Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
โรคไตวายเรื่อรังระยะสุดท้าย(end stage renal disease; ESRD) (สาเหตุ…
โรคไตวายเรื่อรังระยะสุดท้าย(end stage renal disease; ESRD)
สาเหตุ
ความผิดปกติของหลอดเลือดไตฝอย
ความผิดปกติที่เกิดจากการอุกตันใระบบทางเดินปัสสาวะ
การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ
ความผิดปกติของไตแต่กำเนิดหรือทางเดินปัสสาวะ
โรคหลอดเลือดเกิดจากหลอดเลือดไปเลี้ยงไตตีบแคบ / ความดันโลหิตสูง
ความผิดปกติของเมทาบอลิซึม
กรวยไตและหน่วยไตอักเสบเรื้อรัง
สาเหตุอื่นๆ เช่น ยาแก้ปวด สารเคมี
เกี่ยวกับพันธุกรรม (อาทิ โรคไตเป็นถุงน้ า ซึ่งเป็นภาวะผิดปกติที่กลุ่มซิสต์เริ่มพัฒนาขึ้นในไต)
โรคเบาหวาน
การรักษา
การบำบัดทดแทนไต (renal replacement therapy; RRT)
การล้างไตทางหน้าท้อง (peritoneal dialysis)
การใส่น้ำยาล้างไตเข้าไปในช่องท้องผ่านทางสายยางที่ฝังไว้ในช่องท้องผู้ป่วยเพื่อกรองของเสียในร่างกายออก วิธีนี้จำเป็นต้องทำทุกวัน
การผ่าตัดปลูกถ่ายไต (kidney transplantation)
การผ่าตัดเอาไตของผู้อื่นมาใส่ไว้ในร่างกายผู้ป่วยเพื่อทดแทนไตเดิมที่ไม่สามารถทำงานได้แล้ว โดยไตใหม่นั้นอาจได้มาจากผู้บริจาคอวัยวะที่มีภาวะสมองตาย หรือผู้บริจาคที่ยังมีชีวิตอยู่และมีไตเข้ากับผู้ป่วยได้
การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (hemodialysis)
การนำของเสียและน้ำออกจากเลือด โดยเลือดจะออกจากตัวผู้ป่วยแล้วผ่านตัวกรองเพื่อกำจัดของเสียใช้เวลาประมาณ 3-4 ชม. และต้องทำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง
การให้คำแนะนำผู้ป่วยภายหลังการใส่สายสวนเพื่อฟอกเลือด
ดูแลความสะอาดบริเวณที่ใส่สายสวนให้แห้งและสะอาดอยู่เสมอ เปลี่ยนผ้าปิดแผลเมื่อเปียกชื้น
ดูแลรักษาความสะอาดของร่างกาย ล้างมือด้วยสบู่ทุกครั้งที่จะมีการสัมผัสกับสาย หรือเปลี่ยนผ้าปิดแผล เพื่อลดอัตราเสี่ยงต่อการติดเชื้
ระมัดระวังบริเวณที่ใส่สายสวนไม่ให้เปียกชื้นในขณะอาบน้ำ งดลงแช่น้ำ หรือเข้าเซาว์น่าเพราะความเปียกซื้นบริเวณที่ใส่สายเป็นสาเหตุของการติดเชื้อ
ใช้2% chlorhexidine in alcohol 70%, chorhexidine aqueous 71,75-77 หรือ 10% iodine ทำความสะอาดรอบๆบริเวณที่ใส่สาย ก่อนปิดผ้าปิดแผลปิดแผลด้วย transparent dressing
ดูแลสายสวนไม่ให้ ดึงรั้ง หัก พับ งอเพราะอาจท าให้ประสิทธิภาพของการทำงานเสียไป
งดแกะเกาบริเวณรอบนอกแผล เพราะอาจเป็นสาเหตุของการติดเชื้อได้
ผู้ป่วยที่ใส่สายสวนบริเวณคอหลีกเลี่ยงการใส่เสื้อชนิดสวมศีรษะ แนะน าสวมเสื้อผ่าเปิดด้านหน้า และติดกระดุมหน้าเพื่อป้องกันการเกี่ยว และดึงรั้งสาย
ในผู้ป่วยที่ใส่สายสวนบริเวณขาหนีบระมัดระวังเรื่องความสะอาดเป็นพิเศษในช่วงที่มีการขับถ่ายปัสสาวะ และ อุจจาระเพื่อป้องกันการติดเชื้อจากการสัมผัสสิ่งสกปรก
การควบคุมอาหาร
อาหารที่ได้รับควรให้พลังงานประมาณ 30-45 กิโลแคลอรี่/กก./วัน โดยร้อยละ 60 ของพลังงานควรมาจากอาหารประเภทแป้งและน้ าตาล อีกร้อยละ 30 มาจากไขมัน
