มงคลสูตรคำฉันท์

ผู้แต่งและประวัติผู้แต่ง

ความเป็นมา

เมื่อ พุทธศักราช ๒๔๖๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงนำมงคลสูตรมาทรงพระราชนิพนธ์เป็นบทร้อยกรองประเภทคำฉันท์ โดยใช้คำประพันธ์ ๒ ชนิดคือ กาพย์ฉบัง ๑๖ และอินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑

ทรงนำคาถาภาษาบาลีจากพระไตรปิฏกตั้งแล้วแปลถอดความเป็นร้อยกรองภาษาไทย ได้ถูกต้องตรงตามบังคับในฉันทลักษณ์โดยไม่เสียเนื้อความจากพระคาถาบาลี การจัดวางลำดับของมงคลแต่ละข้อก็เป็นไปตามที่ปรากฏอยู่ในพระคาถาเดิม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพระอัจฉริยภาพทางด้านภาษาได้อย่างดียิ่ง

พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 6 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์

เสด็จพระราชสมภพเมื่อ วันที่ 1 มกราคม พุทธศักราช 2423 เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 29 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเป็นสมเด็จเจ้าฟ้าองค์ที่ 2 ในจำนวน 9 พระองค์ที่ประสูติแต่สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พระพันปีหลวง

ใน พุทธศักราช 2515 พระองค์ได้รับการยกย่องจากองค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก (UNESCO) ให้ทรงเป็น 1ใน5 นักปราชญ์ที่ยิ่งใหญ่ของไทย

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว นั้นมีพระปรีชาสามารถด้านวรรณกรรมและการละครเป็นที่ประจักษ์ชัดน่าอัศจรรย์ จนสามารถกล่าวได้เต็มปากเต็มคำว่าทรงเป็น “พระมหากษัตริย์ศิลปิน” โดยเฉพาะในสาขาวรรณศิลป์และนาฏศิลป์พระองค์หนึ่งของชาติและของโลก

ลักษณะคำประพันธ์

กาพย์ฉบัง ๑๖

หนึ่งบทมีสามวรรค วรรคที่หนึ่ง หกพยางค์
วรรคที่สองมีสี่พยางค์ และวรรคที่สามเป็นวรรคสุดท้ายมีหกพยางค์ รวมเป็นสิบหกพยางค์

ในหนึ่งบทมีคู่สัมผัสเพียงคู่เดียว คือพยางค์สุดท้ายของวรรคที่หนึ่งสัมผัสกับ
พยางค์สุดท้ายของวรรคที่สอง

ตัวอย่าง

ประทับ ณ เชตวัน
อนาถบิณฑิกไซร้
จัดสร้างอย่างดีที่ใน
เป็นที่สถิตสุขา

วิหาระอัน


สาวัตถีให้

อินทรวิเชียร์ฉันท์ ๑๑

อินทรวิเชียร แปลว่า เพชรพระอินทร์ หรือ สายฟ้าจากพระอินทร์ หมายถึง ฉันท์ที่มีลีลาประดุจเพชรของพระอินทร์ หรือ สายฟ้าจากพระอินทร์

โดยอินทรวิเชียรฉันท์ ๑ บาท มีจำนวนคำ (พยางค์) ๑๑ คำ (พยางค์) ดังนั้น จึงกำหนดเลข ๑๑ ไว้ท้ายชื่อฉันท์

คำครุ-ลหุ คำที่ 3 ของวรรคหน้า กับคำที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ของวรรคหลังเป็นลหุ นอกนั้นเป็นครุ

ส่งสัมผัสแบบกาพย์ คำสุดท้ายของวรรคที่ 1 สัมผัสกับคำที่สามของวรรคที่ 2 (เป็นสัมผัสไม่บังคับ แต่ถ้ามีจะทำให้ฉันท์บทนั้นไพเราะยิ่งขึ้น) และ คำสุดท้ายของวรรคที่ 2 สัมผัสกับคำสุดท้ายของวรรคที่ 3
สัมผัสระหว่างบท คือคำสุดท้ายของวรรคที่ 4 ของบทแรก จะต้องสัมผัสกับ คำสุดท้ายของวรรคที่ 2 ในบทถัดไป

