Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

Antenatal Care : ANC การฝากครรภ์ 69E37988-B5EB-455B-868C-8D3975E6586D (…

- - - - 4.แนะนำให้รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ หลีกเลี่ยงภาวะทุพโภชนาการ
      - 5.หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่ต้องใช้แรง เช่น การยกของหนัก การเดินทางไกล เลี่ยงการนั่งรถมอเตอร์ไซต์
      - 1.ซักประวัติและประเมินสภาพของการตั้งครรภ์ที่ผ่านมาว่ามีภาวะแทรกซ้อนขณะตั้งครรภ์หรือไม่
      - 6.แนะนำให้มาฝากครรภ์ทุกสัปดาห์ในช่วงอายุครรภ์ 20-24 สัปดาห์เพื่อช่วยป้องกันภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด
      - 2.ให้ความรู้เรื่องการเจ็บครรภ์คลอด และแนะนำให้สังเกตอาการผิดปกติที่ควรรีบมาพบแพทย์ เช่น มีเลือดสดออกทางช่องคลอด มีตกขาวที่มีลักษณะกลิ่นเหม็นหรือมีตกขาวปนเลือด มีอาการคัน มีไข้และหนาวสั่น ปวดศีรษะ ปัสสาวะแสบขัดหรือบ่อยเกินไป
      - 3.แนะนำให้หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ ดื่มแอลกฮอล์ และการใช้สารเสพติด
  - - - 3.แนะนำให้นอนตะแคงด้านใดด้านหนึ่งหรือสลับกัน เพื่อลดการกดทับของมดลูกต่อท่อไต
      - 4.แนะนำการทำความสะอาดอวัยวะเพศทุกครั้งเมื่อปัสสาวะเสร็จ หลังถ่ายอุจจาระควรเช็ดทำความสะอาดจากด้านหน้าไปด้านหลัง เพื่อป้องกันเชื้อแบคทีเรียในอุจจาระเข้าสู่ท่อไต
      - 2.แนะนำดื่มน้ำวันละ 1500-3000 ml. หรือจิบน้ำตลอดวัน
      - 5.แนะนำหลีกเลี่ยงการใช้สบู่ที่มีค่าความเป็นกรดหรือด่างสูง รวมถึงน้ำยาทำความสะอาดจุดซ่อนเร้น และไม่ใช้แป้งทาบริเวณอวัยวะเพศ
      - 1.แนะนำให้ถ่ายปัสสาวะทุกครั้งที่ปวดถ่าย ไม่ควรกลั้นปัสสาวะ และพยายามปัสสาวะให้สุด
      - 6.แนะนำเปลี่ยนกางเกงในทุกวัน และควรเลือกใช้กางเกงในที่ทำจากผ้าฝ้าย และไม่สวมกางเกงหรือกระโปรงที่รัดแน่น
      - 7.แนะนำไม่แช่น้ำในอ่างอาบน้ำนานเกิน 30 นาที หรือมากกว่าวันละ 2 ครั้ง
  - - - มีเลือดสดออกจากช่องคลอด
      - มีไข้ หนาวสั่น
      - มีตกขาวที่มีกลิ่นเหม็น หรือมีตกขาวปนเลือด
      - ปัสสาวะแสบขัด
      - ปวดศีรษะ ตาพร่ามัว จุกแน่นยอดอก
    - - ผลดีต่อทารก
        
