Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การตรวจประเมินสุขภาพทารกในครรภ์ (Biophysical profile : BPP (การประเมิน…
การตรวจประเมินสุขภาพทารกในครรภ์
Electronic Fetal Monitoring : EFM
Non Stress Test : NST
:star: คือ
เป็นการตรวจดูการตอบสนองของอัตราการเต้นของหัวใจทารก ดู fetal heart rate variability เมื่อทารกเคลื่อนไหว โดยการตรวจ NST จะทำขณะที่ยังไม่มีการหดรัดตัวของมดลูก
ข้อดี : การตรวจวิธีนี้ไม่อันตรายต่อหญิงตั้งครรภ์ และทารก ขณะตรวจจะไม่รู้สึกเจ็บปวด วิธีการทำไม่ซับซ้อน สามารถตรวจซ้ำได้อีก ถ้าจำเป็น ได้ผลรวดเร็ว และใช้เฝ้าระวังทารกที่มีภาวะเสี่ยงสูงได้
ตรวจด้วย electronic fetal monitoring ดู FHR pattern
:check: ข้อบ่งชี้ในการทำ
หญิงตั้งครรภ์ที่เป็นโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคโลหิตจาง จาก sickle cell โรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษ SLE
ทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์
ครรภ์เกินกำหนด
มีประวัติการคลอดไร้ชีพ (stillbirth)
Rh-sensitization
ตรวจพบน้ำคร่ำมีขี้เทาปนจากการทำ amniocentesis มีน้ำคร่ำน้อย
ผลการตรวจระดับ estriol ผิดปกติ
อายุ 35 ปี ขึ้นไปและตั้งครรภ์แรก
:red_flag: องค์ประกอบในการอ่านผล
2.FHR variability คือการแปรปรวนของการเต้นของหัวใจ
Absent variability คือ ไม่มีความแปรปรวนของ FHR เมื่อมองด้วยตาเปล่าสัมพันธ์กับภาวะ asphyxia ของทารกในครรภ์สูง
Minimal variability คือ สังเกตเห็นความแปรปรวนของ FHR ได้แต่มีขนาดน้อยกว่าหรือเท่ากับ 5 bpm สัมพันธ์กับภาวะ acidosis ของทารกในครรภ์ แต่อาจไม่มี asphyxia ก็ได้
Moderate (normal) variability คือ ช่วงขนาดของความแปรปรวนอยู่ระหว่าง 6-25 bpm มักพบในทารกปกติ
Marked variability คือ ความแปรปรวนของ FHR มากกว่า 25 bpm สัมพันธ์กับการเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์ และยังเป็นการตอบสนองต่อภาวะขาดออกซิเจน
3.FSH acceleration คือ การเพิ่มขึ้นอย่างเฉียบพลัน มากกว่าหรือเท่ากับ 15 ครั้ง/นาที และนานกว่า 15 วินาที แต่น้อยกว่า 2 นาที แต่ถ้านานกว่า 2 นาที จัดเป็น prolong deceleration แต่ในรายที่อายุครรภ์น้อยกว่า 32 สัปดาห์ เกณฑ์การวินิจฉัยลดลงเป็น เพิ่มขึ้น 10 bpm นานกว่า 10 นาที
1.รูปแบบการเต้นของหัวใจ (Baseline fetal pattern) base line 110-160 bpm
4.FSH deceleration คือ การลดลงของ FSH
