Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
รูปแบบการบูรณาการ หลักสูตร (โรส และ ออสเซน ได้อธิบายรูปแบบการดำเนินง…
รูปแบบการบูรณาการ
หลักสูตร
การบูรณาการหลักสูตร
เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาหลักสูตร ซึ่งผู้วางแผนหลักสูตรจำเป็นเกี่ยวข้องกับการรวมเนื้อหา สาระสาขาวิชาต่างๆเข้าด้วยกัน โดยขึ้นอยู่กับปรัชญาและธรรมชาติของความรู้และของผู้เรียน และวัตถุประสงค์ของการศึกษา
การบูรณาการหลักสูตร พิจารณาตาม
เนื้อหาที่นำมาบูรณาการ ได้ 3 รูปแบบ
2.การบูรณาการโดยหัวเรื่องและโครงการ เป็นการบูรณาการความรู้ ทักษะ และประสบการณ์จากเนื้อหาวิชาต่างๆเข้าด้วยกัน และใช้โครงการเป็นพื้นฐานภายใต้หัวเรื่องที่อิสระโดยการ
สำรวจข้อเท็จจริง
3.การบูรณาการบนพื้นฐานของความสนใจและสิ่งที่เกี่ยวข้องกับผู้เรียน เป็นการพัฒนาหลักสูตรและหน่วยการเรียนบนพื้นฐานของแนวทางการแก้ปัญหาในชีวิตจริง
1.การบูรณาการเนื้อหาวิชาอย่างกว้างๆ เป็นการเอาเนื้อหาวิชา 2 วิชาหรือมากกว่าที่สัมพันธ์กันเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างเนื้อหาวิชาใหม่ที่กว้างๆ และจะเน้นเนื้อหาวิชาเป็นศูนย์กลาง
โรส และ ออสเซน ได้อธิบายรูปแบบการดำเนินงานในการบูรณาการหลักสูตรสำหรับโรงเรียนมัธยมศึกษา เป็น 5 รูปแบบ
4.รูปแบบหลักสูตรแกนคู่แบบบูรณาการ มีวิชาแกน2วิชา โดยครู2คนสอนนักเรียน1กลุ่ม
2.รูปแบบการประสานงาน โดยครูสองคนขึ้นไป ต่างคนต่างสอนวิชาเดียวแต่ทำงานร่วมกันเพื่อได้ซึ่งทักษะและ เนื้อหา
5.รูปแบบหลักสูตรแกนแบบสมบูรณ์ในตัว ครู1คนสอนหลายวิชา และสอนทักษะทุกอย่างในหัวเรื่อเดียวกัน
1.การบูรณาการแบบวิชาเดี่ยว โดยนำเนื้อหาวิชาเดียวที่มีในชีวิตจริงและต้องการให้นักเรียนได้ทักษะใน บริบทที่มีความหมาย
3.รูปแบบหลักสูตรแกนแบบบูรณาการ มีวิชาแกน โดยครู 1คนสอนหลายวิชา
ลักษณะของหลักสูตรบูรณาการที่ดี โดยยูเนสโก และ ธำรงบัวศรี ได้เสนอไว้ 5 ลักษณะดังนี้
2.การบูรณาการระหว่างพัฒนาการด้านความรู้และจิตใจ ถ้าผู้เรียน ได้รับประสบการณ์ที่สร้างความพอใจแล้วการเรียนรู้ก็จะมีประ สิทธิภาพด้วย
3.การบูรณาการระหว่างความรู้และการกระทำ เพราะหลักสูตรทั้งสองส่วนก็เกี่ยวข้องกับเนื้อหาเดียวกัน
4.การบูรณาการระหว่างสิ่งที่เรียนในห้องเรียนกับสิ่งที่เป็น จริงในชีวิตของผู้เรียน เพราะ ผลที่เกิดแก่คุณภาพชีวิตของผู้เรียนเป็นตัวบอกว่าหลักสูตรนั้นดีจริง
1.การบูรณาการระหว่างความรู้และกระบวนการเรียนรู้ ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของหลักสูตร โดยเปลี่ยนมาเป็นหลักสูตรที่เน้นกระบวนการ คือ ผู้เรียนต้องรู้ว่าจะหาความรู้ได้อย่างไรและด้วยกระบวน การอย่างไร