        ได้รับสารอาหารครบถ้วน เหมาะแก่ความต้องการของทารก
        
        ได้รับภูมิคุ้มกันโรค
        
        ได้รับความรัก ความอบอุ่น สัมพันธภาพระหว่างแม่และทารก
      - ผลดีต่อมารดา
        
        ทำให้มดลูกหดรัดตัวดี เข้าอู่เร็ว ขับน้ำคาวปลาได้ดี
        
        ทำให้น้ำหนักลดในระยะหลังคลอด
        
        ป้องกันการตกเลือดหลังคลอด
        
        ช่วยการคุมกำเนิด
        
        ลดความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน โรคหัวใจขาดเลือด ภาวะกระดูกพรุน และโรคมะเร็งรังไข่
    - - เพิ่มอาหารกลุ่มเนื้อสัตว์ และกลุ่มนม เพื่อให้ได้รับสารอาหารโปรตีน ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างเนื้อเยื่อต่างๆ รวมทั้งการเจริญเติบโตของสมอง
      - การเพิ่มปริมาณอาหารในมารดาที่มีน้ำหนักน้อย ค่อยๆเพิ่มทีละน้อย
      - เพิ่มปริมาณอาหารประเภทที่ให้พลังงาน เพื่อให้มีน้ำหนักขึ้น ได้แก่ ข้าวเจ้า ข้าวเหนียว ก๋วยเตี๋ยว ขนมปัง เผือก มันเป็นต้น
      - เพิ่มปริมาณและจำนวนครั้งของอาหารระหว่างมื้อ
      - งดกินขนม-เครื่องดื่มที่มีโภชนาการต่ำ เช่น ขนมขบเคี้ยว ขนม-เครื่องดื่มที่มีรสหวานจัด เป็นต้น
      - รับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
    - - แนะนำให้สังเกตลูกดิ้นทุกวันและจดบันทึก
      - เวลาใน 1 ชั่วโมง ควรดิ้นอย่างน้อย 3 ครั้ง
  - - - 3.แนะนำให้รับประทานอาหารที่สุก สะอาด ไม่รับประทานอาหารที่มีไขมันสูง หลีกเลี่ยงอาหารที่เป็นเชื้อรา เช่น ถั่ว พริกป่น
      - 4.แนะนำให้พักผ่อนให้เพียงพอ และหาเวลานอนในช่วงเวลากลางวัน
      - 2.แนะนำให้ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีสารคาเฟอีน เครื่องดื่มที่มีแอลกฮอล์
      - 5.หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่มีผลต่อตับ หากจำเป็นต้องใช้ควรปรึกษาแพทย์
      - 1.อธิบายสาเหตุ การเกิดของโรค การติดต่อ การป้องกัน การแพร่กระจายเชื้อ และการรักษาพยาบาล
      - 6.แนะนำให้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และไม่หักโหมเกินไป
      - 7.ป้องกันการแพร่กระจายเชื้อด้วยการแยกของใช้ส่วนตัว
      - 8.แนะนำให้สามีมาตรวจคัดกรองโรคด้วย
  - - - ขาดวิตามิน บี 12
      - ขาดธาตุเหล็ก
      - ขาดโฟเลต
    - - คลอดก่อนกำหนด
      - น้ำหนักตัวทารกแรกเกิดต่ำกว่าเกณฑ์
      - ภาวะโลหิตจางในเด็ก
      - พัฒนาการของเด็กล่าช้า
      - เกิดความผิดปกติของระบบประสาทและสมอง
    - - 1.แนะนำอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง เช่นอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ปลา ตับ ม้าม ไข่ ถั่ว ขนมปังผักที่มีธาตุเหล็กมาก เช่น ยอดแค ขึ้นฉ่าย ผักขม และใบแมงลัก
      - 2.หลีกเลี่ยงอาหารที่มีสารไปขัดขวางการดูดซึมเหล็กได้แก่ ไข่แดง นม และผักรสฝาดต่าง ๆ เช่น กระถิน ใบเมียง ชา กาแฟ ถั่วเหลือง ถั่ว ลิสง ข้าวโพด งา สารเหล่านี้สามารถจับกับเหล็กได้ดี และไม่สลายได้ง่าย ธาตุเหล็กจึงดูดซึมได้น้อยลงดังนั้น จึงไม่ควรดื่มนม ชา กาแฟ พร้อมอาหารหรือยาเม็ดเสริมธาตุเหล็ก
      - 3.แนะนำอาหารที่ส่งเสริมการดูดซึมธาตุเหล็กได้แก่ โปรตีนจากเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อปลา อาหารที่มีไขมันสูงทั้งชนิดอิ่มตัวและไม่อิ่มตัว และวิตามินซีหรืออาหารที่มีวิตามินซีสูงจะทำให้ดูดซึมเหล็กได้มากขึ้น
  - - - 1.กินอาหารมื้อหลัก3 มื้อได้แก่อาหารมื้อเช้า มื้อกลางวันและมื้อเย็น และมีอาหารว่างซึ่งเป็นอาหารระหว่างมื้อ ได้แก่อาหารว่างเช้าและบ่าย
        
