระดับน้ำทะเล ดินตื้น เป็นกรวดจนถึงเป็นทราย หรือเป็นดินแลงที่มีหิน ต้นไม้ที่แสดงคุณลักษณะของป่าเต็งรังอย่างเด่นชัดที่สุด ได้แก่ เต็ง (Shorea obtusa ) และรัง (Shorea siamensis )
ป่าผสมผลัดใบ (mixed deciduous forest)
ป่าผลัดใบผสมเขตร้อนหรือป่าผลัดใบผสม หรือป่าเบญจพรรณ โดยปกติแล้วการพัฒนาจะเกิดขึ้นดีที่สุดบนดินที่ถือกำเนิดมาจากหินปูน (limestone) และดินที่มีความอุดมสมบูรณ์จากการทับถมของตะกอน (alluvium soil) ป่าผลัดใบผสมจะพัฒนาอยู่อย่างกว้างขวางในระดับที่ต่ำกว่า 800 เมตร จากระดับน้ำทะเล และได้รับผลกระทบจากความแห้งแล้งตามฤดูกาลไม่มากก็น้อย ป่าผลัดใบผสมแตกต่างอย่างเด่นชัดกับป่าเต็งรังตรงที่ไม่มีพรรณไม้ผลัดใบในวงศ์ยางที่ทนแล้งได้ดี แต่จะมีไม้ไผ่ที่มีลำใหญ่และยาวปรากฏอยู่แทนซึ่งจะมากหรือน้อยแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ พรรณไม้ที่สำคัญในป่าพรุได้แก่ กระบก (Irvingia malayana ) หว้า (Eugenia cumini ) มะม่วงป่า (Mangifera caloneura )
ป่าเต็งรังผสมสน (pine deciduous dipterocarp forest)
เป็นสังคมของป่าเต็งรังผสมกับสนพื้นเมืองสองชนิดคือ สนสองใบ และสนสามใบ โดยเกิดจากการซ้อนทับกัน (overlapping) ระหว่างป่าดิบเขาระดับต่ำสังคมสนเขา - ก่อ ซึ่งมีไม้สนสามใบ กับป่าเต็งรังผสมสนในพื้นที่สูงของภาคเหนือ อันเป็นผลมา จากไฟป่าในฤดูหนาวที่อากาศแห้ง (ธันวาคม – กุมภาพันธ์) โดยการกระทำของมนุษย์ ที่ระดับความสูงประมาณ 800 – 1,200 เมตร จากระดับน้ำทะเล
ป่าไม่ผลัดใบ (deciduous forests)
ป่าดิบชื้น (tropical rain forest)
เกิดทั่วไปในเขตร้อนและชุ่มชื้น มีฝนตกรายปีโดยเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 2,000 มม.ต่อปี และมีช่วงฤดูแล้งที่สั้น พบที่ระดับความสูงจากน้ำทะเลไม่เกิน 600 เมตร ในประเทศไทยพบได้ทุกส่วนของประเทศ แต่มีลักษณะที่แตกต่างกันไปบ้างตามสภาพดินฟ้าอากาศและภูมิประเทศที่ขึ้นอยู่ สภาพโดยทั่วไปเป็นป่ารกทึบ ไม้ชั้นบนส่วนใหญ่เป็นไม้ใหญ่วงศ์ไม้ยาง ไม้ชั้นกลาง และไม้ชั้นล่างสามารถขึ้นใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ได้ พื้นป่าประกอบด้วย ไม้พุ่ม ไม้ล้มลุก ระกำ หวาย และไผ่ รวมทั้งพืชตระกูลปาล์มที่มักพบอยู่เสมอ บนไม้ใหญ่จะมีพรรณไม้พวกเกาะอาศัย (epiphyte) เช่น เฟิร์น มอส ขึ้นอยู่ทั่วไป และพบเถาวัลย์เป็นจำนวนมาก พรรณไม้ที่สำคัญในป่าดิบชื้นได้แก่ ยางนา (Dipterocarpus alatus ) ยางแดง (D.costulus ) ยางยูง (D. gradiflorus ) ตะเคียนทอง (Hopea odorata ) ไข่เขียว (Parashorea stellat ) เป็นต้น
ป่าดิบแล้ง (dry evergreen forest)
องค์ประกอบของพรรณไม้ที่แตกต่างกันอย่างเด่นชัดระหว่างป่าดิบแล้งกับป่าดิบชื้นก็คือการลดลงของจำนวนชนิดพรรณไม้วงศ์ยางของป่าดิบแล้งเมื่อเปรียบเทียบกับป่าดิบชื้น โครงสร้างของป่าประกอบด้วยเรือนยอด 3 ชั้น โดยไม้ในเรือนยอดชั้นบน (canopy layer) นั้นประกอบด้วยพรรณไม้ผลัดใบน้อยกว่าหนึ่งในสาม ชั้นของไม้พุ่ม (shrub layer) มีการพัฒนาดี และมีเถาวัลย์ที่มีเนื้อไม้ (woody climber) หลายชนิด พรรณไม้พวกปาล์มพบกระจายอยู่ทั่วไปโดยเฉพาะในบริเวณที่มีความชื้นสูง เช่น ตามแนวลำน้ำ พบที่ความสูงจากระดับน้ำทะเล ประมาณ 100 ถึง 800 เมตร พรรณไม้สำคัญในป่าดิบแล้งได้แก่ กระบาก (Anisoptera costata ) ยางนา (Dipterocarpus alatus ) ยางปาย (D. costatus ) ยางแดง (D. turbinatus ) ตะเคียนทอง (Hopea odorata )
ป่าดิบเขา (montane forest or hill evergreen forest)
นพื้นที่ภูเขาสูงในเขตร้อน (tropical mountain) สังคมพืชเขตร้อน จะถูกแทนที่ด้วยสังคมพืชเขตอบอุ่น (temperate vegetation) หรือสังคมพืชป่าดิบเขา (montane vegetation) มักปรากฏให้เห็นที่ระดับความสูงประมาณ 1,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล ขึ้นไป