Variable deceleration คือ การลดลงของ FHR อย่างฉับพลัน จะลดลงมากกว่าหรือเท่ากับ 15 bpm
Late deceleration คือ การลดลง FHR อย่างช้าๆ โดยจุดตั้งต้นของการลดลงของ FHR จุดต่ำสุด และการกลับคืนสู่ baseline จะเกิดช้ากว่าจุดเริ่มต้นของการหดรัดตัวของมดลูก
Early deceleration คือการลดลงช้า FHR อย่างช้าๆ ค่อยเป็นค่อยไป
:pen:การแปลผล
1.Reactive หมายถึง การเพิ่มขึ้นของ FSH มากกว่าหรือเท่ากับ 15 ครั้ง/นาที และนานกว่า 15 วินาที อย่างน้อย 2 ครั้งในช่วงการตรวจ 20 นาที
FHR baseline 110-160 bpm และ baseline variabillty อยู่ในช่วง 5-25 bpm
:no_entry:ให้ตรวจติดตามสุขภาพทารกตามความเสี่ยงเดิม
2.Non reactive หมายถึงการเพิ่มขึ้นของ FSH ไม่เป็นไปตามเกณฑ์หรือไม่มีการเพิ่มขึ้นของ FSH เลยในการตรวจ 40 นาที
:no_entry:ให้ตรวจยืนยันด้วยวิธีอื่นเพิ่มเติม เช่น CST , BPP , Doppler ultrasound
:female-doctor::skin-tone-2:การพยาบาล
2.จัดท่านอน Semi-fowler หรือ ท่านอนตะแคงซ้าย ดีกว่าการนอนหงาย มักจะทำให้เกิด Supine hypotension
3.วัดความดันโลหิต
1.อธิบายให้หญิงตั้งครรภ์ทราบขั้นตอน และวิธีการตรวจ
4.ดูแลให้ tocodynamometer เพื่อบันทึกการหดรัดตัวของมดลูก ไว้ที่ตำแหน่งยอดมดลูกและหัวตรวจ FHR ไว้ที่ตำแหน่งของหลังทารกที่ได้ยินเสียงการเต้นของหัวใจที่ชัดเจนที่สุด
5.บันทึกนาน 20 นาที ถ้ายังแปลผลไม่ได้ให้บันทึกต่ออีก 20 นาทีรวมเป็น 40 นาที
Contraction Stress Teat : CST
คือ
เป็นการทดสอบดูความเปลี่ยนแปลงของอัตราการเต้นของหัวใจทารกในครรภ์ ขณะที่มดลูกหดรัดตัว จะทำในกรณี nonreactive จากการทำ NST
ใช้ประเมินภาวะ uteroplacental insufficiency ได้ดี
การหดรัดตัวของมดลูก มีผลทำให้ระดับออกซิเจนลดลง ซึ่งในรายที่มีปัญหา uteroplacental insufficiency อยู่ก่อนแล้วนั้นจะมีระดับออกซิเจนต่ำ จะเกิด late deceleration ของ FHR ได้
การทำให้เกิด Uterinecontraction
1.The breast self-stimulation test (BSST) การกระตุ้นหัวนม
2.The oxytocin challenge test (OCT) การให้ Oxytocin เข้าทางหลอดเลือดดำ
ห้ามทำในรายต่อไปนี้
2.Preterm premature rupture of membrane
3.มีประวัติผ่าตัดมดลูก
1.Preterm labor
4.Placenta previa
5.Multiple gestation
6.Polyhydramnios
การแปลผล
3.ผล Suspicious หมายถึง มีการลดลงของอัตราการเต้นของหัวใจของทารกในช่วงท้ายของการหดรัดตัวของมดลูก แต่ไม่เกิดขึ้นทุกครั้งของการหดรัดตัว