        อาหารที่ต้องรับประทานในแต่ละมื้อ
        
        เนื้อสัตว์ต่าง ๆ ได้รับจากเนื้อ หมู ปลา กุ้ง หอย ไก่ หรือ เป็ด วันละประมาณ 120-180 กรัม หรือประมาณ ½ -3/4 ถ้วยตวงหรือมื้อละ 3 ช้อนโต๊ะ วันละ 3 มื้อ
        
        นม ควรดื่มนมไขมันต่ำวันละ 1-2แก้ว
        
        ไข่ ควรกินไข่วันละ 1 ฟองเป็นประจำ
        
        ผลไม้ ควรกินทุกวัน วันละ 2-4 ครัง
        
        ผักชนิดต่างๆ ควรกินผักใบเขียวทุกวันในปริมาณไม่จำกัด
        
        ถั่ว เมล็ดแห้งต่างๆ เช่น ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ถั่วแดง เพื่อเพิ่มโปตีน
        
        ไขมันหรือน้ำมัน เป็นอาหารที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย ควรบริโภคระดับปานกลาง
        
        น้ำ ควรดื่มวันละ 2,000 ซีซี
      - 2.เพิ่ม อาหารกลุ่มเนื้อสัตว์และกลุ่มนมหากบริโภคไม่เพียงพอ เพื่่อให้ได้สารอาหารโปรตีนซึ่งจำเป็นต่อการสร้างเนื้อเยื่อต่างๆ รวมทั้ง การเจริญเติบโตของเซลล์สมอง
      - 3.เพิ่ม ปริมาณอาหารประเภทที่ให้พลังงานเพื่อให้มีน้ำหนักเพิ่มขึ้น ได้แก่ อาหารประเภทข้าว-แป้งเช่น ข้าวเจ้า ข้าวเหนียว ก๋วยเตี๊ย ว ขนมจีน ขนมปัง เผือก
        มัน เป็นต้น และอาหารไขมัน เช่น นำ้มัน โดยการปรุงอาหารด้วยวิธีทอดหรือผัด และกะทิอาจทำเป็นกับข้าวหรือขนมหวาน แบบไทยๆ เช่น
        กล้วยบวชชี เป็นต้น
      - 4.เพิ่ม ปริมาณและจำนวนครั้ง ของอาหารระหว่างมื้อได้แก่ อาหารว่างเช้า บ่ายและค่ำ เพื่อเพิ่มพลังงานและสารอาหาร
      - 5.การเพิ่มปริมาณอาหาร ต้องค่อย ๆ เพิ่ม ทีละน้อย
        จนได้ตามปริมาณที่แนะนำ
      - 6.งดกินขนม-เครื่องดื่มที่มีคุณค่าทางโภชนาการต่ำ เช่น
        ขนมขบเคี้ยว ขนม-เครื่องดื่มที่มีรสหวานจัด เป็นต้น
- - - - Hemoglobin (Hb) 9.8 :warning:
      - Hematocrit (Hct) 29.2 :warning:
    - - Negative
    - - Negative
    - - Positive :warning:
    - - Rh positive
      - A
    - - Positive :warning:
  - - - Fundal grip : การคลำหาระดับยอดมดลูก
        Umbillical grip : คลำหาหลังของเด็กว่าอยู่ทางด้านไหนของลำตัวแม่
        Pawlik grip : การตรวจหาส่วนนำของเด็ก
        Bilateral inguinal grip : ตรวจหาระดับส่วนนำมี engagement หรือไม่
        
