Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การบาดเจ็บของกระดูกสันหลัง(Axial spine injury) (การดูแล (การพยาบาลผู้ป่วยก…
การบาดเจ็บของกระดูกสันหลัง(Axial spine injury)
พยาธิสภาพ
เกิดภายใน 5 นาทีหลังบาดเจ็บโดยจะมีการเปลี่ยนแปลงตรงกลางของพื้นที่สีเทาให้หลั่ง catecholamine ออกมาจากเซลล์ประสาท ทำให้มีเลือดออกมากขึ้น และขยายบริเวณกว้างขึ้นเรื่อยๆ ภายใน 2 ชั่วโมง ส่วนบริเวณพื้นที่สีขาวจะมีการบวม เกิดการขาดเลือดและออกซิเจน ภายใน 4 ชั่วโมงเซลล์ที่อยู่รอบๆ บริเวณที่ได้รับบาดเจ็บจะมีเลือดไปเลี้ยงลดลง
ขณะเดียวกันจะมีการหลั่งสารสื่อประสาทออกมาจากเซลล์ ทำให้เซลล์ไขสันหลังถูกทำลายมากขึ้น
ในภาพตัดขวางของไขสันหลังร้อยละ 40 ถูกทำลายภายใน 4 ชั่วโมงหลังได้รับบาดเจ็บ และภายใน 24 ชั่วโมงหลังได้รับบาดเจ็บไขสันหลัง จะถูกทำลายไปประมาณร้อยละ 70 โดยไขสันหลังส่วนที่ถูกทำลายนี้เป็นสาเหตุทำให้ผู้ป่วยมีความพิการเกิดขึ้น
ในระยะยาว เกิด Gliosisและอาจเกิดช่องกลวงตรงกลางไขสันหลังเรียกว่า Syringomyelia ถ้ามีพยาธิสภาพเหนือกระดูกสันหลังระดับเอวข้อที่1(L1)จะเกิดการทำลายของไขสันหลัง ส่วนพยาธิสภาพต่ำกว่ากระดูกสันหลังระดับเอวข้อที่1(L1)จะเกิดการทำลายของรากประสาทCauda equina ซึ่งไขสันหลังที่เสียหายทำให้เกิดความผิดปกติของ ระบบประสาทสั่งการ(Motor system),ระบบประสาทรับความรู้สึก(Sensory system),ระบบประสาทอัตโนมัติ(Autonomic system), รีเฟล็กผิดปกติ(Reflex)
กลไกการบาดเจ็บไขสันหลัง
1.Flexion injury เกิดจากการใช้ความเร็วสูงและหยุดกระทันหัน เช่น ขับรถมาด้วยความเร็วสูงแล้วชนกำแพงและรถหยุดกระทันหัน ทำให้ศีรษะเคลื่อนไปข้างหน้าชนกระจกหน้ารถมีการฉีกขาดของ posterior longitudinal ligament นอกจากนี้ไขสันหลังอาจมีเลือดออกหรือบวม พบบ่อยบริเวณกระดูกคอชิ้นที่ 5-6 ( C5,C6)
2.Hyperextension injury เกิดจากหลายสาเหตุ พบบ่อยในผู้สูงอายุเนื่องจากการเสื่อมของกระดูก เช่น ตกบันได หกล้มคางกระแทกพื้นมีการฉีกขาดของ anteriot longitudinal ligament มักพบที่กระดูกคอชิ้นที่ 4-5 (C4,C5) ทำให้มีปัญหาในการหายใจ
3.Flexion with rotation injury เกิดจากการหมุนหรือบิดของศีรษะและคออย่างรุนแรง ทำให้ posterior longitudina ligament ฉีกขาด ข้อต่อกระดูกสันหลัง (facer joint) หลุด กระดูกแตกยุบและอาจมี articular process หัก
Vertical Compression (Axial loading) บาดเจ็บจากไขสันหลังถูกกด เกิดจากการได้รับบาดเจ็บในแนวดิ่ง เช่น อุบัติเหตุขณะดำน้ำ ตกจากที่สูงโดยเท้าหรือก้นกระแทกพื้นทำให้กระดูกสันหลังยุบลง
Penetrating injury สาเหตุอาจเกิดจากถูกแทง ถูกยิง ทำให้เกิดการบาดเจ็บทั้งทางตรงและทางอ้อมโดย ไขสันหลังบวมและขาดเลือดและเนื้อเยื่อไขสันหลังตายจากการขาดเลือด
