Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

เตียง 6 ตึก มภร.10/2 นศพต. อภิสรา ทองเยาว์ เลขที่ 58 - Coggle…

- - - - BUN ค่าปกติ 7.0-18.7 mg/dL
        
        สูงกว่าปกติ แสดงถึงประสิทธิภาพในการทำงานของไต ไตสูญเสียหน้าที่ทำให้มีการกรองลดลง ทำให้ค่า BUN เกิดการคั่งในกระแสเลือด
      - Creatinine ค่าปกติ 0.55-1.02 mg/dL
        
        สูงกว่าปกติ บ่งบอกถึงการทำงานของไตที่เสื่อมสภาพไต่มีการสูญเสียหน้าที่การทำงาน การกรองน้อยลง
      - eGFR ค่าปกติ >90 mL/min/1.73m2
        
        ต่ำกว่าปกติ แสดงถึงประสิทธิภาพในการทำงานของไตลดลง อัตราการกรองของไตลดลง มีภาวะไตเสื่อม
  - - - 14/12/63
        
        Hemoglobin 7.4 g/dL ต่ำกว่าปกติ
        
        Hematocrit 23.7 % ต่ำกว่าปกติ
        
        RBC 2.5 10^6/uL ต่ำกว่าปกติ
        
        Lymphocyte 9.9 % ต่ำกว่าปกติ
        
        Eosinophil 21.1% สูงกว่าปกติ
        
        WBC 13450 cell/ลบซม สูงกว่าปกติ
        
        RDW 17.2% สูงกว่าปกติ
        
        MCHC 31.2 g/dL ต่ำกว่าปกติ
    - - Hemoglobin , Hematocrit, RBC ต่ำกว่าปกติ บ่งบอกถึงภาวะซีดของผู้ป่วย หรือภาวะโลหิตจางซึ่งส่งผลมาจากภาวะไตวาย ทำให้เกิดอาการบวมน้ำ (fluid retention)
      - Lymphocyte ต่ำกว่าปกติ มักเกิดจากสาเหตุของการติดเชื้อ (Sepsis)
      - Eosinophil สูงกว่าปกติ หมายถึงการติดเชื้อแบคทีเรีย ปรสิต และทำหน้าที่ควบคุมอาการอักเสบที่ทำให้เกิดอาการแพ้และโรคหอบหืด
- - - - จำแนกเป็น
        
        ภาวะหัวใจวายที่เกิดจากหัวใจไม่สามารถบีบตัวหรือคลายตัวได้อย่างเต็มที่ (Systolic vs Diastolic heart failure)
        
        ภาวะหัวใจวายที่เกิดจากการที่หัวใจไม่สามารถบีบตัวเอาเลือดออกจากหัวใจแต่ละครั้งได้หมด (Systolic heart failure) คือ ventricle ไม่สามารถบีบตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพพอที่จะส่งปริมาตรเลือดที่เพียงพอไปยัง Aorta และ Pulmonary artery ได้ ซึ่งทำให้ปริมาตรเลือดที่ ventricle ส่งออกจากการบีบตัวแต่ละครั้ง (Ejection Fraction) ลดลง การกำซาบเลือดของเนื้อเยื่อจะลดลงตามและเกิดการคั่งของเลือดในปอด
        
        ภาวะที่หัวใจวายที่เกิดจากการที่หัวใจไม่สามารถคลายตัวได้อย่างเต็มที่ (Diastolic heart failure) คือ ventricle ไม่สามารถคลายตัวรับเลือดที่ไหลกลับจากส่วนต่างๆของร่างกายได้อย่างเหมาะสม เมื่อไม่สามารถคลายตัวรับเลือดได้เลือดที่หัวใจส่งออกจึงมีน้อย และมีเลือดค้างอยู่ในระบบหลอดเลือดดำ ทำให้ความดันใน ventricle เพิ่มขึ้นและมีความดันในหลอดเลือดดำสูง
        
        หัวใจวายซีกซ้ายและซีกขวา (Left side heart failure with right side heart failure)
- - - - วันที่รับไว้ในโรงพยาบาล 4 ตุลาคม 2563 น้ำหนัก ไม่มีการประเมิน กก. ส่วนสูง ไม่มีการประเมิน
- - - - OD : แขนขวาและซ้ายบวมกดบุ๋มระดับ 1+
        
        ผิวแห้งลอกทั่วร่างกาย
        
        วันที่ 28/11/63 BUN = 65.7 mg/dl สูงกว่าปกติ Cr = 3.06 mg/dl สูงกว่าปกติ
        
        eGFR = 13.89 ml/min/1.73 m ต่ำกว่าปกติ (CKD stage 5)
        