5.การบูรณาการระหว่างเนื้อหาวิชาต่างๆ เพื่อเชื่อมโยงเนื้อหาใหม่และเก่าที่สัมพันธ์กันเข้าด้วยกัน เพื่อได้รับความรู้และเจตคติที่ต้องการ
ความหมายโดยรวม
หลักสูตร คือ ประสบการณ์ต่างๆของการเรียนรู้ โดยวางแผนไว้ล่วงหน้าเป็นขั้นตอน กำหนดไว้ในเอกสารเพื่อเป็นแม่บทในการจัดการเรียนการสอนตามระดับชั้น
ความหมายมุมแคบ หลักสูตร คือ ผลผลิตของการเรียนรู้ที่ต้องการให้เกิดกับ นักเรียน
ความหมายมุมกว้าง หลักสูตร คือ ประสบการณ์ชีวิตทั้งหมดของผู้เรียน
การบูรณาการ คือ การรวมเนื้อหาหรือทักษะจาก 2 วิชาหรือมากกว่า ภายใต้จุดประสงค์เดียวกันเข้าด้วยกัน เป็นหลักสูตรใหม่
หลักสูตรบูรณาการ คือ หลักสูตรที่มีการนำเอาเนื้อหาจากวิชาต่างๆ 2 วิชาขึ้นไป โดยเน้นเป็นองค์รวมของเนื้อหาที่สัมพันธ์กันเพื่อสอดคล้องกับสภาะจริง จัดทำเป็นหลักสูตรใหม่
รูปแบบของการบูรณาการหลักสูตร
ฟราซีและรูด์นิทสกี และจาคอบส์ มี 5 รูปแบบ
1.แบบวิทยาการพื้นฐาน คือ การสอนแบบที่ครูคนเดียวสอนเรื่องราวต่างๆที่เกี่ยวโยงกับวิชาอื่นๆกับนักเรียนโดยอาศัยหนังสือและแหล่งข้อมูลต่างๆ
5.แบบบูรณาการ คือ เป็นการบูรณาการทั้งความคิดรวบยอด ทักษะ ความสัมพันธ์ทางจิต เจตคติและความเชื่อ และเนื้อหา จึงมีวิธีการสอนหลากหลาย เลือกเรียนได้ตามความถนัดและสนใจ
2.แบบคู่ขนาน คือ การสอน2วิชาที่มีหัวเรื่องเดียวกัน แต่พบปัญหาระดับของการบูรณาการจะไม่ลงลึกมากและไม่ใช่ความสัมพันธ์หลากวิชา
3.แบบพหุวิทยาการ คือ เป็นการเชื่อมโยงหลักสูตรที่หลากวิชาที่ต่างกันที่มีหัวเรื่องเดียวกัน ครูสอนต่างกันแต่วางแผนร่วมกัน เหมาะกันโรงเรียนขนาดกลางที่จะได้ประสบการณ์การสอนเป็นทีม ข้อดีทำให้ครูได้วามรู้มากในวิชาอื่นที่เชื่อมโยงกันจากการอ่านหนังสือ
4.แบบสหวิทยาการ คือ เป็นการสอนที่ครูแต่ละคนต่างสอนวิชาของตน แต่มีการบูรณาเฉพาะที่มีระบุไว้ เป็นระดับไม่ลึก โดยให้เวลาแล้วมอบหมายงานให้ทำกันเอง
พิจารณาตามระดับของการบูรณาการ มี 2 รูปแบบ
1.ตามแนวดิ่ง เป็นการบูรณาการเนื้อหาของการศึกษาในระดับต่างๆเข้าด้วยกัน ซึ่งใช้ในการจัดการศึกษานอกระบบ เป็นการศึกษาตลอดชีวิต
2.ตามแนวราบ เป็นการบูรณาการความรู้ ทักษะ และทัศนคติ เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ได้ โดยจะนำเนื้อหาสาขาวิชาที่ใกล้เคียงกันเข้าด้วยกัน
ที่น่าสนใจและสามารถนำไปใช้ในการ
จัดการเรียนรู้ได้จริง แบ่งได้ 3 กลุ่ม มี 10 รูปแบบ
กลุ่มที่1 การบูรณาการในสาขาวิชาเดียวกัน
2.รูปแบบเชื่อมโยง