การดูแล
การป้องกันภาวะแทรกซ้อน
ข้อยึดติด (Contracture, Deformity) ทำกายภาพบำบัด ให้มีการเคลื่อนไหวของข้อต่อแขน ขา (Passive Exercise), ใส่ splint
ป้องกันการติดเชื้อ โดยเฉพาะระบบปัสสาวะ ผู้ป่วยอาจมี neurogenic bladder ที่ดีที่สุดคือ การสวนปัสสาวะด้วยวิธีสะอาดทุก 6-8ชั่วโมง หากจำเป็นต้องใส่ Foley’s catheter คาไว้แล้วควรเปลี่ยนทุก 7-10
แผลกดทับ : ผู้ป่วยขยับตัวไม่ได้ นอนนานมีโอกาสเกิดแผลกดทับได้ง่าย ควรป้องกันโดยการพลิกตัวทุก 2 ชั่วโมง รักษาผิวหนังให้แห้ง, ป้องกันข้อยึดติด
ดูแลเรื่องโภชนาการ ป้องกันภาวะทุโภชนาการ (Malnutrition)
ลิ่มเลือดอุดตัน ในเส้นเลือดดำ (Deep vein thrombosis) ป้องกันโดยPassive Exercise รักษาด้วยยาละลายลิ่มเลือด
รักษาอาการทางจิต – ซึมเศร้า Psychotherapy,anxiolytic,antidepressant
การพยาบาล
ติดตามค่า hemoglobin และ hematocrit ถ้าต่ำแสดงว่าเสียเลือดจากภาวะอื่น หรืออาจมีภาวะ hypovolemic shock ร่วมด้วย ต้องให้เลือดทดแทน
บันทึกจำนวนปัสสาวะเพื่อประเมินภาวะขาดน้ำ และบ่งบอกการทำหน้าที่ของไต
ระวังอย่าให้สารน้ำมากเพราะจะทำให้ไขสันหลังบวม (cord edema) และปอดบวมน้ำจากภาวะน้ำเกิน (pulmonary edema)
บันทึกสัญญาณชีพ monitor EKG ในรายที่ค่าความดันโลหิตต่ำอาจให้ยาช่วยเพิ่มความดันโลหิต เช่น Dopamine, Dobutamine หยดทางหลอดเลือดดำและถ้าชีพจรน้อยกว่า 50 ครั้ง/นาที แพทย์จะให้ atropine 0.6 มิลลิกรัมฉีดทางหลอดเลือดดำ
การให้สารน้ำอย่างเพียงพอ เพื่อให้ systolic blood pressure มากกว่า 90 mmHg ปกติให้ในอัตราไหลของสารน้ำประมาณ 50-100 ซีซี/ชั่วโมง
การดูแลระยะเฉียบพลัน
Circulation การให้สารน้ำเริ่มต้นเป็น 0.9% NSS ในผู้ป่วยที่มีภาวะ shock ให้พิจารณาการให้ยา Vasopressin เพื่อให้ค่า mean arterial pressure (MAP ≥ 85 mmHg) เนื่องจากสามารถเพิ่มการได้รับเลือดไปเลี้ยงไขสันหลังได้อย่างเพียงพออย่างน้อย 7 วันแรก (Wuermser, et al., 2007) และไม่ควร load ในผู้ป่วยที่มีภาวะ spinal shock เนื่องจากจะทำให้เกิดภาวะ pulmonary edema ได้
การให้ยา
การให้ยาในกลุ่ม H2 antagonist และ Proton Pump Inhibitor (PPI) เพื่อป้องกันภาวะเลือดออกในระบบทางเดินอาหาร
ยาบรรเทาอาการปวดในกลุ่ม Acetaminophen, Acetaminophen with codeine, Tramadol หรือ Opiate derivative เป็นต้น ขึ้นกับความเหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย
Breathing หลังจากอุบัติเหตุประเมินลักษณะการหายใจ oxygen saturation, force vital capacity ทุกราย เป็นต้น
การดูแลระบบทางเดินหายใจ