        ระดับมดลูกอยู่ระดับสะดือ
        ขนาดมดลูก 3/3 = Umbilical วัดได้ 20 CMS
        คลำไม่พบส่วนนำ FHS = 150 bpm
- - - - สตรที่ตั้งครรภ์และมีภาวะตับอักเสบบีเรื้อรัง คือตรวจเลือดพบไวรัสตับอักเสบบีในกระแสเลือด มีความสําคัญคือ
        มีโอกาสถ่ายทอดไปยังลูกที่เกิดออกมาได้ และทําให้ลูกเป็นโรคตับอักเสบบีเรื้อรังในภายหลังได้มาก ถ้าไม่มีการป้องกัน
    - - Anti HBc : เป็นภูมิคุ้มกันที่เกิดจากการตอบสนองของร่างกายต่อไวรัสตับอักเสบบี บอกถึงการเคยติดเชื้อไวรัสบี
        
        Anti HBc-IgM : พบในตับอักเสบเฉียบพลัน
        
        Anti HBc-IgG : พบได้ทั้งในตับอักเสบเฉียบพลัน, เรื้อรัง หรือแม้แต่ผู้ที่ตรวจไม่พบเชื้อแล้ว
      - Anti HBe : จะพบหลังจากตรวจไม่พบ HBeAg ในเลือดแล้ว
      - HBeAg : บอกถึง ความสามารถในการแบ่งตัวของไวรัสตับอักเสบบี (Viral replication)
      - Anti HBs : จะพบหลังจากตรวจไม่พบ HBsAg ในเลือดแล้ว หรือ เป็นภูมิคุ้มกันต่อการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
      - HBsAg : บอกถึง การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
    - - ขณะตั้งครรภ์พบได้น้อย
      - ระหว่างคลอด ทารกได้รับเลือด มูกน้ำคร่ำ
      - ทางน้ำนม โดยเฉพาะมารดาที่มีหัวนมแตก
      - ในระยะไตรมาสที่ 1 และไตรมาสที่ 2 มีโอกาสติดเชื้อร้อยละ 10
        ในระยะไตรมาสที่ 3 มีโอกาสติดเชื้อร้อยละ 75
    - - การซักประวัติ
      - Lab
        
        HBsAg : positive :star:
        
        HBeAg : positive :star:
      - อาการและอาการแสดง
        
        คลื่นไส้ อาเจียน
        
        อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร
        
        ไข้ ตาตัวเหลือง
    - - Size ไม่สัมพันธ์กับ Date
      - HBsAg : positive , HBeAg : positive
      - น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นระหว่างตั้งครรภ์น้อยกว่า 11.5 kg.
      - เคยคลอดบุตรน้ำหนัก < 2,500 gm.
      - มีประวัติคลอดก่อนกำหนด
      - ตั้งครรภ์มากกว่าหรือเท่ากับ 3 ครั้ง
      - อายุ มากกว่าหรือเท่ากับ 35 ปี
      - DBP มากกว่าหรือเท่ากับ 90 mmHg.
      - มีไข้ ตาตัวเหลือง
    - - ทารก
        