การควบคุมอิเล็กโทรไลต์
ที่สำคัญคือภาวะโปแตสเซียมในเลือดสูง ซึ่งเกิดขึ้นได้บ่อย เป็นอันตรายต่อผู้ป่วย ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
การควบคุมความดันโลหิต
เป็นปัจจัยสำคัญ ที่ท าให้ไตเสื่อมสมรรถภาพลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้นการ
ควบคุมความดันโลหิตจึงนับเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการช่วยชะลอการเสื่อมของไต
การควบคุมสมดุลน้ า
มักมีภาวะน้ าเกิน และมักต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลด้วยภาวะหัวใจล้มเหลวน้ำท่วมปอด
การควบคุมสมดุลกรด - ด่าง
รรักษาตามอาการ เช่น ในภาวะซีด ผู้ป่วยควรได้รับสารอาหารที่ช่วยในการ
สร้างเสริมเม็ดเลือดแดง เช่น ธาตุเหล็ก กรดโฟลิค
การป้องกันและรักษาตามอาการต่างๆ
ในภาวะซีด ผู้ป่วยควรได้รับสารอาหารที่ช่วยในการ
สร้างเสริมเม็ดเลือดแดง เช่น ธาตุเหล็ก กรดโฟลิค
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
ชะลอความเสื่อมของไต ป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น สามารถดำรงชีวิตได้อย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดีเช่น งดการสูบบุหรี่ งดการดื่มสุรา และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ลดน้ำหนัก ออกก าลังกาย รวมทั้งปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร
การระมัดระวังปัญหาจากเมตาบอลิซึมของยา (drug metabolism)
ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังมักได้รับยาหลายชนิดร่วมกันเพื่อรักษาโรค และประคับประคองอาการต่างๆ
ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาที่มีผลต่อการท างานของไต
การดูแล
การพยาบาล
การเตรียมผู้ป่วยก่อนผ่าตัด
ซักประวัติ และให้ค าแนะน าการงดยาต้านการแข็งตัวของเลือด และยาต้านเกล็ดเลือดตามคำสั่งการรักษาของแพทย์
ควบคุมภาวะโรคประจ าตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โดยการรับประทานยาให้สม่ำเสมอในระหว่างรอจนถึงวันผ่าตัด
วางแผนการฟอกเลือดก่อนเข้านอนโรงพยาบาล โดยแนะนำผู้ป่วยให้ฟอกเลือดก่อนผ่าตัด1 วัน
ผู้ป่วยที่นัดผ่าตัดแบบผู้ป่วยนอก แนะนำ งดน้ำและอาหารอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงก่อนผ่าตัดเพื่อป้องกันการส าลักอาหารหรือน้ำย่อยลงปอดขณะผ่าตัด
เจาะเลือด เอ็กซเรย์ปอด และ ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เพื่อประเมินความพร้อมของผู้ป่วยก่อนผ่าตัด
การเตรียมภาวะด้านจิตใจเป็นสิ่งหนึ่งที่ควรค านึงถึง20,24 เนื่องจากผู้ป่วยมักมีความวิตกกังวลสูงจากหลายสาเหตุ เช่น จากความเจ็บป่วยเรื้อรังที่เป็นอยู่ ความกลัว และกังวลในการท าผ่าตัด
การพยาบาลระยะเตรียมก่อนผ่าตัด
ประเมินความรู้ ความเข้าใจของผู้ป่วย เกี่ยวกับโรคและสาเหตุการเจ็บป่วย รวมถึงความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการผ่าตัด การปฎิบัติตนก่อนและหลังผ่าตัด