ประเมิน Force Vital Capacity ผู้ป่วยทุกราย ถ้า FVC น้อยกว่า 15 ml/kg ให้ผู้ป่วยทำ IPPB (Intermittent Positive Pressure Breathing) 15 นาที ทุก 2-4 ชั่วโมง ถ้า FVC มากกว่า 15 ml/kg ให้ผู้ป่วยฝึกทำ SMI (Sustained Maximum Inspiration) โดยใช้เครื่อง Incentive Spirometry ควรมีการเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนของระบบทางเดินหายใจในผู้ป่วยบาดเจ็บไขสันหลังระดับคอ
ดูแลการได้รับออกซิเจนในช่วง 72 ชั่วโมงแรก ในผู้ป่วยบาดเจ็บไขสันหลังระดับคอทุกรายเพื่อป้องกันภาวะ Hypoxemia เนื่องจากการมี hypoventilation (
การดูแลระบบทางเดินอาหาร โดยการงดน้ำและอาหารก่อนจนกว่าจะเริ่มจิบน้ำ เมื่อมีการเคลื่อนไหวของลำไส้ เริ่มเป็นอาหารอ่อน อาหารธรรมดา ถัดมาตามลำดับ
การดูแลระบบทางเดินปัสสาวะ ซึ่งผู้ป่วยบาดเจ็บไขสันหลังจะเกิดภาวะ neurogenic bladder มีการคั่งค้างของปัสสาวะในกระเพาะปัสสาวะ ควรเริ่มการคาสายสวนปัสสาวะตั้งแต่รับผู้ป่วยเพื่อเป็นการป้องกันภาวะ over distension และ uretero reflux จนกระทั่งเข้าสู่การฝึกหัดขับถ่ายปัสสาวะ
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับความอบอุ่นเพียงพอ เช่น ห่มผ้าห่มหนาๆ หรือใช้เครื่องทำความอุ่น เป็นต้น
จัดหาเตียงที่เหมาะสม หลังจากดูแลและช่วยเหลือภาวะที่คุกคามชีวิตเรียบร้อยแล้ว ควรเลือกเตียงที่ออกแบบมาเพื่อสามารถรองรับน้ำหนักของผู้ป่วยและกระดูกสันหลัง ลดอาการแทรกซ้อนในขณะที่ถูกจำกัดการเคลื่อนไหว ดังนั้นการจัดการคือการจัดเตียงที่มีความแข็งแรงเหมาะกับลักษณะของการบาดเจ็บและสามารถรองรับน้ำหนักตัวผู้ป่วยได้ และที่นอนก็ไม่ควรแข็งหรือนิ่มมากเกินไป เพราะจะต้องรักษา body alignment ให้มากที่สุด
การพยาบาลผู้ป่วยก่อนและหลังการผ่าตัด
การป้องกันภาวะแทรกซ้อนโดยทั่วไปควรพลิกตัวผู้ป่วยและจัดท่านอนให้เหมาะสม ในช่วง 4 ถึง 8 ชั่วโมงแรกหลังการผ่าตัด มีการจัดให้ผู้ป่วยนอนหงายเพื่อเพิ่มแรงกดบริเวณแผลผ่าตัดด้านหลังของร่างร่างกายและลดการไหลของเลือดออกจากแผลผ่าตัด สำหรับผู้ป่วยผู้ป่วย tetraplegia ดูแลทางเดินหายใจให้โล่งและป้องกันการสำลักของเสมหะในปอด ดูแลเพื่อป้องกันการเกิดลิ่มเลือด ในผู้ป่วยมีความเสี่ยงของเลือดออกบริเวณแผลผ่าตัดมากเกิน ควรพิจารณารักษาด้วย anticoagulant
การบรรเทาความเจ็บปวดโดยการประเมินความเจ็บปวดและความวิตกกังวลบ่อยครั้งเมื่อพลิกตัวหรือเคลื่อนไหวผู้ป่วยบนเตียงการให้ยาบรรเทาอาการปวดทางหลอดเลือดดำ และยาลดอาการเกร็ง จะสามารถบรรเทาความเจ็บปวดได้อย่างพอเพียง
เปรียบเทียบ neurological deficit ของ sensory และ motor function ก่อนผ่าตัดและหลังผ่าตัด ถ้าผู้ป่วยมีการเคลื่อนไหวหรือการรับรู้ความรู้สึกลดลงจากเดิม มักเกิดจากไขสันหลังบวมหรือมีเลือดออกบริเวณผ่าตัด