4.ผล Unsatisfactory หมายถึง ไม่สามารถอ่านผลของอันตราการเต้นของหัวใจทารกได้
2.ผล Positive หมายถึง มี late deceleration มากกว่าครึ่งหนึ่งของการที่มีการหดรัดตัวของมดลูก
5.ผล Hyperstimulation หมายถึง มดลูกมีการหดรัดตัวมากกว่าปกติหรือหดรัดตัวแรงมาก
1.ผล Negative หมายถึง ไม่มี deceleration ในขณะทำการทดสอบโดยมีการหดรัดตัวของมดลูกอย่างน้อย 3 ครั้งใน 10 นาที นานครั้งละอย่างน้อย 40-60 วินาที
การพยาบาล
1.อธิบายให้หญิงตั้งครรภ์ทราบขั้นตอน และวิธีการตรวจ
2.จัดท่านอน Semi-fowlerหรือท่านอนตะแคงซ้าย
3.วัดความดันโลหิต และวัดซ้ำทุก 10 นาที เพื่อป้องกันไม่ให้เกิด Supine hypotension
4.ดูแลให้ tocodynamometer ติดกับหน้าท้องไว้ตำแหน่งหลังยอดของมดลูก เพื่อบันทึกการหดรัดตัวของมดลูก และ Doppler FHR transducer ไว้ตำแหน่งหลังของทารกที่ได้ยินเสียงการเต้นของหัวใจ
6.วิธีการชักนำ
กระตุ้นด้วย Oxytocin โดยให้ทางหลอดเลือดดำ เริ่มที่ 0.5 mU/เพิ่มได้ทีละ 2 เท่า ทุก 15-20 นาที จนกระทั่งมี การหดรัดตัวของมดลูก 3 ครั้งใน 10 นาที แต่ละครั้งนาน 40-60 วินาที
การทำ nipple stimulation โดยใช้มือคลึงที่หัวนมทั้งสองข้างอย่างต่อเนื่อง หรือคลึงไปมาที่หัวนมข้างเดียวนาน 2 นาที แล้วหยุด 5 นาที ถ้าการหดรัดตัวยังไม่ถึงเกณฑ์ให้กระตุ้นแบบเดิมต่อ
7.late deceleration ของ FHS ทุกครั้งที่มีการหดรัดตัวของมดลูก
5.บันทึกรูปแบบการเต้นของหัวใจ ระหว่างที่มีการหดรัดตัวของมดลูก ซึ่งควรมี 3 ครั้ง ใน 10 นาที ครั้งละ 40-60 วินาที ถ้าไม่มีให้ชักนำ
Down’s syndrome
การแปลผล
Positive
มีความเสี่ยงสูงกว่า 1 ใน 200 มีความเสี่ยงเช่นเดียวกับหญิงตั้งครรภ์ที่อายุ มากกว่า 35 ปี
คำแนะนำจากแพทย์ ให้ทางเลือกในการตรวจโครโมโซมของทารก โดยการตรวจน้ำคร่ำหรือการตัดชิ้นเนื้อรกไปตรวจ
Negative
มีความเสี่ยงต่ำกว่า 1 ใน 200 มีโอกาสเกิดน้อยมาก ไม่มีความจำเป็นต้องทำการตรวจวินิจฉัยต่อไป
การตรวจคัดกรอง
Second-trimester screening
Quadruple screening (+Inhibin-A) สามารถคัดกรองได้ 80%
Inhibin-A ผลิตจากรก ถ้าเป็นดาวน์ซินโดรม ค่าที่ได้มากกว่าปกติ
Triple screening (AFP+B-hCG+Estiriol) สามารถคัดกรองได้ 60%
B-hCG (Beta human chorionic gonadotrophin) ผลิตจากรก ถ้าเป็นดาวน์ซินโดรม ค่า B-hCG ได้สูงกว่าปกติ
uE3 (Unconjugated estriol) ผลิตจากรกและต่อมหมวกไตของตัวอ่อน ถ้าเป็นดาวน์ซินโดรม ค่า uE3 ได้ต่ำกว่าปกติ