        วันที่ 29/11/63 BUN = 78.7 mg/dl สูงกว่าปกติ
        
        Cr = 3.60 mg/dl สูงกว่าปกติ eGFR = 11.42 ml/min/1.73 m ต่ำกว่าปกติ (CKD stage 5)
        
        วันที่ 30/11/63 BUN = 92.8 mg/dl สูงกว่าปกติ
        
        Cr = 4.20 mg/dl สูงกว่าปกติ eGFR = 9.47 ml/min/1.73 m ต่ำกว่าปกติ (CKD stage 5)
        
        วันที่ 6/12/63 BUN = 126.1 mg/dl สูงกว่าปกติ
        
        Cr = 5.03 mg/dl สูงกว่าปกติ eGFR (by CKD-EPI) = 7.62 ml/min/1.73 m ต่ำกว่าปกติ (CKD stage 5)
        
        วันที่ 14/12/63 พบโปรตีนในปัสสาวะ Albumin = 4+
    - - ประเมินสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง
        
        สังเกตและบันทึกอาการแสดงของเสียคั่งในร่างกาย (Disequilibrium syndrome) เช่น ปัสสาวะน้อย กระสับกระส่าย ปวดศีรษะ
        ระดับความรู้สึกตัวลดลง หอบเหนื่อย คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย ความดันโลหิตสูง ชีพจรช้าลง
        
        ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ BUN Creatinine อยู่ในเกณฑ์ที่แพทย์รับได้
        
        ระดับ pitting edema ลดลงหรือไม่มีเลย
    - - ของเสียในร่างกายลดลง ไม่เกิดอันตรายจากของเสียคั่ง
    - - ประเมินสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมงและระดับความรู้สึกตัว สังเกตเพื่อประเมินอาการผิดปกติ
        
        สังเกตอาการของเสียคั่งในร่างกาย ได้แก่ ปัสสาวะออกน้อย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย บวม คันตามตัว หอบเหนื่อย ความดันโลหิตสูง
        เพื่อช่วยประเมินความรุนแรงของของเสียคั่งในร่างกายและรายงานแพทย์ให้การรักษาอย่างเหมาะสม
        
        จำกัดน้ำผู้ป่วย 800 ml/day ตามแผนการรักษาของแพทย์
        
        บันทึกปริมาณสารน้ำเข้า-ออก เพื่อประเมินภาวะสมดุลน้ำในร่างกาย ทุก 8 ชั่วโมง เพื่อประเมินความสมดุลน้ำเข้าและน้ำออก
        
        ดูแลให้ทาโลชั่นในการรักษาความชุ่มชื้นแก่ผิวหนัง และห้ามแกะบริเวณที่ลอกเป็นขุยเพราะอาจทำให้เกิดการติดเชื้อและมีแผลเพิ่มขึ้น
        
        ติดตามผล lab BUN Cr eGFR เพื่อประเมินการทำงานของไตในการกรองของเสีย
        
        รายงานแพทย์ทันที เมื่อผู้ป่วยมีอาการผิดปกติ เช่น สัญญาณชีพผิดปกติ ปัสสาวะน้อยลงหรือมีอาการบ่งชี้ว่าเกิดภาวะช็อก
    - - วันที่ 15/12/63 1. สัญญาณชีพ BT 38.7 BP 141/52 mmHg Pulse 80 RR 22 O2sat 99% 2. ไม่มีอาการของเสียคั่ง หายใจหอบเหนื่อย กระสับกระส่าย ปัสสาวะน้อย คลื่นไส้อาเจียน
      - วันที่ 14/12/63 1. ไม่มีอาการหายใจหอบเหนื่อย ปัสสาวะน้อย กระสับกระส่าย ความดันโลหิตสูง 2. สัญญาณชีพ BT 38.0 BP 126/56 mmHg Pulse 70 RR 18 O2sat 99%
      - วันที่ 16/12/63 1.ผู้ป่วยมีอาการหายใจหอบเหนื่อย มีการหายใจโดยใช้กล้ามเนื้อหน้าท้อง ไม่มีปัสสาวะน้อย ไม่มีคลื่นไส้อาเจียน
        
        สัญญาณชีพ BT 38.4 c BP 120/56 mmHg Pulse 76 ครั้ง/นาที RR 24-26ครั้ง/นาที O2sat 100%
      - วันที่ 21/12/63 1.ผู้ป่วยมีอาการหายใจหอบเหนื่อย มีการหายใจโดยใช้กล้ามเนื้อหน้าท้อง ไม่มีปัสสาวะน้อย ไม่มีคลื่นไส้อาเจียน
        