ในระยะพักฟื้นเนื่องจากปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายมีความเกี่ยวข้องกับระบบประสาทส่วนกลางและประสาทอัตโนมัติ ปฏิกิริยาการตอบสนองดังกล่าวจึงมีความเด่นชัดมากกว่าผู้ป่วยปกติทั่วไป เมื่อมีปัญหาทางการหายใจและการไหลเวียนเลือดร่วมด้วย จึงมีโอกาสสูงที่ผู้ป่วยบาดเจ็บไขสันหลังจะฟื้นสภาพหลังผ่าตัดได้ช้ากว่าผู้ป่วยทั่วไป อาจเคลื่อนไหวหรือลุกจากเตียงใน 2 ถึง 3 วันหรือ 1 สัปดาห์หลังการผ่าตัด ร่วมกับการใส่ orthosis เพื่อพยุงเนื้อเยื่อและเอ็นที่กระดูกสันหลังตลออดจนสามารถลดความเจ็บปวดและสามารถป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากความไม่มั่นคงของกระดูกสันหลังได้
การดูแลหลังผ่าตัด ประกอบด้วย การประเมินภาวะสูญเสียเลือด ปฏิกิริยาของร่างกายต่อยาสลบ ยาที่ใช้รักษา การให้สารน้ำและเลือดทดแทน การประเมินสัญญาณชีพ การประเมินการสูญเสียเลือดจากค่า hematocrit ในผู้ป่วยผ่าตัดกระดูกสันหลังระดับคอควรประเมินการหายใจอย่างใกล้ชิด ซึ่งอาจเกิดภาวะหายใจลำบากเนื่องจากคอบวมบริเวณผ่าตัด
การเตรียมตัวการก่อนการผ่าตัด ได้แก่ การให้ข้อมูลทั่วไปก่อนการผ่าตัด การเตรียมผู้ป่วยเพื่อการผ่าตัด สิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งคือแพทย์ควรแจ้งให้ผู้ป่วยและครอบครัวทราบถึงความคาดหวังหลังการผ่าตัด การอธิบายถึงการผ่าตัดสามารถแก้ไขซ่อมแซมของกระดูกที่หักได้ แต่ไม่สามารถแก้ไขการบาดเจ็บไขสันหลังได้
7.บาดเจ็บตั้งแต่ กระดูกคอชิ้นที่ 4 (C4) ขึ้นไปจะหายใจเองไม่ได้เลย เนื่องจาก phrenic nerve และ intercostal muscle เสียหน้าที่ จำเป็นต้องใส่ท่อช่วยหายใจและใส่เครื่องช่วยหายใจไว้ สำหรับในระยะยาวอาจมีความจำเป็นต้องเจาะคอ และอาจใส่เครื่องกระตุ้น phrenic nerve เพื่อให้กระบังลมทำงาน (Diaphragmatic pacing) การใส่เครื่องกระตุ้นชนิดนี้ช่วยให้ผู้ป่วยหายใจเองได้ชั่วคราวโดยไม่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ช่วยให้ผู้ป่วยพูดได้สะดวกขึ้นและเพิ่มโอกาสในการเข้าสังคมของผู้ป่วยมากขึ้น โดยไม่ต้องพึ่งพาเครื่องช่วยหายใจ (ventilator dependent)
บาดเจ็บตั้งแต่กระดูกคอชิ้นที่ 5 ถึงกระดูกอกชิ้นที่ 6 (C5-T6) ขึ้นไป แม้ว่ากระบังลมสามารถทำงานได้ตามปกติ แต่กล้ามเนื้อทรวงอกที่ช่วยในการหายใจ (intercostal muscle) อ่อนแรงทำให้หายใจไม่มีประสิทธิภาพดังนั้นจึงต้องให้ออกซิเจนให้เพียงพอ