ความนิยม อินทรวิเชียรฉันท์ นิยมใช้แต่งข้อความที่เป็นบทชมหรือบทคร่ำครวญนอกจากนี้ยังแต่งเป็นบทสวด หรือพากย์โขน

ตัวอย่าง

สิบสองฉนำเหล่า
รวมกันและตรอหา

นรอีกสุเทวา
สิริมังคลาใด

จุดมุ่งหมายในการแต่ง

ป็นวรรณคดีคำสอนผลงานพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงนำหลักธรรมที่เป็นคาถาภาษาบาลีจากพระไตรปิฎกมาแปลและเรียบเรียงแต่งเป็นคำประพันธ์ที่ไพเราะ มีความงดงามทั้งด้านเสียงและความหมาย สามารถจดจำได้ง่าย โดยมีเนื้อหาที่แสดงให้เห็นและเข้าใจได้ว่า สิริมงคลจะเกิดแก่ตัวเราได้ก็ด้วยเป็นผลมาจากการประพฤติปฏิบัติดี หาได้มีที่มาจากปัจจัยอื่นแต่อย่างใด

เรื่องย่อ

เริ่มต้นกล่าวถึงมนุษย์และเทวดาได้พยายามค้นหาคำตอบว่า อะไรคือมงคล เป็นเวลานานถึง ๑๒ ปี พระอานนท์ได้เล่าให้ฟังว่าเมื่อครั้งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับ ณ เชตวันมหาวิหารซึ่งอนาถบิณฑิกเศรษฐีได้สร้างถวายไว้ ณ เมืองสาวัตถี มีเทวดาองค์หนึ่งได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าในเวลาปฐมยามแล้วได้ทูลถามเรื่องมงคล พระพุทธองค์จึงตรัสตอบถึงสิ่งที่ไม่เป็นมงคล ๓๘ ประการ หลังจากรับฟังเทศนาจบ เหล่าเทวดาก็บรรลุธรรม
มงคลทั้ง ๓๘ ประการ พระพุทธเจ้าทรงแสดงเป็นคาถาบาลีเพียง ๑๐ คาถา แต่ละคาถาประกอบด้วย ๓-๕ ข้อ และมีคาถมสรุปตอนท้าย ๑ บท ชี้ให้เห็นเหล่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ถ้าปฏิบัติตามมงคลอันสูงสุด ๓๘ ประการนี้ได้ จะไม่พ่ายแพ้แก่ข้าศึกศัตรูและจะมีแต่ความเจริญรุ่งเรืองสืบไป

ใจความสำคัญ

คาถาบทที่ ๑ ไม่ควรคบคนชั่วเพราะจะพาให้เราประพฤติชั่วไปด้วย ควรคบคนดีมีความรู้เพราะจะนำเราไปสู่ความสำเร็จ และควรบูชาคนดี

คาถาบทที่ ๒ ควรปฏิบัติตนและอยู่ในที่ที่เหมาะที่ควรแห่งตน ทำบุญไว้แต่ปางก่อน

คาถาบทที่ ๓ รู้จักฟัง รู้จักพูด มีวินัย ใฝ่ศึกษาหาความรู้

คาถาบทที่ ๔ ดูแลบิดามารดา บุตร ภรรยาเป็นอย่างดี ทำงานด้วยความตั้งใจ

คาถาบทที่ ๕ รู้จักให้ทาน ช่วยเหลือญาติพี่น้อง ทำแต่ความดี มีสัมมาอาชีพ

คาถาบทที่ ๖ ไม่ประพฤติชั่ว ไม่ละเลยในการประพฤติ เว้นการดื่มน้ำเมา

คาถาบทที่ ๗ ให้ความเคารพผู้ควรเคารพ มีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีความพอใจในสิ่งที่ตนมี มีความกตัญญูรู้คุณ และ รู้จักฟัง ธรรมในโอกาสอันควร

คาถาบทที่ ๘ มีความอดทน ว่านอนสอนง่าย หาโอกาสพบผู้ดำรงคุณธรรมเพื่อสนทนาธรรม

คาถาบทที่ ๙ พยายามกำจัดกิเลส ประพฤติพรหมจรรย์ เข้าใจในความเป็นจริงของชีวิตเพื่อจิตสงบถึงซึ่งนิพพาน