        สัญญาณชีพ BT 38.0 c BP 107/57 mmHg Pulse 68 ครั้ง/นาที RR 20-22ครั้ง/นาที O2sat 100%
  - - - ผู้ป่วยมีอาการหายใจผิดปกติ ไม่สามารถหายใจได้เองต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ มีการหายใจหอบเหนื่อย air hunger มีการใช้กล้ามเนื้อในการช่วยหายใจ
        
        ผู้ป่วยมีความดันโลหิตต่ำ
        
        มีเสมหะออกมาก
        
        กล้ามเนื้อหย่อนยานควบคุมไม่ได้ มีแผลในปาก ปากแห้ง
        
        ประเมิน Glasgow coma scale ได้ E1M3Vt
        
        ญาติของผู้ป่วยเซ็นต์ปฏิเสธการกู้ชีพ Do not resuscitate
        
        ญาติมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับการเจ็บป่วยของผู้ป่วย
        
        ผู้ป่วยมีโรคไตวายระยะสุดท้ายและโรคหัวใจล้มเหลว
        
        ประเมิน PPS ของผู้ป่วยระดับ 30%
    - - การดูแลด้านร่างกาย
        
        ปัญหาความปวด ทำกิจกรรมการพยาบาลแก่ผู้ป่วยด้วยความนุ่มนวลทุกครั้ง บอกผู้ป่วยก่อนและหลังการทำกิจกรรมการพยาบาล พูดคุยกับผู้ป่วย
        
        ปัญหาหายใจลำบาก การประเมินสัญญาณชีพ สังเกตลักษณะการหายใจ ฟังเสียงปอดของผู้ป่วย อาการซีด หรือเขียวที่เล็บ การใช้กล้ามเนื้ออื่น ๆ ช่วยหายใจ ตรวจค่าความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด O2 saturation ดูแลโดยการให้ผู้ป่วยใส่ ET-tube number 7.5 Mark 22 ต่อ Ventilator Spontaneous mode Pressure 12 PEEP 5 FiO2 0.4 ตามแผนการรักษาของแพทย์ นอนในท่านอนศีรษะสูง 30-45 องศา ดูแลให้ท่อช่วยหายใจไม่เกิดการพับงอของสาย วัดประเมิน cuff pressure ให้อยู่ในระดับ 22-32 mmHg ดูแลโดยการทำความสะอาด ET-tube เช็ดทำความสะอาดทั้งด้านในช่องปากและด้านนอกโดยใช้น้ำสะอาดไม่ให้มีคราบของเสมหะ น้ำลาย หรือ discharge เลอะที่สาย ด้านการใช้งานให้อย่ในระบบ close system ป้องกันการติดเชื้อจากการแพร่กระจายของโรค เช็คสภาพของเครื่อง ventilator ทุกวันให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และวัดประเมิน cuff pressure ให้อยู่ในระดับ 22-32 mmHg และทำการดูดเสมหะผู้ป่วยทุกครั้งเมื่อได้ยินเสียง secretion sound ก่อนการให้ได้รับอาหาร feed
        
        ปัญหาเรื่องความอ่อนล้า ดูแลให้ผู้ป่วยนอนพักผ่อนบนเตียง absolute bed rest ลดการเคลื่อนไหวที่ต้องใช้ออกซิเจนเยอะ ดูแลจัดท่านอนของผู้ป่วยโดยเปลี่ยนพลิกตะแคงท่าทุก 2 ชั่วโมง ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับ feed และดูแลให้ได้รับยา
        
        ปัญหาเรื่องท้องผูก ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับอาหาร feed ได้รับน้ำโดยมีการจำกัดน้ำเนื่องจากผู้ป่วยมีพยาธิสภาพของโรคไตวายระยะสุดท้ายและหัวใจล้มเหลว ให้ได้รับน้ำไม่เกิน 500 ml/day และมีการสวนอุจจาระผู้ป่วยเพื่อไม่ให้อุจจาระตกค้างในลำไส้และเกิดความสบายตัว
        
        5 ปัญหาผิวหนังและแผลกดทับ ทาวาสลีนบริเวณริมฝีปากที่แตกแห้ง และทาโลชั่นบริเวณแขนขาเพื่อนลดความแห้งของผิวหนัง ดูแลทำความสะอาดแผลวันละ 2 ครั้ง โดยทำความสะอาดแผลในช่วงเช้าและเย็นทำความสะอาดร่างกาย และบาดแผล อวัยวะรอบๆให้สะอาด เนื่องจากแผลอยู่ใกล้บริเวณอวัยวะสืบพันธ์จึงทำความสะอาดบริเวณอวัยวะสืบพันธ์และบริเวณใกล้เคียงให้สะอาดก่อนการทำแผล และดูแลให้ได้เปลี่ยนผ้าอ้อมสำเร็จรูปทุกครั้งเมื่อมีการถ่ายอุจจาระหรือมีการเปียกชื้นเพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อโรคไปยังแผลและลดโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ทำความสะอาดแผลด้วยวิธี sterile technique โดยใช้ไม้พันสำลีชุบ NSS 0.9% ทำความสะอาดแผล ปิดด้วย Gauze และ Top gauze เพื่อป้องกันการเสียดสีของแผล มีการใช้อุปกรณ์ช่วยเหลือเพื่อลดแรงกดบริเวณแผล เช่น เตียงลม และช่วยเหลือพลิกตะแคงตัวผู้ป่วยอย่างน้อยทุก 2 ชั่วโมงเพื่อลดการกดทับ
      - การดูแลด้านจิตใจ
        