ให้ข้อมูลเกี่ยวกับแผนการรักษาของแพทย์ เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยและญาติมีส่วนร่วมในการวางแผนการรักษา
ประเมินระดับความวิตกกังวลในผู้ป่วย และญาติโดยการสอบถามด้วยคำถามปลายเปิด และสังเกตพฤติกรรมผู้ป่วยขณะตอบคำถาม เช่น รู้สึกอย่างไรกับการผ่าตัด
ประเมินความสูญเสียบทบาทในสังคมของผู้ป่วยด้วยค าถามปลายเปิดถึงการยอมรับความเจ็บป่วยและปรับตัวตามแผนการรักษา ผลกระทบต่อผู้ป่วย การพึ่งพาบุคลอื่น
อธิบายให้ทราบถึงขั้นตอนต่างๆในการเตรียมผู้ป่วย รวมถึงการให้คำแนะนำในการเตรียมตัวก่อนผ่าตัด เพื่อผู้ป่วยเข้าใจ รับทราบและพร้อมให้ความร่วมมือ
สร้างสัมพันธภาพที่ดีกับผู้ป่วย โดยการใช้คำพูดสุภาพ อ่อนโยน เริ่มต้นจากการแนะนำตนเองเพื่อให้ผู้ป่วยเกิดความไว้วางใจ
ปัญหาการพยาบาลก่อนผ่าตัด
ผู้ป่วยมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับการผ่าตัด เนื่องจากขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคและการปฎิบัติตน ก่อน และหลังผ่าตัด
การพยาบาลผู้ป่วยหลังผ่าตัด
ให้คำแนะนำ ทบทวนการดูแลแผลผ่าตัดและบริเวณใส่สายสวนเพื่อป้องกันการติดเชื้อ เช่น ดูแลความสะอาดบริเวณที่ใส่สายสวนให้แห้งและสะอาดอยู่เสมอ ดูแลรอบสายสายให้แห้งอยู่เสมอ
ประเมินความผิดปกติที่แสดงถึงอาการติดเชื้อบริเวณรูเปิดของสายสวนระยะยาวเพื่อฟอก
เลือด ได้แก่อาการปวด บวมแดง ร้อน มีหนองไหลจากบริเวณรูเปิดของสายสวนระยะยาว
เพื่อฟอกเลือด
1.ประเมินสัญญาญชีพ โดยเฉพาะอุณหภูมิร่างกาย หากมีอุณหภูมิสูงกว่า 37.5 o C ควรซักประวัติ ประเมินร่างกาย และรายงานแพทย์ทราบ
แนะนำให้ผู้ป่วยสังเกตอาการผิดปกติบริเวณที่ใส่สายสวนระยะยาวฯ และบริเวณแผลผ่าตัดอย่างสม่ำเสมอ ควรรีบมาพบแพทย์ทันที เมื่อมีอาการแสดงของอาการติดเชื้อ ได้แก่ มีไข้สูง หนาวสั่น
อธิบายให้ผู้ป่วยและญาติเข้าใจและเห็นความส าคัญของการใช้หลักวิธีการปฏิบัติเพื่อลด
ความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ (aseptic technique) ในการดูแลสายสวนระยะยาว
ให้คำแนะนำส่งเสริมความรู้ด้านโภชนาการ แนะนำผู้ป่วยในการรับประทานอาหารที่เหมาะสมตามสภาวะของโรค และเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
ปัญหาการพยาบาลหลังผ่าตัด
ผู้ป่วยมีโอกาสขาดความรู้ในการปฎิบัติตนภายหลังผ่าตัด เมื่อกลับไปอยู่
บ้า
ผู้ป่วยอาจมีความรู้สึกไร้พลังอำนาจ สูญเสียภาพลักษณ์และคุณค่า
ในตนเอง
ผู้ป่วยมีโอกาสพลัดตกหกล้ม ขณะรอตรวจติดตามผลหลังผ่าตัด
เนื่องจากภาวะความดันโลหิตต่ำภายหลังฟอกเลือด
ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการติดเชื้อบริเวณที่ใส่สายสวนระยะยาวหลังผ่าตัดเมื่อ
กลับไปอยู่บ้าน
ผู้ป่วยมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหลอดเลือดดำอุดตันในชั้นลึก
(deep vein thrombosis) จากการใส่สายสวนระยะยาวบริเวณขาหนีบ