AFP (Alpha fetoprotein) ผลิตจากถุงไข่แดงของตัวอ่อนและตับ ถ้าเป็นดาวน์ซินโดรมAFPได้ต่ำกว่าปกติ
ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงให้ตรวจวินิจฉัยก่อนคลอดด้วยวิธีการเจาะน้ำคร่ำ (Amniocentesis)
Sequential first and second-trimester screening
ถ้าตรวจคัดกรองในช่วงไตรมาสแรกพบเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่ำ ให้ตรวจ Quadruple screening ในไตรมาสที่สองต่อ
ถ้าตรวจคัดกรองในช่วงไตรมาสแรกพบเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงให้ตรวจวินิจฉัยก่อนคลอดด้วย การเจาะน้ำคร่ำ (Amniocentesis)
สามารถคัดกรองได้ 90%
First-trimester screening
สามารถคัดกรองได้ 80%
การวัดความหนาแน่นของน้ำที่สะสมบริเวณต้นคอทารก (Nuchal translucency :NT )
โดยใช้การอัลตร้าซาวน์ ร่วมกับการตรวจหาค่าสารชีวเคมีในกระแสเลือดของหญิงตั้งครรภ์ มี 2 ชนิด
Pregnancy associated plasma protein A (PAPP-A) ผลิตจากถึงไข่แดงของตัวอ่อนและตับ ถ้าเป็นดาวน์ซินโดรม PAPP-A ได้ต่ำกว่าปกติ
B-hCG (Beta human chorionic gonadotrophin)
ผลิตจากรก ถ้าเป็นดาวน์ซินโดรม ค่า B-hCG จะสูงกว่าปกติ
ตรวจเมื่ออายุครรภ์ 11-13 wks
การตรวจวินิจฉัย
การตัดตัวอย่างรก (Chorionic villus sampling)
ทำเมื่ออายุครรภ์ 10-13 wks
ภาวะแทรกซ้อนคือ การแท้งบุตร
การเจาะเลือดจากสายสะดือทารกในครรภ์ (Cordocentesis)
การตรวจวินิจฉัยความผิดปกติทางโครโมโซมเฉพาะกลุ่มอาการดาวน์ การตรวจวินิจฉัยโรคติดเชื้อแต่กำเนิด
ภาวะแทรกซ้อนคือ เลือดออก
การเจาะน้ำคร่ำ (Amniocentesis)
ทำเมื่ออายุครรภ์ 15-20 wks
ภาวะแทรกซ้อนคือ การแท้งบุตร
การตรวจด้วยเทคนิค Non-Invasive Prenatal Testing (NIPT)
ปลอดภัยและมีความแม่นยำมากกว่า 90%
เป็นการตรวจชิ้นส่วนสารพันธุกรรมจากรกที่ปนอยู่ในเลือดของหญิงตั้งครรภ์
สามารถหาความผิดปกติของโครโมโซมเพศของทารกได้
เมื่ออายุครรภ์ 10 wks ขึ้นไป
Biophysical profile : BPP
ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อ biophysical profile score
ปัจจัยด้านมารดา
สูบบุหรี่
ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง เช่น มีเบาหวานขณะตั้งครรภ์ หรือได้รับยาที่มีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด
การได้รับยาหรือสารต่างๆ เช่น กลุ่มยานอนหลับ,ยาที่มีผลข้างเคียงทำให้ง่วงซึม เช่น aldomet ซึ่งเป็นยาลดความโลหิต,กลุ่มยากระตุ้นประสาท เช่น teophylline, ยาหรือสารเสพติด เช่น โคเคน แอมเฟตามีน ยา indomethacin เป็นต้น
ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เช่น ทุพโภชนา
ภาวะแทรกซ้อนทางสูติศาสตร์ เช่น ชัก รกลอกตัวก่อนกำหนด หรือ ketoacidosis
ปัจจัยด้านทารก
มีการหายใจอย่างต่อเนื่อง
การเคลื่อนไหวที่ไม่ได้เป็นรูปแบบปกติทั่วไป
การแปรปรวนของพฤติกรรมทารกในครรภ์ บางครั้งอาจจะลดลงได้
ภาวะน้ำคร่ำน้อย
ภาวะ acidosis ของทารกในครรภ์
การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมเล็กน้อย โดยที่น้ำคร่ำปกติ
ข้อจำกัดในการตรวจ BPP
ผลบวกลวงจากการตรวจสูง เพราะพฤติกรรมบางอย่างจะแสดงออกเป็นช่วงๆ เช่น การหายใจ tone ทำให้คะแนนจากการตรวจ BPP น้อย ส่งผลให้ได้รับการรักษาเกินความจำเป็นได้
พลาดที่จะวินิจฉัยปัญหาจาก abnormal fetal tracing
ผู้ที่มีความชำนาญในการตรวจพฤติกรรมของทารกด้วยอันตราซาวด์
การประเมิน
การเคลื่อนไหว (fetal movement และ tone)
การตรวจ tone (fetal tone,FT) คือ การเคลื่อนไหวแบบเหยียดงอของแขนขา หรือกำและคลายมือ (flexion&deflexion) อย่างน้อย 1 ครั้ง แปลผลว่าปกติ
การเคลื่อนไหว (fetal movement,FM) การขยับแขนขาหรือมือ แตะแรงหรือเบาต้องเห็นอย่างน้อย 3 ครั้งใน 30 นาทีการเคลื่อนไหวของแขนขาและลำตัว พร้อมๆกัน ถือว่าเป็น 1 ครั้ง ไม่นับแยกกัน
Non stress test (NST)
ปริมาณน้ำคร่ำ (amniotic fluid measurement)
ตามเกณฑ์ต้องมีอย่างน้อย 1 แอ่งที่มีความลึกมากกว่า 2 เซนติเมตร แปลผลว่า ปกติ
ปริมาณน้ำคร่ำผิดปกติหรือครรภ์แฝดน้ำ ( polyhydramnios) ซึ่งแอ่งที่ลึกที่สุดมีค่ามากกว่า 8 เซนติเมตร
ปริมาณน้ำคร่ำในที่นี้ใช้แอ่งที่ลึกที่สุด (deep vertical pocket,DVT)
ปริมาณน้ำคร่ำน้อยผิดปกติ (oligohydramnios)หรือแอ่งน้ำคร่ำที่ลึกที่สุดน้อยกว่า 2 เซนติเมตร มักจะสัมพันธ์กับภาวะทารกโตช้าในครรภ์
การหายใจ (fetal breathing movement : FBM)
ทารกจะหายใจมากหลังอาหารเช้า และจะน้อยลงเรื่อยๆจนต่ำสุดในเวลา 19.00-24.00 น. และเริ่มอีกในเวลา 4.00-7.00 น.
การหายใจสัมพันธ์กับอายุครรภ์ ปริมาณออกซิเจนที่ได้รับ ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดแม่ หรือการได้รับยากดประสาทอื่นๆ
fetal breathing movement จัดเป็นการเคลื่อนไหวแบบ paradoxical คือ ในจังหวะหายใจเข้า จะมีการยุบเข้าของทรวงอกกระบังลมจะเลื่อนต่ำลงไปด้วย แต่ในขณะหายใจออก ทรวงอกจะขยายทางด้านข้าง ส่วนกระบังลมจะเลื่อนขึ้นตามไปด้วย ถ้ามีการเคลื่อนไหวของทรวงอกและกระบังลมหรือสะอึกนานต่อเนื่อง อย่างน้อย 30 วินาทีตั้งแต่ 1 ครั้งเป็นไปใน 30 นาที ถือว่าปกติ