        ดูแลโดยให้ญาติปรึกษากับสมาชิกในครอบครัวถึงความต้องการของผู้ป่วยที่อยากทำก่อนเป็นความตั้งใจ เพื่อให้ผู้ป่วยเกิดความสบายใจ สร้างสัมพันธภาพและความเชื่อมั่นในการรักษาของแพทย์ พยาบาล ดูแลประคับประคองอาการของผู้ป่วยตามแผนการรักษาของแพทย์ บอกข้อมูลต่างๆที่สามารถบอกได้ เช่น อาการแสดงโดยของผู้ป่วยให้ญาติทราบ เพื่อให้ทราบอาการของผู้ป่วยรายวัน โดยหน้าที่การบอกความก้าวหน้าของโรคและการดูแลรักษาเป็นหน้าที่ของแพทย์
      - การดูแลด้านสังคม
        
        ให้ครอบครัวและบุคคลที่ใกล้ชิดผู้ป่วยได้มีส่วนร่วมในการดูแลช่วยเหลือผู้ป่วยเพื่อส่งเสริมสัมพันธภาพทางสังคมและความรู้สึกมีคุณค่าในตนเองแก่ผู้ป่วย
      - การดูแลด้านจิตวิญญษณ
        
        มีการจัดกิจกรรมทำ Family meetingเพื่อให้บุคคลในครอบครัวได้ขออโหสิกรรม/การให้ อภัยให้ผู้ป่วยได้การปลดเปลื้องสิ่งค้างคาใจ ดูแลโดยการใช้ศาสนา เนื่องจากผู้ป่วยนับถือศาสนาพุทธ จึงมีการเปิดให้ผู้ป่วยฟังธรรมะเพื่อเป็นการช่วยให้ผู้ป่วยมีสภาพจิตใจที่ผ่อนคลาย ไม่ฟุ้งซ่าน เกิดสมาธิจดจ่ออยู่กับคำพูดทางธรรมะที่ช่วยให้เกิดความผ่อนคลาย ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ป่วยและญาติด้วยความเต็มใจเมื่อมีความต้องการ
    - - ผู้ป่วยมีความสุขสบาย
      - ญาติสามารถยอมรับความจริงได้และมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเกี่ยวกับการรักษาของผู้ป่วย และสามารถทำให้ผู้ป่วยรู้สึกมีคุณค่า
      - ผู้ป่วยสามารถเข้าสู่ช่วงระยะสุดท้ายของชีวิตได้อย่างสงบดีที่สุด
  - - - ป้องกันการติดเชื้อซ้ำ
    - - สัญญาณชีพปกติ อุณหภูมิร่างกาย 36.5-37.4 องศาเซลเซียส
        
        อัตราการหายใจ 12-22 ครั้ง/นาที
        
        อัตราการเต้นของหัวใจ 60-100 ครั้ง/นาที :
        
        O2 Saturation 95-100%
        
        สีและลักษณะปัสสาวะปกติ ไม่พบปัสสาวะขาวขุ่น มีตะกอน มีกลิ่นเหม็น มีเลือดปน
        
        บริเวณแผลไม่มีอาการปวด บวม แดงร้อน
        
        ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ WBC 5,000-10,000 เซลล์/ลบ.ซม.
        
        Eosinophil 0.4-7.2%
        
        Lymphocyte 21.1-42.7%
        
        ผล urine culture ปกติไม่พบเชื้อ
        
        ความดันโลหิต 90/60-130/80 mmHg
    - - สัญญาณชีพ อุณหภูมิร่างกายอยู่ในช่วง 38-39.4 องศาเซลเซียส
        
        ผู้ป่วยมีเสมหะสีเหลืองขาวเหนียวข้น
        
        วันที่ 14/12/63 ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ WBC = 13,450 uL
        
        Eosinophil 21.1%
        
        Lymphocyte 9.9%
        
        วันที่ 14/12/63 ผลตรวจ urine gram stain พบ Gram Positive cocci
        
        Sputum gram’s stain พบ Few Gram positive Bacili (small)
        