คาถาบทที่ ๑๐ มีจิตอันสงบ รู้จักปล่อยวางไม่หวั่นไหวกับสิ่งที่มากระทบ

คาถาบทที่ ๑๑ เทวดาและมนุษย์ปฏิบัติสิ่งที่เป็นมงคลเหล่านี้แล้วจะไม่พ่ายแพ้ให้แก่ข้าศึกทั้งปวงมีแต่ความสุขความเจริญทุกเมื่อ

คุณค่าด้านต่างๆ

คุณค่าด้านวรรณศิลป์

คุณค่าด้านสังคม

คุณค่าด้านเนื้อหา

เป็นวรรณคดีที่มีเนื้อหาเป็นคำสอนทางพระพุทธศาสนา ว่าด้วยเรื่องของ มงคล ๓๘ ประการ ซึ่งเป็นคำสอนที่สามารถพิสูจน์ให้เห็นจริงได้ โดยเน้นที่ “การปฏิบัติด้วยตนเอง” ลำดับจากง่ายไปยาก ถ้าปฏิบัติได้แล้ว จะทำให้ชีวิตมีแต่ความก้าวหน้าและผาสุก โดยไม่ต้องอาศัยปัจจัยใดๆ

เป็นแนวทางที่ทุกคนสามารถปฏิบัติได้ด้วยมีความสอดคล้องกับการดำเนินชีวิตในทุกๆวัน

ตัวอย่าง

หนึ่งคือบ่คบพาล หนึ่งคบกะบัณฑิต หนึ่งกราบและบูชา ข้อนี้แหละมงคล

เพราะจะพาประพฤติผิด
เพราะจะพาประสบผล
อภิบูชะนีย์ชน
อดิเรกอุดมดี

แม้จะมีที่มาจากคาถาภาษาบาลีและมีคำศัพท์ในทางพระพุทธศาสนา แต่ก็เป็นคำที่เข้าใจความหายได้ไม่ยากเช่น โสตถิ ภควันต์ เป็นต้น

ถ่ายทอดและเรียบเรียงเนื้อความเป็นภาษาไทยได้อย่างเรียบง่าย แต่มีความไพเราะ และสามารถสื่อความหมายได้อย่างชัดเจน

เป็นคำสอนในทางพระพุทธศาสนาที่ทุกคนโดยเฉพาะพุทธศาสนิกชน เมื่อได้นำไปปฏิบัติ ย่อมจะทำให้ชีวิตประสบกับ “มงคล” หรือความสุขอย่างแท้จริง

แปลบทมงคลสูตร

พะหู เทวา มะนุสสา จะมังคะลานิ อะจินตะยุง
อากังขะมานา โสตถานังพรูหิ มังคะละมุตตะมังฯ

เทวดาองค์หนึ่งได้กราบทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า, หมู่เทวดาและมนุษย์มากหลาย, มุ่งหมายความเจริญก้าวหน้า, ได้คิดถึงแต่เรื่องมงคลแล้ว
ขอพระองค์ทรงตรัสบอกทางมงคลอันสูงสุดเถิด, พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบดังนี้ว่า,

แปลบทอาขยาน

เพราะจะพาประพฤติผิด
เพราะจะพาประสบผล

หนึ่งคือบ่คบพาล
หนึ่งคบกะบัณฑิต

ไม่คบคนไม่ดีเพราะจะนำพาไปประพฤติผิด ควรคบกับคนดี เพราะนำไปสู้ความสำเร็จ

ข้อคิดเห็นกับเรื่องนี้

คิดว่าเป็นวรรณคดีที่มีคำสอนดีมากเพราะสอดคล้องกับหลักศาสนาอื่นๆด้วย เช่นศาสนาคริสต์ก็มีคำสอนที่ว่า อย่าผิดเประเวณี อย่าลักขโมย ชงทำความดี

นอกจากนี้คำสอนสามารถนำไปประยุต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ เช่น มีระเบียบวินัย มีความอดทน มีจิตใจไม่หวั่นไหว