สามารถหยุดหายใจได้นานถึง 122 นาที
โดยอาศัยแทน NST หรือ CST
เฉียบพลัน
การเคลื่อนไหว
การหายใจ
การเต้นของหัวใจ
Tone ของกล้ามเนื้อ
เรื้อรัง
ปริมาณน้ำคร่ำลดลง
ทำให้การไหลเวียนของเลือดไปที่ไตน้อยลง
มีผลลดการสร้างปัสสาวะของทารกในครรภ์ ทำให้ปริมาณน้ำคร่ำน้อย
เกิดจากภาวะ redistribution ของเลือดที่กระจายไปเลี้ยงทุกส่วนของร่างกายจะไหลเวียนไปยังอวัยวะที่สำคัญเพิ่มมากขึ้น
ลักษณะของรก
อยู่ใน grade 3 คือมี calcification ภายในจะทำให้การไหลเวียนและแลกเปลี่ยนสารอาหารไม่ดี
ร้อยละ 44 จะสัมพันธ์กับ abnormal fetal heart rate pattern
รกเริ่มเสื่อมสภาพ
ร้อยละ 14.8 สัมพันธ์กับภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด (Placenta abruption)
การดูแลรักษา
6-8 คะแนน
ให้พิจารณาตามปริมาณน้ำคร่ำ ถ้าน้ำครำ่ปกติ
โอกาสเกิด asphyxia น้อย แต่ต้องตรวจ BPP ซ้ำใน 24 ชั่วโมง
แต่ถ้าน้ำคร่ำน้อย โอกาสเกิด asphyxia สูงขึ้น
0-4 คะแนน
ทารกอยู่ในภาวะขับขัน ควรรีบให้คลอด
8-10 คะแนน
ไม่จำเป็นต้องรีบให้คลอด
โอกาสเกิด asphyxia ใน 1 สัปดาห์ น้อยกว่า 1 ใน 1000
โดยที่ปริมาณน้ำคร่ำปกติ แปลผลว่าทารกในครรภ์ยังปกติดี
การตรวจสุขภาพทารกในครรภ์โดยอาศัยการประเมินพฤติกรรมหลายๆอย่างร่วมกัน เพื่อลดผลบวกลวง
การแปลผล
โดยจะแบ่งให้คะแนนเป็น 0 และ 2 คะแนน
0 คะแนน
Fetal tone/posture 1 episode ของการเหยียดของแขนขาหรือลำตัวหรือกำมือ/คลายมือ ซึ่งต้องกลับคืนสู่ตำแหน่งที่งอหรือคลายมือ
Amniotic fluid evaluation แอ่งของน้ำคร่ำที่วัดได้ในแนวดิ่งมีขนาดอย่างน้อย 2 ซม. อย่างน้อย 1 แอ่ง
Body or limb movements 3 episode ของการเคลื่อนไหวลำตัวและแขนขาภายในช่วงเวลา 30 นาที โดยการเคลื่อนไหวของลำตัวและแขนขาพร้อมกัน นับเป็น 1 episode
Non stress test มีอย่างน้อย 2 acceleration ที่มีขนาดอย่างน้อย 15 bpm นานอย่างน้อย 15 วินาที ที่สัมพันธ์กับการเคลื่อนไหวของทารกในช่วง 30 นาที
Fetal breathing movement 1 episode ของการหายใจของทารกที่นานมากกว่า 30 วินาที ภายในช่วงเวลา 30 นาที
คะแนนรวมทั้งหมด 10 คะแนน แบ่งเป็น 0 และ 2 คะแนน ในแต่ละพารามิเตอร์
2 คะแนน
Fetal tone/posture แขนขาอยู่ในท่าเหยียด การเคลื่อนไหวไม่กล้บคืนสู่การวอหรือคลายมือ
Amniotic fluid evaluation แอ่งของน้ำคร่ำที่วัดได้ในแนวดิ่งมีขนาดน้อยกว่า 2 ซม.
