Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
โครงสร้างการคายน้ำ (2.บริเวณที่พบปากใบของพืชชนิดต่างๆ (พืชบกจะพบในทางด้านล…
โครงสร้างการคายน้ำ
2.บริเวณที่พบปากใบของพืชชนิดต่างๆ
พืชบกจะพบในทางด้านล่างของใบ (lower epidermis)
พืชปริ่มน้ำเช่นบัวลอยปากใบจะอยู่ด้านบนของใบ (upper epidermis)
พืชจมน้ำเช่น สาหร่ายหางกระรอกจะไม่มีปาก
พืชที่กันดาร(xerophyle) เช่นสนเกี๊ยะ ปากใบจะจมลึก(suken stomata)
กัตเตชัน (guttation)
การกำจัดในรูปของหยดน้ำทางรูเปิดเล็กๆที่ปลายเส้นใบ
ไฮดาโทค (hydathode) จะเกิดขึ้นเมื่อสาพแวดล้อมมีความชื้นสูงลมสงบและอุณหภูมิต่ำ
กัตเตชันเกิดขึ้นเนื่องจากแรงดันรากพบในพืชตระกูลหญ้า กุหลาบ สตอเบอรี่
1.ลักษณะของปากใบ
ปากใบ (stoma) ประกอบด้วยเซลล์คุม (guard cell)1คู่ มีรูปร่างคล้ายเมล็ดถั่ว
เซลล์คุมคลอโรพลาสต์จึงสามารถสังเคราะห์ด้วยแสงได้
ในขณะที่เอพิเดอร์มิสเซลล์อื่นๆไม่มีคลอโรพลาสต์จึงสังเคราะห์ด้วยแสงไม่ได้
การคายน้ำ (transpiration)
1.ปากใบ (stomata transpiration) ประมาณร้อยละ80-90
2.ทางผิวใบ (cuticular transpiration) ประมาณร้อยละ10
3.ทางรอยแตกที่เปลือกใบ (lenticular transpiration)
3.กลไกลการเปิด-ปิดปากใบ
ปากใบปิด
1.ปริมาณk+ ในเซลล์คุมลดลงและปั๊มกลับคืนยังเซลล์ข้างเคียง
2.ทำให้ความเข้มข้นของสารละลายในเซลล์คุมลดลง
3.น้ำแพร่ออกจากเซลล์
4.เซลล์คุมสูญเสียแรงดันแต่ง เปลี่ยนรูปทำให้ปากใบปิด
5.เซลล์เหี่ยว
ปากใบเปิด
1.แสงกระตุ้นให้k+ที่อยู่เซลล์ข้างเคียงปั๊มเข้าสะสมอยู่ในเซลล์คุมในปริมาณมากขึ้น
2.ความเข้มข้นของสารละลายในเซลล์คุมเพิ่ม
3.นำจากเซลล์ข้างเคียงแพร่เข้าสู่เซลล์คุม ทำให้เซลล์คุมเต่งมากขึ้นทำให้ปาใบเปิด
4.นำแพร่ออกไปยังสิ่งแวดล้อมและ co2 เข้ามาในพืชสังเคราะห์ด้วยแสงต่อ
4.ความสำคัญของการคายน้ำ
1.ทำให้รากดูดน้ำและลำเลียงนำไปยังลำต้นและใบ
2.ช่วยลดอุณหภูมิที่ใบเพราะการคายน้ำเป็นการเปลี่ยนสถานะจากของเหลวกลายเป็นไอจึงต้องใช้ความร้อนแฝง
3.การคายน้ำทำให้เกิดบรรยากาศชุ่มชื้น