การประเมินหลอดเลือด จากการสูญเสียความตึงตัวของหลอดเลือด อันเป็นผลมาจากการบาดเจ็บไขสันหลัง ทำให้หลอดเลือดทั่วร่างกายมีการเปลี่ยนแปลง โดยเทคนิคการประเมินหลอดเลือดประกอบด้วย การตรวจบริเวณปลายมือ ปลายเท้า ทั้งการดูและการคลำบริเวณแขน ขา เพื่อเปรียบเทียบชีพจรทั้ง 2 ข้าง ร่วมกับสังเกตอาการบวมบริเวณมือ แขน โดยการตรวจผิวหนังบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บ ตรวจปลายมือ ปลายเท้า สังเกตอาการ บวม แดง ร้อนวัดสัญญาณชีพ สังเกตภาวะความดันโลหิตสูง ภาวะหัวใจเต้นช้า (bradycadia) หรือหัวใจเต้นช้าไม่เป็นจังหวะ (bradydysrhythmias) ประเมินอุณหภูมิร่างกายทุกวันหลังได้รับบาดเจ็บจนถึง 8 – 12 สัปดาห์
การป้องกันผู้ป่วยจากอากาศเย็น การรักษาอุณหภูมิสิ่งแวดล้อมให้คงที่ ที่ 21 องศาเซลเซียส จะช่วยให้อุณหภูมิร่างกายของผู้ป่วย tetraplegia อยู่ประมาณ 35 องศาเซลเซียส เกิดประโยชน์ในผู้ป่วยบาดเจ็บไขสันหลังในระยะเฉียบพลัน เนื่องจากขณะอุณหภูมิต่ำร่างกายมีความจำเป็นในการใช้ออกซิเจนน้อยลง จึงลดการใช้พลังงานในร่างกายได้ ทั้งนี้ไม่ควรให้อุณหภูมิร่างกายของผู้ป่วยต่ำกว่า 35 องศาเซลเซียส เนื่องจากอาจทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
ประเมินเสียง bowel sound เพื่อประเมินการทำงานของสำไส้ bowel sound ปกติจะได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวของสำไส้อย่างน้อย 5 ครั้งต่อนาที ส่วนในภาวะท้องอืดจะไม่มีเสียงการเคลื่อนไหวของลำไส้ (bowel sound absent)
ลด ขจัด แรงกดทับบริเวณผิวที่เกิดรอยแดงโดยใช้อุปกรณ์ เช่น หมอน เจล โฟม ที่นอนลมเปลี่ยนท่านอนผู้ป่วยทุก 2 ชั่วโมงจัดให้นอนตะแคงกึ่งหงาย 30 องศา ถ้าต้องนอนศีรษะสูงเกิน 30 องศา ต้องให้ผู้ป่วยงอเข่า และมีหมอดันปลายเท้าไว้ การยกผู้ป่วยให้ใช้ผ้ายกผู้ป่วยแทนการดึง หรือลากผู้ป่วย
การประเมินสภาพ
การตรวจร่างกาย ใช้หลัก ABCDE เป็นแนวปฏิบัติในการประเมินผู้บาดเจ็บ
การประเมินภาวะบวม หรือการมีเลือดออก ตรงตำแหน่งที่ได้รับบาดเจ็บ หรือมีภาวะเลือดออกจากส่วนอื่น เช่น ช่องท้อง ช่องอก หรือจากกระดูกหักส่วนอื่น ร่วมกับการวินิจฉัยภาวะ hypovolemic shock
การประเมินระบบประสาทสมองโดยใช้คะแนนของกลาสโกว์ (Glasgow’s Coma Score) และประวัติการหมดสติชั่วครู่ในที่เกิดเหตุ
การประเมินการหายใจ รวมทั้งการทำทางเดินหายใจให้โล่ง
การประเมินระบบประสาท ซึ่งมีความสำคัญมากในการวินิจฉัย การพยากรณ์โรค และการดูแลรักษา
การตรวจทางรังสีวิทยา สามารถบอกถึงความเสียหายของไขสันหลัง กระดูกสันหลัง และเนื้อเยื่อรอบๆ บริเวณที่ได้รับบาดเจ็บได้ ซึ่งการตรวจทางรังสีวิทยา
Computed tomography scan (CT) มีประโยชน์ในการวินิจฉัยกระดูกหักหรือเคลื่อนโดยเฉพาะบริเวณ craniocervical junction หรือ cervicothoracic junction
Magnetic resonance imagine (MRI) การถ่ายภาพโดยใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า มีข้อดีกว่าการถ่าย X-ray และ CT scan ที่การมองเห็นการได้รับบาดเจ็บของเนื้อเยื่อรอบๆ กระดูก สันหลัง ligament หมอนรองกระดูกสันหลัง (disc) และไขสันหลัง