        Dow's syndrome
        
        เสี่ยงติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีจากมารดา
        
        ทารกโตช้าในครรภ์ Intrauterine Growth Restriction
        
        Death fetus in utero
      - มารดา
        
        Preeclampsia
        
        preterm of labor
    - - มารดา
        
        ระยะตั้งครรภ์
        
        2) มีโอกาสเกิดเบาหวานขณะตั้งครรภ์และความดันโลหิตสูง
        
        3) มีโอกาสมีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอดก่อนคลอด
        
        1) มีอาการของการติดเชื้อไวรัส เช่น มีไข้ ตาตัวเหลือง ตรวจพบตับม้ามโต
        
        ระยะคลอด
        
        1) เจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด
        
        2) แท้งบุตร
      - ทารก
        
        ระยะคลอด
        
        1) ตายคลอดจากการติดเชื้อขณะคลอด
        
        2) การคลอดก่อนกำหนด
        
        ระยะหลังคลอด
        
        1) APGAR score ต่ำ
        
        2) ตับอักเสบเฉียบพลันแรกคลอด
        
        3) อาจมีเลือดออกในสมอง
        
        4) ติดเชื้อหลังคลอดจากการสัมผัสสิ่งคัดหลั่งของมารดา
        
        5) เป็นพาหะของโรคโดยไม่มีอาการ
        
        ระยะตั้งครรภ์
        
        1) ติดเชื้อจากมารดาผ่านทางรก
        
        2) ติดเชื้อจากการแตกของเส้นเลือดจากรก
        
        3) ตายในครรภ์
    - - เน้นการเลี้ยงดูทารกด้วยนมมารดา เนื่องจากมีศึกษาว่า
        ทารกที่คลอดจากมารดาที่เป็นพาหะ ไม่ว่าจะกินนมแม่หรือนมผสมเมื่อให้วัคซีนแล้วโอกาสติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีจากมารดาไม่ต่างกัน
        จึงไม่มีข้อห้ามในการกินนมแม่
      - เน้นการดูแลการได้รับวัคซีนให้ครบตั้งแต่แรกคลอดรวมถึงการตรวจซ้ำหลังได้รับวัคซีนครบเพื่อดูการตอบสนองต่อวัคซีน
    - - มารดา
        
        ระยะคลอด
        
        1) คลอดปกติหรือผ่าคลอดหลีกเลี้ยงการคลอดโดยสูติศาสตร์หัตถการ เช่น Vacuumหรือ Forceps
        
        ระยะหลังคลอด
        
        2) นัดตรวจ ALT หลังคลอด 6 -8 Wks. หากพบว่ามี
        
        ระดับ ALT อยู่ในระดับปกติ
        
        แนะนำให้รับการตรวจรักษาต่อเนื่องโดยให้อายุรแพทย์เพื่อลดการเกิดภาวะตับแข็งและมะเร็งตับในอนาคต
        
        ควรให้คำแนะนำถึงความเสี่ยงจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
        
        ระดับ ALT สูงกว่าค่า Upper normal limit
        
        ควรระมัดระวังว่าการหยุดยาส่งผลต่อปริมาณไวรัสและการทำงานของเซลล์ตับ
        
        แพทย์ผู้ดูแลควรส่งต่อผู้ป่วยเพื่อให้อายุรแพทย์ดูแลโดยเร็ว
        
        1) ให้ DTF 300 mg รับประทานวันละ 1 ครั้ง จนครบ 4 Wks.หลังคลอด จึงหยุดยา
        
        3) ส่งเสริมการเลี้ยงดูบุตรด้วยนมมารดาอย่างเดียว 6 เดือนและได้นานถึง 2 ปี
        แนะนำการเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดาได้อย่างถูกต้องและการประเมินประสิทธิภาพของการให้นมบุตรที่จะช่วยป้องกันการเจ็บหัวนม
        หัวนมแตกมากจนเลือดไหลที่เพิ่ม ความเสี่ยงของการติดเชื้อ
        
        4)ให้คำแนะนำการเฝ้าระวังและการตรวจติดตามการดำเนินของโรคอย่างสม่ำเสมอ และแนะนำคู่สมรสที่เป็นพาหะให้รับการตรวจประจำปี
        
        ระยะตั้งครรภ์
        
        2) ตรวจ Cr หลังเริ่ม ให้ยา 4 Wks. เพื่อดูการทำงานของไต
        หากพบว่าการทำงานของไตผิดปกติควรปรึกษาอายุรแพทย์เพื่อปรับยา
        
        3) การให้ความรู้เกี่ยวกับโรค สาเหตุ การติดต่อ การป้องกัน การแพร่กระจายเชื้อ
        การดำเนินของโรค เเละการรักษาพยาบาลเพื่อการป้องกันการกระจายเชื้อจากเเม่สู่ลูก
        
        1) ตรวจพบว่า HBeAg positive ให้การรักษาโดยเมื่อ GA 28-32 Wks.
        เริ่ม ให้ TDF 300 mg รับประทานวันละ 1 ครั้ง จนถึง 4 Wks. หลังคลอด
        
        4) แนะนำการปฏิบัติตัว
        ในระยะการตั้งครรภ์เเละตลอดชีวิต
        
        หลีกเลี่ยงอาหารที่เป็นเชื้อรา Alpha toxin ที่ทำลายตับ
        
        รับประทานอาหารสุก สะอาด ไม่รับประทานอาหารที่มีไขมันสูงหรือปิ้งย่าง
        
        งดดื่มสุรา แอลกอฮอล์
      - ทารก
        
        ระยะคลอด
        
        1) ควรรีบดูสารคัดหลั่งออกจากปากและจมูกทารกให้เร็วที่สุด เช็ดตาและดูแลความสะอาดร่างกายทารกทันที
        