        วันที่ 17/12/63 ผลตรวจ Urine gram’s stain พบเชื้อ Enterococcus faecium และ candida tropicalis
        
        ผู้ป่วยมีแผลตุ่มน้ำใส Bleb บริเวณสีข้างด้านขวาและบริเวณขาหนีบ
    - - ประเมินและบันทึกสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง อุณหภูมิร่างกาย :
        
        ประเมินและบันทึกสีและลักษณะการหายใจ ปัสสาวะที่ผิดปกติ เช่น มีสีขาวขุ่น มีตะกอน ปัสสาวะมีเลือดปน
        
        ดูแลทำความสะอาดระบบต่างๆในร่างกาย
        
        ช่องปาก ดูแลทำความสะอาดโดยใช้ไม้พันสำลีเช็ดชุบน้ำยาบ้วนปาก Chorhexidine mouth wash ทำความสะอาดทั้งภายในช่องปากและบริเวณรอบๆริมฝีปาก ไม่ให้มีคราบสิ่งสกปรก และเช็ดทำความสะอาดอีกครั้งด้วยน้ำสะอาดเพื่อลดอาการแสบช่องปากและบริเวณปาก
        
        ระบบทางเดินหายใจ ดูแลบริเวณ ET-tube ทั้งด้านในช่องปากและด้านนอก โดยใช้ไม้พันสำลีชุบน้ำยาบ้วนปากทำความสะอาดบริเวณรอบๆ tube เปลี่ยนย้ายข้าง tube และเปลี่ยน Fixumull stretch ทุกวัน และดูแลสายเครื่องช่วยหายใจให้อยู่ในระบบปลอดเชื้อมากที่สุด หลีกเลี่ยงการปลดข้อต่อเครื่องช่วยหายใจโดยไม่จำเป็น หากมีการปลดข้อต่อควรเช็ดทำความสะอาดด้วยสำลีแอลกอฮอล์ทุกครั้งก่อนและหลังการปลด การดูดเสมหะทุกครั้งดูดทั้งในช่องปาก และในช่องคอ เนื่องจากสารคัดหลั่ง เสมหะที่สะสมอยู่จะลงไปในทางเดินหายใจส่วนล่างได้ และดูแลให้ดูดเสมหะในระบบทางเดินหายใจช่วงล่างให้อยู่ในระบบ Close system
        
        อวัยวะสืบพันธ์ ทำความสะอาดวันละ 2 ครั้ง หรือทุกครั้งที่มีการถ่ายอุจจาระ และปัสสาวะ
        
        ความสะอาดแผลวันละ 2 ครั้ง ด้วยวิธี Sterlie technique โดยทำความสะอาดแผลที่สะอาดก่อน
        
        แล้วจึงทำความสะอาดแผลที่สกปรกเพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อโรค :
        
        ทำความสะอาดมือก่อนและหลังการทำกิจกรรมการพยาบาลต่อผู้ป่วยทุกครั้ง
        
        ติดตามผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น WBC , Eosinophil, Lymphocyte, urine culture
    - - วันที่ 15/12/63
        1.สัญญาณชีพ BT 38.7 BP 141/52 mmHg Pulse 80 RR 22 O2sat 99%
        
        ปัสสาวะสีเหลืองใส ไม่มีตะกอน
        
        เสมหะมีสีขาวเหนียวข้น ไม่มีกลิ่น
        4.แผลไม่มีลักษณะบวมแดงร้อน
      - วันที่ 16/12/63
        
        สัญญาณชีพ BT 38.4 c BP 120/56 mmHg Pulse 76 ครั้ง/นาที RR 24-26ครั้ง/นาที O2sat 100% 2. ปัสสาวะมีสีเหลืองขุ่น มีตะกอน 3. เสมหะมีสีขาวเหนียวข้น 4. แผลไม่มีลักษณะบวมแดงร้อน
      - วันที่ 17/12/63
        
        สัญญาณชีพ BT 37.9 c BP 120/56 mmHg Pulse 78 ครั้ง/นาที RR 22-24 ครั้ง/นาที O2sat 100% 2. ปัสสาวะมีสีเหลืองขุ่น มีตะกอน 3. เสมหะมีสีขาวเหนียวข้น 4. แผลไม่มีลักษณะบวมแดงร้อน
      - วันที่ 21/12/63
        
        สัญญาณชีพ BT 38.0 c BP 107/57 mmHg Pulse 68 ครั้ง/นาที RR 20-22ครั้ง/นาที O2sat 100% 2. ปัสสาวะมีสีเหลืองขุ่น มีตะกอน 3. เสมหะมีสีขาวเหนียวข้น
  - - - ผู้ป่วยมีผื่นแดงบริเวณแขนทั้งสองข้าง
        