Body or limb movement ไม่มีการเคลื่อนไหวของทารกหรือน้อยกว่า 2 episode ในช่วงเวลา 30 นาที
Non stress test มีน้อยกว่า 2 acceleration หรือไม่มีเลย
Fetal breathing movement ไม่มีการหายใจของทารกหรือหายใจสั้นกว่า 30 วินาที ในช่วงเวลา 30 นาที
Ultrasound
Type
การตรวจอัลตร้าซาวด์ทางหน้าท้องใช้ในการตรวจครรภ์ในระยะไตรมาสที่ 2-3 เพื่อที่จะได้เห็นภาพของทารกและรกที่ชัดเจนมากขึ้น
การตรวจอัลตร้าซาวด์ทางช่องคลอดใช้ตรวจครรภ์ในช่วงไตรมาสแรก เพื่อที่ได้เห็นภาพของปากมดลูก มดลูก ถุงน้ำคร่ำ ตัวอ่อนและโครงสร้างลึกๆของอุ้งเชิงกราน
การตรวจทางการแพทย์โดยใช้คลื่นเสียงความถี่สูงผ่านทะลุเข้าสู่อวัยวะภายในเพื่อจับภาพอวัยวะหรือส่วนต่างๆภายในร่างกาย
ช่วยในการวินิจฉัยชนิดครรภ์แฝดและประเมินอายุครรภ์ได้อย่างแม่นยำ
ตรวจหาความผิดปกติของโครงสร้างร่างกายทารกในครรภ์ (Fetal Structural Abnormality)
วิธีการตรวจ
ให้ดื่มน้ำและกลั้นปัสสาวะก่อนตรวจ ถ้าตรวจ ultrasound ทางหน้าท้อง แล้วใช้ครีมทาทางหน้าท้องและใช้หัวนำเสียงวางบนครีม
การตรวจ
ไตรมาสแรก
สำหรับภาวะฉุกเฉิน
ภาวะการมีเลือดออก
2.การตั้งครรภ์ในโพรงมดลูกที่ผิดปกติ (Abnormal intrauterine pregnancy)
3.การตั้งครรภ์นอกมดลูก (Ectopic pregnancy)
1.ภาวะแท้ง
ตำแหน่งของถุงการตั้งครรภ์ เพื่อแยกการตั้งครรภ์นอกฏพนงมดลูก ลักษณะถุงการตั้งครรภ์ ถุงไข่แดง (Yolk sac) ตัวอ่อนและความยาวของตัวอ่อน (Crown Rump Length)
ลักษณะมดลูก รวมถึงอวัยวะอื่นๆในอุ้งเชิงกราน
ถ้าเป็นไปได้ให้ประเมินบริเวณต้นคอของทารกที่มีชีวิตด้วย
การเต้นของหัวใจตัวอ่อน จำนวนตัวอ่อน ถ้าเป็นครรภ์แฝดต้องระบุ Amnionicity และ Chorionicity
ไตรมาสสอง-ไตรมาสสาม
สำหรับภาวะฉุกเฉิน
ภาวะการมีเลือดออก
1.รกเกาะต่ำ (Placenta previa)
2.รกลอกตัวก่อนกำหนด (Placenta abruption)
3.สายสะดือที่เยื่อหุ้มเด็กโดยผ่านปากมดลูกด้านใน (Vasa previa)
4.เลือดออกบริเวณขอบรก (Marginal sinus separation)
ส่วนนำ (Presentation)
ตำแหน่งและลักษณะของรก ระยะห่างจากปากมดลูกด้านใน (Internal cervical os)
การประเมินอายุครรภ์
ประเมินมดลูก,ปีกมดลูกและปากมดลูก
การเต้นของหัวใจ
ปริมาณน้ำคร่ำ
จำนวนทารก ในกรณีเป็นครรภ์แฝดควรรายงาน Amnionicity,Chorioncity,ขนาดทารก,ปริมาณน้ำคร่ำและเพศทารก
ลักษณะความผิดปกติของทารกในครรภ์
การคาดคะเนน้ำหนักทารก
Doppler ultrasound
การวิเคราะห์และแปลผลเส้นเลือดในทารกและมดลูก
Umbilical arteries (UA)