ผู้ป่วยมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนเนื่องจากขาดความรู้ในการดูแลตนเอง
เมื่อเป็นโรคไตเรื้อรัง
การดูแลสุขภาพ
โภชนาการสำหรับผู้ป่วยโรคไต
ชะลอการเสื่อมของไต
ยืดเวลาที่จะต้องล้างไตให้ช้าลง
ลดภาระการทำงานของไตในการขับถ่ายของเสีย
ทำให้ไตส่วนที่เหลืออยู่ไม่ต้องทำงานหนักเกินตัว
ลดการคั่งของของเสียที่เกิดจากการรับประทานอาหาร
ป้องกันภาวะขาดสารอาหาร
ช่วยให้มีสุขภาพดีและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
การออกกำลังกาย
ช่วยให้หัวใจแข็งแรงและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ
เพิ่มระดับของ hematocrit และ hemoglobin ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในการพาออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย
ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
ลดความดันโลหิต
ลดปริมาณคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์
ลดความตึงเครียด
ยาและสมุนไพรที่ควรระวังในผู้ป่วยโรคไต
ยาน้ำแก้ไอ ยาน้ำแก้ปวดท้อง
ยาระบายหรือยาลดกรดที่มีอะลูมิเนียมและแมกนีเซียม
ยาที่มีส่วนประกอบของโซเดียม ยาที่ต้องละลายน้ำ หรือวิตามินอื่นๆ
ยาระบายหรือยาสวนทวาร
ยาแก้ปวดลดอักเสบ
อาหารเสริมต่างๆ มักมีส่วนประกอบของโพแทสเซียมและแมกนีเซียมซึ่งทำให้เกิดการสะสมในร่างกายได้
สมุนไพร เช่น สารสกัดใบแปะก๊วย (Ginko biloba) โสม (ginseng) กระเทียม (garlic) ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด
การสูบบุหรี่กับโรคไตเรื้อรัง
ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้นรวมทั้งอัตราการเต้นของหัวใจ
ลดอัตราการไหลเวียนของโลหิตในไต
ทำให้เส้นเลือดในไตตีบ
ทำลายเส้นเลือดแดงเล็กๆ
ทำให้เส้นเลือดในไตอุดตัน
การควบคุมอาหารสำหรับผู้ป่วยไตวาย
อาหารสำหรับผู้ป่วยไตวายระยะที่ 1 – 3 ต้องจำกัดโปรตีน ไขมัน น้ำตาล และเกลือ
อาหารสำหรับผู้ป่วยไตวายระยะที่ 4 – 5 ต้องจำกัดและควบคุมอาหารมากขึ้น ต้องระมัดระวังเรื่องฟอสเฟต และ โพแทสเซียม
อาหารสำหรับผู้ป่วยไตวาย หลังจากที่ได้รับการปลูกถ่ายไต จะต้องควบคุมอาหารเหมือนกับผู้ป่วยไตวายระยะที่ 1 – 3 ซึ่งจะต้องพิจารณาไตใหม่ด้วยว่า สามารถทำงานได้ดีหรือไม่
อาหารสำหรับผู้ป่วยไตวายหลังจากล้างไตหรือทำการฟอกเลือด ผู้ป่วยอาจจะรับประทานอาหารโปรด ตามใจผู้ป่วยได้บ้างแต่ต้องไม่มาก เพราะจำเป็นจะต้องควบคุมอาหารต่อไปเรื่อย ๆ ถึงแม้ว่าจะทำการล้างไตแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถทำให้การทำงานของไตกลับมาเป็นเช่นเดิมได้ทั้งหมด
อาหารสำหรับผู้ป่วยไตวายจากการการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม สามารถทำได้ในช่วงเวลา 8 – 12 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ สามารถกำจัดของเสียได้เพียง 6 – 7 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