ป่าชายหาด (beach forest)
พบอยู่ตามชายฝั่งทะเลซึ่งพื้นดินเป็นกรวด ทราย และโขดหิน ที่น้ำทะเลท่วมไม่ถึง เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงได้รับอิทธิพลจากคลื่น ละอองน้ำเค็ม และลมทะเลอย่างต่อเนื่อง ป่าชายหาดพบกระจายอยู่ทั่วไปบริเวณชายฝั่งทะเลเป็นพื้นที่เล็กๆ องค์ประกอบของพรรณไม้และลักษณะโครงสร้างของป่าชายหาดจะมีความแตกต่างกันค่อนข้างมากตามสภาพแวดล้อมของแต่ละท้องที่ พรรณไม้สำคัญในป่าชายหาดได้แก่ ทุ้งฟ้า (Alstonia macrophylla ) โพทะเล (Thespesia populnea ) และก้านเหลือง (Nuaclea orientalis )
ป่าพรุ (swamp forest)
ป่าพรุถือได้ว่าเป็นป่าที่มีน้ำท่วมขังประเภทหนึ่ง เกิดขึ้นตามแอ่งน้ำที่มีน้ำขังตลอดปี มีการสะสมซากพืช หรืออินทรียวัตถุอย่างถาวรของสังคมที่ขึ้นอยู่ เนื่องจากมีน้ำจืดแช่ขังอยู่ตลอดทั้งปี ทำให้ขาดออกซิเจน ซากพืช และอินทรียวัตถุจึงสลายตัวได้ช้ามาก ทำให้เกิดเป็นพรุ (peat bog) ขึ้น พืชส่วนใหญ่จึงมีวิวัฒนาการในส่วนของอวัยวะให้มีโครงสร้างพิเศษ เพื่อดำรงชีพอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ได้ เช่นโคนต้นมีพูพอน (buttress) มีรากหายใจ (pnuematophore) โผล่เหนือชั้นดินอินทรีย์ที่มีน้ำขัง ประเทศไทยมีป่าพรุที่สมบูรณ์เหลืออยู่เพียงแห่งเดียวคือ ป่าพรุโต๊ะแดง จังหวัดนราธิวาส พรรณไม้ที่สำคัญในป่าพรุได้แก่ หว้าหิน (Eugenia tumida ) สะเตียว (Ganua motleyana ) ชะเมาน้ำ (Eugenia grandis ) ช้างไห้ (Neesia altissima ) เสม็ดแดงใบใหญ่ (Eugenia chlorantha ) กล้วยไม้ (Polyalthia curtisii ) ขี้หนอนพรุ (Campnosperma coriaceum )
ป่าชายเลน (mangrove forest)
จะพบทั่วไปตามพื้นที่ชายฝั่งทะเล บริเวณปากน้ำ อ่าว ทะเลสาบ และเกาะซึ่งเป็นบริเวณที่น้ำทะเลท่วม น้ำขึ้นน้ำลง เป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดการแบ่งเขตการขึ้นอยู่ของพรรณไม้ หรือสิ่งมีชีวิต ในป่าชายเลน คลื่นและกระแสน้ำ มีบทบาทต่อการแพร่กระจายของพันธุ์ไม้ สภาพแวดล้อมที่รุนแรง ทำให้พรรณไม้ในป่าชายเลนต้องมีการปรับตัว และเปลี่ยนแปลงลักษณะบางประการของระบบราก ลำต้น ใบ ดอก และผลทั้งลักษณะภายนอกและภายในให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ที่พรรณไม้แต่ละชนิดขึ้นอยู่ เช่นการมีรากค้ำจุนในไม้โกงกาง รากหายใจของไม้แสม และลำพู เป็นต้น
ไบโอมของเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปาน เขตอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์
ป่าดิบชื้น
เป็นไบโอมในเขตร้อนและชุ่มชื้น มีฝนตกรายปีโดยเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 2,000 มม.ต่อปี และมีช่วงฤดูแล้งที่สั้น พบที่ระดับความสูงจากน้ำทะเลไม่เกิน 600 เมตร ในประเทศไทยพบได้ทุกส่วนของประเทศ แต่มีลักษณะที่แตกต่างกันไปบ้างตามสภาพดินฟ้าอากาศและภูมิประเทศที่ขึ้นอยู่ สภาพโดยทั่วไปเป็นป่ารกทึบ ไม้ชั้นบนส่วนใหญ่เป็นไม้ใหญ่วงศ์ไม้ยาง ไม้ชั้นกลาง และไม้ชั้นล่างสามารถขึ้นใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ได้ พื้นป่าประกอบด้วย ไม้พุ่ม ไม้ล้มลุก ระกำ หวาย และไผ่ รวมทั้งพืชตระกูลปาล์มที่มักพบอยู่เสมอ บนไม้ใหญ่จะมีพรรณไม้พวกเกาะอาศัย (epiphyte) เช่น เฟิร์น มอส ขึ้นอยู่ทั่วไป และพบเถาวัลย์เป็นจำนวนมาก พรรณไม้ที่สำคัญในป่าดิบชื้นได้แก่ ยางนา (Dipterocarpus alatus ) ยางแดง (D.costulus ) ยางยูง (D. gradiflorus ) ตะเคียนทอง (Hopea odorata ) ไข่เขียว (Parashorea stellat ) เป็นต้น
ณิชารัศม์ พรธัญประสิทธิ์ 4/2 เลขที่ 15