(กล้องโอเปร่า) มีการบูรณาการในวิชาของตนเอง ครูสอนแต่ละวิชาแยกกัน แต่เชื่อมโยงเนื้อหาวิชาเข้าหากัน จากหัวข้อและความคิดรวบยอดไปยังเรื่องต่อไป ข้อดีคือครูมั่นใจที่จะเชื่อมโยงเนื้อหาในวิชาของตน และนักเรียนเห็นความสัมพันธ์ของความคิดรวบยอดชัดเจน
3.รูปแบบที่ซ้อนกัน
(กล้องสามมิติ) เน้นผสมทักษะด้านการคิด ด้านสังคม และด้านเนื้อหา โดยครูจะต้องคาดเดาว่าเนื้อหาใดที่นักเรียนควรรู้จากการซักถามหรือ สังเกต เพื่อกำหนดหัวข้อและวัตถุประสงค์การเรียนรู้ อาจทำให้สับสนเพราะมีหลายเป้าหมาย แต่ข้อดีคือกำหนดกิจกรรมง่ายขึ้นจาก 3 ทักษะ
1.รูปแบบที่แยกออกจากกันเป็นส่วน
(กล้องPeriscope) เป็นรูปแบบดั้งเดิม มองหลักสูตรเป็นวิชาเดี่ยวๆในลักษณะเฉพาะตัวของมันเอง ผู้เรียนจะเรียนจบในแต่ละวิชาเลย ไม่ต้องเรียนซ้ำอีก ข้อดีคือความลึกและกว้างในแต่ละวิชามีมาก ครูเลือกเนื้อหาสำคัญมาสอนได้ เหมาะกับโรงเรียนที่มีนักเรียนมาก
กลุ่มที่2 การบูรณาการระหว่างต่างสาขาวิชา
4.รูปแบบการร้อยด้าย
(แว่นขยาย) เป็นการใช้ทักษะด้านต่างๆเป็นตัวกำหนดการขยายความคิดเพื่อเชื่อมเนื้อหาเข้ากับหลักสูตรแม่บท จากนั้นกำหนดเนื้อหาในรายวิชาต่างๆที่จะนำมาบูรณาการ เข้าด้วยกัน
5.รูปแบบการบูรณาการ
(กล้อง Kaleidoscope) เปลี่ยนแง่มุมไปเรื่อยๆมีความหลากหลาย เป็นการบูรณาการข้ามวิชาหลักๆ4 วิชา โดยใช้หลักการซ้อนทับของความคิดรวบยอด ทักษะ เจตคติ ใช้ในโรงเรียนมัธยม
3.รูปแบบการโยงใย
(กล้องดูดาว) เป็นการมองภาพกว้างของหนึ่งหัวเรื่อง แต่จะดูสิ่งที่โยงใยในหัวเรื่องนั้นๆด้วย และต้องเลือกจากที่สนใจมากที่สุดและทันสมัย ซึ่งใช้เวลามาก
2.รูปแบบการมีส่วนร่วม
(กล้องส่องทางไกลสองเลนส์) นำวิชาง่ายๆสองวิชามารวมกัน โดยยึดความคิดรวบยอด ทักษะ เจตคติเป็นตัวเชื่อม และต้องสอนไปพร้อมๆกันโดยยึดลำดับเนื้อหาว่าควรนำมาสอนก่อน
1.รูปแบบการเรียงลำดับ
(แว่นสายตา) ยึดหน่วยการเรียนรู้ที่มีเนื้อหาใกล้เคียงกัน ครูต้องจัดสอนเนื้อหาให้สอดคล้องและคู่ขนานไปกับรายวิชาที่นำมาบูรณาการเข้าด้วยกันเป็นหลัก เหมาะกับครูที่สอนหลายรายวิชา และต้องสอนช่วงเวลาเดียวกันถ้าเนื้อหาเหมือนกัน ส่วนที่ต่างกันก็ต่างคนต่างสอน
กลุ่มที่3 การบูรณาการภายในตัวผู้เรียน
และการประสานกันระหว่างผู้เรียน
1.รูปแบบที่ขยายใหญ่ขึ้น
(กล้องจุลทรรศน์) ยึดความสนใจของผู้เรียนในการบูรณาการข้ามวิชา โดยผ่านผู้เชี่ยวชาญ เ็นการเรียนรู้ด้วยตนเอง
2.รูปแบบเครือข่าย
(ปริซึม) เป็นการสร้างสรรค์มิติอย่างหลากหลาย ซึ่งผู้เรียนเองเท่านั้นที่จะรู้ความละเอียด เป็นการยึดความสนใจผู้เรียนเป็นหลักในการเชื่อมโยงวิชา หนึ่งไปอีกวิชาหนึ่ง โดยผ่านผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิชานั้นๆ