การตรวจภาพถ่ายรังสีวิทยา (X-ray)
การซักประวัติ ผู้บาดเจ็บทุกรายให้สงสัยไว้ก่อนว่ามีบาดเจ็บของกระดูกคอจึงต้องป้องกันโดยใส่ Philadelphia collar ไว้ทุกรายจนกว่าจะวินิจฉัยได้ว่าไม่มีบาดเจ็บแล้วจึงถอดออก นอกจากนี้หลังอุบัติเหตุถ้าผู้ป่วยมีประวัติต่อไปนี้ให้สงสัยว่าน่าจะมีบาดเจ็บไขสันหลัง
อาการและอาการแสดง
การแบ่งระดับความรุนแรง
ระดับ A (complete) หมายถึง อัมพาตอย่างสมบูรณ์ไม่มีการเคลื่อนไหวและไม่มีความรู้สึก
ระดับ B (incomplete) หมายถึง มีความรู้สึกในระดับ S4-5 แต่เคลื่อนไหวไม่ได้เลย ระดับ C (incomplete) หมายถึง ความแข็งแรงของกล้ามเนื้ออยู่ต่ำกว่าระดับ 3
ระดับ E (normal) หมายถึง การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อและการรับความรู้สึกปกติ
ระดับ D (incomplete) หมายถึง ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อตั้งแต่ระดับ 3 ขึ้นไป
อาการสำคัญทางคลินิก
กลุ่มอาการสูญเสียหน้าที่ของไขสันหลัง (Neurological deficit)ดังกล่าวในตอนต้น
Neurogenic shock ภาวะ Shockจากไขสันหลังบาดเจ็บ ความดันต่ำ แต่ชีพจรเต้นช้า ซึ่งแตกต่างจากภาวะ 4.)Shock จากการสูญเสียน้ำในร่างกาย (Hypovolemic shock) ชีพจรเต้นเร็ว
ปวด เกิดได้จากไขสันหลัง-เส้นประสาทถูกกดทับ, กระดูกสันหลังหัก
Spinal deformity กระดูกหักผิดรูป,Spinal instability
หลักการรักษา
หากไม่พบกระดูกสันหลังมีการแตกหักหรือเคลื่อน แต่พบความผิดปกติของระบบประสาท (neurological deficit) จะได้รับการสวมปลอกคอชนิดแข็ง ทั้ง Philadelphia Collar หรือ hard collar
การรักษากระดูกสันหลังหัก จะอาศัยอาการแสดงทางระบบประสาท (neurological status) และดูความมั่นคงของกระดูกที่หัก (fracture stability) เพื่อมาประกอบการพิจารณาเพื่อตัดสินใจในการเลือกวิธีการรักษา
การรักษาโดยการผ่าตัด (operative treatment) ในกลุ่มผู้ป่วยที่มีกระดูกหักไปกดทับไขสันหลัง หรือเส้นประสาท
กระดูกสันหลังระดับคอที่มีการแตกหัก (burst fracture) หรือมีการเคลื่อน (fracture dislocation) ให้ได้รับการถ่วงดึงน้ำหนักที่ศีรษะโดยการใส่ Skull tong traction และจัดกระดูกให้อยู่ในแนวที่ดี
การใช้เครื่องพยุงกระดูกสันหลังภายนอก (orthosis) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการจำกัดการเคลื่อนไหวและเป็นการควบคุมแนวของกระดูกสันหลัง จนบริเวณที่กระดูกหักติดเข้าที่
SOMI brace (Sterno Occipito Mandible Immobilization brace) ใช้สำหรับผู้ป่วยที่มีการแตกหักหรือเคลื่อนของกระดูกสันหลังระดับคอ
Collar ใช้สำหรับผู้ป่วยที่ไม่มีการแตกหักหรือเคลื่อนของกระดูกสันหลังระดับคอ