อาหารสำหรับผู้ป่วยไตวายจากการล้างไตทางด้านหน้าท้อง ผู้ป่วยสามารถทำได้เองที่บ้าน สามารถทำได้ทุกวัน วิธีนี้จะสามารถกำจัดของเสียได้ 10 – 20 เปอร์เซ็นต์ของไตปกติ
การป้องกัน
ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ควรออกกำลังกายให้ได้อย่างน้อยสัปดาห์ละ 150 นาที โดยออกกำลังกายให้หนักปานกลาง เพื่อลดปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดภาวะไตวาย ได้แก่ ความดันโลหิต ระดับน้ำตาลในเลือด เป็นต้น
ลดปริมาณการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงอาหารรสเค็ม โดยไม่ควรรับประทานเกลือเกินวันละ 6 กรัม
ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม
หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
หลีกเลี่ยงการใช้ยาต้านการอักเสบอย่าง เช่น ibuprofen ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน
ผู้ที่ป่วยด้วยโรคประจำตัวอย่าง โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง หรือโรคไขมันในเลือด ควรรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง เพื่อควบคุมไม่ให้อาการรุนแรงขึ้นและทำให้การทำงานของไตหนักขึ้น หรือทำให้ไตเสื่อมสภาพลง
ความหมาย
ภาวะที่ไตสูญเสียความสามารถในการกรองของเสียออกจากเลือด จนไม่สามารถขับของเสียออกมาจากร่างกายผ่านทางปัสสาวะได้ ทำให้มีของเสียตกค้างในร่างกาย อีกทั้งยังทำให้ระดับน้ำ เกลือแร่ และแร่ธาตุต่าง ๆ ในร่างกายเกิดความไม่สมดุล หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที จะทำให้ระบบการทำงานภายในร่างกายเกิดความผิดปกติ และเป็นอันตรายแก่ชีวิต
อาการและอาการแสดง
บวม บวมรอบตา บวมที่หน้า บวมเท้า
มีอาการปวดบั้นเอวหรือบริเวณสีข้าง (ไม่ต่ำกว่าเอวหรือไม่กลางหลัง)
ปัสสาวะมีเลือดปน มีสีเลือด และมีฟองมาก
ตรวจพบความดันโลหิตสูง
ปริมาณปัสสาวะผิดปกติ เช่น ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะกลางคืน หรือ ปัสสาวะน้อยลง แสบขัดเวลาปัสสาวะ หรือ มีเศษนิ่วปน
ซีด เพลีย ขาดสมาธิในการทำงาน
มีอาการเนื่องมาจากของเสียคั่ง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร คันตามตัว สะอึก ปลายมือเท้าชา เป็นตะคริวบ่อยๆ
ผิวแห้ง คัน
การประเมิน
ปริมาณโปรตีนในปัสสาวะ (Proteinuria)
การตรวจทางรังสี เช่น CT หรือ Ultrasound
อัตราการกรองของเหลวของ Glomeruli
แบ่งเป็น 5 ระยะ
ระยะที่ 1
ไตเริ่มเสื่อม (มีโปรตีนในปัสสาวะ) ค่า GFR ปกติ 90 หรือมากกว่า
ระยะที่ 2
ไตเสื่อม ค่า GFR ลดลงเล็กน้อย 60-89
ระยะที่ 3
ค่า GFR ลดลงปานกลาง 30-59
ระยะที่ 4
ค่า GFR ลดลงมาก 15-29
ระยะที่ 5
ไตวายน้อยกว่า 15
การตรวจชิ้นเนื้อไต (Kidney Biopsy)
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
Creatinine ยิ่งน้อยยิ่งดี ไม่เกิน 1.5 สูง ระยะอันตราย 4-5 ขึ้นไป
eGFR ยิ่งมากยิ่งดี มากกว่า 90 ดี ระยะอันตรายต่ำกวา 15-29
BUN ยิ่งน้อยยิ่งดี 10-20 mg/dl (ถ้าน้อยไปอาจมีปัญหาที่ตับ)