ในรายที่ทารกมีปัญหามักสัมพันธ์กับการไหลเวียนของเลือดมาที่รกลดลง มีความต้านทานที่รกเพิ่มมากขึ้น
วิธีการตรวจ ให้มารดานอนตะแคงซ้ายเล็กน้อย ยกศีรษะสูงเล็กน้อยวาง Doppler ที่หน้าท้องมารดาปรับหาตำแหน่ง Umbilical artery จนกระทั่งได้สัญญาณทั้งภาพและเสียงที่ชัดเจน การทำมุมของคลื่นเสียงกับเส้นเลือดควรทำไม่ต่ำกว่า 30 องศา และไม่เกิน 55 องศา การประเมินรูปคลื่นควรมีรูปคลื่นให้แปลผลอย่างน้อยที่สุด 3-5 คลื่น ซึ่งได้มาจากต่างมุมกัน ทารกต้องอยู่ในภาวะสงบและไม่หายใจเพราะ การหายใจของทารกทำให้ Cardiac cycle สั้นเข้ามีผลให้การวัดคลาดเคลื่อน
สามารถตรวจหาได้ง่าย ไม่จำเป็นต้องเห็นสายสะดือ
Ductus venosus
เส้นเลือดดำที่นำ High oxygenated blood จากรกผ่านทาง Umbilical vein ผ่าน Foramen ovale เพื่อไปยัง left atrium มีการไหลเวียนของเลือดเร็ว
Doppler ของ Ductus venosus สามารถบอกการทำงานของ right ventricle ได้
จะผิดปกติเฉพาะในรายที่เป็น IUGR อันเนื่องจากการเสื่อมของเส้นเลือดบริเวณรก
Uterine artery
ช่วยทำนายภาวะการเกิดความดันโลหิตสูงจากการตั้งครรภ์ในรายที่มีความเสี่ยงสูง
เลือดไหลเวียนจากแม่ไปมดลูกดีรึป่าว
ค่า Doppler จะปกติในทารกขนาดตัวเล็กโดยธรรมชาติแต่ไม่เป็น IUGR
Middle cerebral artery (MCA)
ช่วยวินิจฉัยภาวะ IUGR สำหรับทารกที่มีปัญหาเรื่องซีด
การขาดออกซิเจนของทารก ส่งผลให้มีการไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงสมองเพิ่มขึ้น ความเร็วของเลือดในเส้นเลือดจะเพิ่มขึ้น
ทารกที่มีปัญหา hypoxia หรือ IUGR จะมีการไหลเวียนเลือดเพิ่มขึ้นไปยังอวัยวะสำคัญหรือที่เรียกว่า brain sparing effect
ทารกปกติค่า PSV จะสูงขึ้นตามอายุครรภ์ ส่วน PI จะต่ำในช่วง 15-20 สัปดาห์ และจะสูงเมื่อเข้าช่วงท้ายของไตรมาสที่ 2 เริ่มเข้าไตรมาสที่ 3
เป็นเส้นเลือดในสมองของทารกที่หาง่ายและได้รับการศึกษามากที่สุด มีความแรงและเร็วของการไหลเวียนเลือดมาก
เกณฑ์วินิจฉัยผิดปกติ
IUGR : PI สูง,RI ต่ำ(ต่ำกว่า umbilical a. RI
Cerebral/umbilical ratio <1.1 หรือ <5th centile at GA นั้นๆ
Fetal anemia : MCA-PSV>1.5 MoM (Multiple of median)
วิเคราะห์ได้ 2 วิธี
1.วัดปริมาณไหลเวียนเลือดโดยตรง เป็นวิธีที่มีข้อจำกัดด้านการวัด มีความคลาดเคลื่อนได้มาก จึงไม่แนะนำให้ใช้วิธีนี้
2.การประเมินทางอ้อมโดยการวิเคราะห์รูปคลื่น Doppler waveform เป็นที่นิยมมากกว่า
สามารถบอกถึงความเร็วและปริมาณเลือดที่ไหลผ่าน
ผล Equivocal