        ระยะหลังคลอด
        
        2) ให้ HB Vaccine 0.5 ml เข้ากล้ามเนื􀀠อโดยเร็วที􀀘สุดภายใน 12 ชั่วโมงหลังคลอด และ 1 เดือนจากนั้นให้ DTP-HB ที่ 2,4,6 เดือน
        
        1) ให้ HBIG 0.5 ml เข้ากล้ามเนื้อโดยเร็วที่สุด ภายใน 7 วันหลังคลอด
        
        3) หากนำ้หนักตัวทารกน้อยกว่า 2000 กรัม สามารถฉีด HB ได้ทันที แต่ให้นับเป็นเข็มพิเศษ
        เเล้วฉีดเข็มถัดไปเมื่ออายุ 1 เดือนหรือน้ำหนักตัวมากกว่า 2000 กรัม
        
        4) ทารกสามารถดูดนมมารดาตามปรกติ ยกเว้นมารดาที่มีหัวนมแตกเป็นแผล
        
        ระยะตั้งครรภ์
        
        1) หลีกเลี่ยงหัตถการความถี่สูงต่อการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ได้เเก่ chorionic sampling เเละ Amniocentesis
        
        2) อาจทำการตรวจด้วยวิธี non-invasive prenatal testing ทดเเทน
        
        3) หากจำเป็นต้องทำ chorionic sampling เเละ Amniocentesis ควรแจ้งมารดาให้ทราบถึงความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น
    - - มารดา
        
        ระยะคลอด
        
        1) ดูแลช่วยเหลือการคลอดปกติหรือผ่าคลอด
        
        ระยะลังคลอด
        
        1) ส่งเสริมการเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดา และควรให้เลี้ยงบุตรด้วยนมมารดาอย่างเดียว 6 เดือน (Exclusive breastfeeding)และสามารถเลี􀀠ยงบุตรด้วยนมมารดาได้ถึง 2 ปี แนะนำการเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดาอย่างถูกต้อง โดยเฉพาะท่าการให้นมบุตรที่ถูกวิธีการให้ทารกอมหัวนมอย่างถูกต้อง และการประเมินประสิทธิภาพของการให้นมบุตรที่จะช่วยป้องกันการเจ็บหัวนม
        หัวนมแตกมากจนเลือดไหลที่เพิ่มความเสี่ยงของการติดเชื้อ
        
        ระยะตั้งครรภ์
        
        1) หลีกเลี่ยงการใช้ของใช้ที่อาจปนเปื้อนเลือด เช่น แปรงสีฟัน กรรไกรตัดเล็บ ร่วมกับผู้อื่น
        
        2) ควรใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์และควรให้สามีมาตรวจ ถ้าไม่มีภูมิคุ้มกันแนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันโรค
      - ทารก
        
        ระยะคลอด
        
        ควรรีบดูดสารคัดหลั่ง ออกจากปากและจมูกทารกให้เร็วที่สุด เช็ดตาและดูแลความสะอาดร่างกายทารกทันที
        
        ระยะตั้งครรภ์
        
        อาจทำการตรวจด้วยวิธี non-invasive prenatal testing ทดแทน
        
        หากจำเป็นต้องทำ Chorionic sampling และ Amniocentesis ควรแจ้งมารดาให้ทราบถึงความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น
        
        หลีกเลี่ยงหัตถการความถี่สูงต่อการติดเชื้อ
        
        Chorionic sampling
        
        Amniocentesis
        
        ระยะหลังคลอด
        
        ให้ HB Vaccine 0.5 ml. เข้ากล้ามโดยเร็วที่สุด ภายใน 12 ชั่วโมง
        หลังคลอดและ 1 เดือน จากนั้นให้ DTP-HB ที􀀘 ,6 เดือน
        