        มีแผลกดทับขนาด 7*6 cm. stage 2 บริเวณ coccyx
        
        แผลตุ่มน้ำใส blebs stage 1 บริเวณสีข้างด้านขวาหลายตำแหน่งบริเวณขาหนีบ ขนาด 23 cm. 2 แผลและขนาด 24 cm. 1 แผล รักแร้ และส้นเท้าขนาด 2*3 cm
    - - แผลมีการเสริมสร้างเนื้อเยื่อตื้นขึ้น เป็นสีชมพู :
        
        แผลไม่มี discharge ซึม
        
        ผิวหนังมีความชุ่มชื้น สะอาด
        
        ผื่นแดงบริเวณแขนทั้งสองข้างลดลง
    - - แผลมีลักษณะแห้งขึ้น มีสีชมพู มีเนื้อเยื่อใหม่เริ่มสร้างขึ้นตรงขอบแผล
        
        แผลมี discharge ซึมลดลง
        
        ผื่นแดงบริเวณแขนข้างขวาลดลง แขนข้างซ้ายไม่มีผื่นแดง
        
        วันที่ 17/12/63 1. แผลที่สีข้าง ขาหนีบและร่องก้นมีลักษณะแห้งขึ้น 2. แผลมี disharge ซึมลดลง
        
        วันที่ 21/12/63 1.แผลมี Discharge ซึม มีกลิ่นเหม็น
        
        มีแผลตุ่มน้ำใสเพิ่มมากขึ้นบริเวณขาหนีบและสรข้างด้านขวา
    - - ประเมินและบันทึกเกี่ยวกับแผล ขนาด ความกว้าง ความลึกของบาดแผล และบริเวณรอบๆแผล
        
        ทำความสะอาดร่างกาย และบาดแผล อวัยวะรอบๆให้สะอาด เนื่องจากแผลอยู่ใกล้บริเวณอวัยวะสืบพันธ์จึงทำความสะอาดบริเวณอวัยวะสืบพันธ์และบริเวณใกล้เคียงให้สะอาดก่อนการทำแผล และดูแลให้ได้เปลี่ยนผ้าอ้อมสำเร็จรูปทุกครั้งเมื่อมีการถ่ายอุจจาระหรือมีการเปียกชื้นเพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อโรคไปยังแผลและลดโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
        
        ทำความสะอาดแผลด้วยวิธี sterile technique โดยใช้ไม้พันสำลีชุบ NSS 0.9% ทำความสะอาดแผล ปิดด้วย Gauze และ Top gauze เพื่อป้องกันการเสียดสีของแผล :
        
        ใช้อุปกรณ์ช่วยเหลือเพื่อลดแรงกดบริเวณแผล เช่น เตียงลม และช่วยเหลือพลิกตะแคงตัวผู้ป่วยอย่างน้อยทุก 2 ชั่วโมง
        
        5 5. ส่งเสริมให้ได้รับสารอาหารที่เพียงพอ ดูแลให้ได้รับอาหาร feed สูตร 1.5:1 300 ml * 4 feed น้ำตาม 50 ml/feed ธาตุเหล็ก และโฟเลต .
  - - - ผู้ป่วยมีอาการหายใจเหนื่อยหอบ Air-hunger มีปีกจมูกบาน
        
        อัตราการหายใจของผู้ป่วยอยู่ระหว่าง 22-24 ครั้ง/นาที
        
        ผู้ป่วยมี capillary refill 4 วินาที
        
        Endrotracheal Tube ของผู้ป่วยมี cuff leak
        
        ฟังเสียงปอดพบเสียง Rhonchi
        
        ได้ยินเสียง Secretion sound ของผู้ป่วย
        
        ได้ยินเสียงกรน และมีลมออกจากปากผู้ป่วย
        
        สามารถ suction clear airway ได้มากกว่า 10 สายต่อวัน เป็นเสมหะสีเหลืองเหนียวข้น
    - - ผู้ป่วยรู้สึกตัวดี ไม่มีอาการของภาวะพร่องออกซิเจน
        เช่น หายใจหอบเหนื่อย ปลายมือปลายเท้าเขียว มีเหงื่อออก
        หัวใจเต้นเร็ว สับสนมึนงง
        
        ทางเดินหายใจโล่ง ไม่มีเสียง Secretion sound
        
        ผู้ป่วยสามารถหายใจตามเครื่อง ventilator ได้
        
        O2 saturation = 95-100%
        
        ฟังเสียงปอดไม่พบเสียง Rhonchi
        
        ไม่มี cuff pressure leak
        
        Capillary refill <2 วินาที
    - - ผู้ป่วยไม่มีภาวะพร่องออกซิเจนและได้รับออกซิเจนเพียงพอ
    - - สังเกตอาการและอาการแสดงของการขาดออกซิเจน เช่น หายใจหอบเหนื่อย ปลายมือปลายเท้าเขียว มีเหงื่อออก หัวใจเต้นเร็ว สับสนมึนงง Capillary refill > 2 วินาที เพื่อติดตามภาวะพร่องออกซิเจน
        