        ให้ HBIG 0.5 ml. เข้ากล้ามโดยเร็วที่สุด ถ้าไม่ให้ทันที ให้พยายามหา
        HBIG ให้ทารกภายใน 7 วันหลังคลอด หากเกิน 7 วันจะไม่มีประโยชน์
        
        ทารกสามารถดูดนมมารดาตามปกติ ยกเว้น
        มารดาที่มีหัวนมแตกหรือแผล
        
        ทารกน้ำหนักตัวน้อยกว่า 2,000 กรัม สามารถฉีด HB ได้ทันทีแต่ให้นับเป็นเข็มพิเศษ แล้วฉีดเข็มถัดไปเมื่ออายุ 1 เดือนหรือน้ำหนักตัวมากกว่า 2,000 กรัม
        
        ติดตามทารกเมื่ออายุครบ 12 เดือนเพื่อพิจารณาเจาะเลือดตรวจ HBsAg และ Anti-
        HBs
  - - - 1.อายุน้อยกว่า 20 ปี หรือมากกว่า 30 ปี
      - 2.เศรษฐานะทางสังคมไม่ดี
      - 3.ครรภ์แรก
      - 4.ภาวะทุพโภชนาการ
        
        BMI ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน
      - 6.ทำงานหนัก
      - 7.ภาวะเครียด
      - เคยมีประวัติแท้ง หรือคลอดทารกก่อนกำหนดในครรภ์ก่อน
      - 11.ภาวะครรภ์แฝด
      - 14.ภาวะน้ำเดินก่อนกำหนด
      - 5.สูบบุหรี่และสารเสพติด เช่น โคเคน เฮโรอีน
      - เคยมีประวัติเลือดออกในระหว่างการตั้งครรภ์ในอดีต
      - 13.ความผิดปกติของมดลูกและปากมดลูก เช่น ภาวะ cervical incompetence
      - 15.ทารกพิการ
      - การติดเชื้อของระบบสืบพันธุ์ เช่น หนองใน หนองในเทียม bacterial vaginosis เป็นต้น
      - 12.ประวัติช่วยการเจริญพันธุ์
      - ปัจจัยทางด้านพันธุกรรม เช่น มีประวัติคลอดทารกก่อนกำหนดในครอบครัว
      - ภาวะแทรกซ้อนทางอายุรกรรมขณะตั้งครรภ์ เช่น การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ ความดันโลหิตสูง ครรภ์แฝดน้ำ น้ำคร่ำน้อยกว่าปกติ หรือภาวะเลือดออกระหว่างตั้งครรภ์ เป็นต้น
    - - 2.ปากมดลูกเปิดมากกว่าหรือเท่ากับ 1 เซนติเมตร
      - 3.ปากมดลูกบางตัวลงมากกว่าหรือเท่ากับร้อยละ 80
      - 1.มีการหดรัดตัวของมดลูกอย่างสม่ำเสมอ 4 ครั้ง ใน 20 นาที หรือ 8 ครั้งใน 60 นาที ร่วมกับการเปลี่ยนแปลงของปากมดลูกอย่างต่อเนื่อง
    - - พัฒนาการช้า
      - ปอดไม่สมบูรณ์
      - โลหิตจาง
      - น้ำหนักตัวน้อย
      - ปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ
    - - 2.การวัดการหดรัดตัวของมดลูก
      - 3.การให้ยาป้องกันการหดรัดตัวของมดลูก
      - 1.การให้ความรู้
        
        ตั้งครรภ์ในอายุที่เหมาะสม
        
        ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
      - 4.การเย็บผูกปากมดลูก
      - 5.การให้ยาปฏิชีวนะ
      - 6.การให้ progestrogen
      - 7.การให้กรดไขมันโอเมก้า
      - 8.การให้สารต้านอนุมูลอิสระ
      - 9.เทคนิคการช่วยการเจริญพันธุ์
      - 10.หลีกเลี่ยงทำงานหนักเกินไป
      - 11.รับประทานให้ครบ 5 หมู่ หลีกเลี่ยงภาวะทุพโภชนาการ
      - 12.หลีกเลี่ยงการใช้สารเสพติด และแอลกฮออล์