        ประเมินระดับความรู้สึกตัวของผู้ป่วย Glasgow coma scale เพื่อสังเกตอาการซึมลง ความผิดปกติการตอบสนองที่ช้าลงของผู้ป่วย
        
        ประเมินอาการ ลักษณะการหายใจและสัญญาณชีพ อย่างน้อยทุก 2-4 ชั่วโมง และประเมินเสียงหายใจทุก 2-4 ชั่วโมง
        
        ประเมินปอดโดยการสังเกต และฟังเสียงที่ผิดปกติ เช่น เสียง Crepitation, Rhonchi ,Stridor และเสียง wheezing
        
        ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอและเหมาะสมโดยให้ออกซิเจนทาง Endrotracheal tube with ventilater Spontaneous mode Pressure 10 PEEP 5 FiO2 0.4 และสังเกตการณ์หักพับงอของสาย เพื่อป้องกันภาวะพร่องออกซิเจน ตรวจสอบ Cuff pressure ให้ความดันอยู่ที่ 22-32 mmHg หากมีปริมาณสูงมากกว่า 32 mmHg ทำให้ความดันหลอดเลือดฝอยภายในเยื่อบุถุงลมสามารถกดผนังหลอดลมทำให้เกิดหลอดลมขาดเลือด(ischemia) เกิดแผล(Ulceration)และตาย(Necrosis) และถ้ามีปริมาณลมน้อยเกินไปทำให้มีแรงดันลบขณะหายใจเข้าทำให้หลอดลมกว้างมากขึ้น น้ำลายที่อยู่รอบๆ cuff เข้าไปในปอดได้ เมื่อมีปัญหา cuff pressure leak ให้ใช้ syringe blow ให้ความดันอยู่ในค่าที่เหมาะสม และวัด O2 saturation ของผู้ป่วยให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ 95-100%
        
        จัดท่าให้ผู้ป่วยอยู่ในท่า Fowler’s position 30-45 องศา เพื่อให้ปอดขยายตัวได้เต็มที่
        
        ดูแล suction clear airway เพื่อให้ทางเดินหายใจโล่ง ลดการอุดกั้นขอเสมหะที่ท่อทางเดินหายใจเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการหายใจ
    - - ผู้ป่วยมีอาการซึมลงไม่รู้สึกตัว ประเมิน Glasgow coma scale (GCS) = E1M3Vt
        
        ผู้ป่วยหายใจหอบเหนื่อย มีการหายใจแบบ Air hunger
        
        Suction clear airway พบเสมหะใน Endotracheal tube ลักษณะสีเหลืองเหนียวข้น สามารถ suction clear airway ได้มากกว่า 10 สายต่อวัน
        
        ผู้ป่วยสมารถหายใจตามเครื่องได้
        
        ฟังเสียงปอดพบเสียง Rhonchi
        
        Capillary refill = 4 วินาที
        
        O2 saturation = 98-100%
  - - - ผิวหนังมีความชุ่มชื้น ไม่แห้งเป็นขุย ไม่มื่นแดงตามผิวหนัง
        
        แบบประเมินความเสี่ยงพลัดตกหกล้ม Fall score มากกว่า 8 คะแนน
        
        แบบประเมินความเสี่ยงของแผลกดทับ Braden scale มากกว่า 13 คะแนน
        
        ไม่มีภาวะแทรกซ้อนเพิ่มขึ้น เช่น Hypostatic pneumonia
    - - ดูแลไม่ให้เกิดข้อยึดติด
        
        ประเมินอาการอ่อนแรงของแขนขา Motor power โดยเปรียบเทียบขาทั้งสองข้าง
        
        ดูแลบริหารกล้ามเนื้อและข้อต่างๆโดยการทำ Passive Rehabilitation exercise วันละ 1-2 รอบ ท่าละ 10-20 ครั้ง ทำด้วยความนุ่มนวลเพื่อช่วยเคลื่อนไหวข้อลดการติดแข็ง
        
        พลิกตะแคงตัวผู้ป่วยอย่างน้อยทุกๆ 2 ชั่วโมง
        
        ใช้ผ้าและหมอนเล็กๆหนุนบริเวณข้อสะโพกและวางให้อยู่ในแนวที่ถูกต้อง ปลายเท้าไม่หมุนผิดรูป
        
        ป้องกันภาวะทุพโภชนาการ
        
        ดูแลไม่ให้สาย NG tube เลื่อนหลุดจากตำแหน่ง marker โดยการติดพลาสเตอร์ติดไว้กับจมูกไม่ให้เลื่อนหลุด และควรเปลี่ยนพลาสเตอร์ทุกวันวันละ 1 ครั้ง
        
        จัดท่านอนศีรษะสูง high fowley’s position ก่อนทำการ feed อาหารและในท่าเดิมนาน 30 นาทีเพื่อป้องกันการสำลักและกรดไหลย้อน
        
        ตรวจเช็ค gastric content ก่อน feed ทุกครั้ง หากมี gastric content มากกว่า 50 cc ให้เลื่อนมื้อถัดไปก่อน หลักจากนั้น 30 นาทีแล้วจึง feed หากยังมี gastric content อีก มากกว่า 50 cc ให้เลื่อนอาหารมื้อนั้น และสังเกตสี content หากมีสีผิดปกติ
        
        ดูแลให้ได้รับ feed สูตร 1.5:1 300 ml * 4 feed น้ำตาม 50 ml/feed โดยเปิด flow ไม่ให้อาหารไหลเร็วและไม่ช้าเกินไป เนื่องจากผู้สูงอายุมีความสามารถในการย่อยอาหารประสิทธิภาพไม่ดีเท่ากับคนวัยรุ่น
        
        ดูแลการหายใจ
        
        ดูแลให้ได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอและเหมาะสม on ET tube number 7.5 Mark 22 ต่อ Ventilator Spontaneous mode Pressure 10 PEEP 5 FiO2 0.4
        
        ดูแลสายไม่ให้สายดึงรั้ง ป้องกันการเลื่อนหลุดของท่อช่วยหายใจ โดยติด Fixomull stretch ให้เหมาะสม
        
        ดูแลความสะอาด ET-tube โดยเปลี่ยน Fixomull stretch ทุกวัน และสลับข้าง ET-tube ทุกวันเพื่อป้องกันการเกิดแผลกดทับบริเวณมุมปาก
        
        สังเกตไม่ให้ ET-tube หัก พับหรือหลุดออกจากข้อต่อที่เชื่อมจาก Ventilator
        
        suction clear airway ให้ผู้ป่วยเพื่อป้องกันการอุดกั้นของเสมหะและให้ทางเดินหายใจโล่ง ดูแลให้อยู่ในระบบ Close system เพื่อป้องกันการติดเชื้อและแพร่กระจายของเชื้อโรค และดูดเสมหะเพื่อป้องกันการเกิด Hypostatic pneumonia จากการคั่งค้างเสมหะในปอด คือ มีภาวะปอดอักเสบที่เกิดจากเสมหะคั่งในหลอดลมและปอดในคนที่ไม่สามารถไอได้อย่างมีประสิทธิภาพ
        
        วัด cuff pressure ทุก 8 ชั่วโมง ให้ความดันอยู่ที่ 22-32 mmHg หากมีปริมาณสูงมากกว่า 32 mmHg ทำให้ความดันหลอดเลือดฝอยภายในเยื่อบุถุงลมสามารถกดผนังหลอดลมทำให้เกิดหลอดลมขาดเลือด(ischemia) เกิดแผล(Ulceration)และตาย(Necrosis) และถ้ามีปริมาณลมน้อยเกินไปทำให้มีแรงดันลบขณะหายใจเข้าทำให้หลอดลมกว้างมากขึ้น น้ำลายที่อยู่รอบๆ cuff เข้าไปในปอดได้
    - - ดูแลภาวะแทรกซ้อนให้ดีขึ้นและป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนเพิ่มขึ้น
    - - ประเมิน Glasglow coma scale = E1M3Vt (ไม่ลืมตา แขนขาเหยียดงอเข้าหาลำตัว ใส่ท่อช่วยหายใจ)
        
        Motor power แขนซ้าย = 0 คะแนน Motor power แขนขวา = 0 คะแนน
        
        Motor power ขาขวา = 0 คะแนน Motor power ขาซ้าย = 0 คะแนน
        
        ผู้ป่วยเริ่มมีข้อติดแข็งบริเวณนิ้วมือ ข้อศอก ข้อเข่าทั้งสองข้าง
        
        ผู้ป่วย Bed ridden 3 เดือน
        
        ผู้ป่วยไม่สามารถช่วยเหลืองตัวเองได้ในกิจวัตรประจำวัน
        
        ประเมิน Barden score = 6 คะแนน มีความเสี่ยงสูงมาก (Very high risk)
- - - - ET-tube ต่อ ventilator leak
      - ผู้ป่วยมีเสมหะเหนียวข้นสีขาวหนืด
      - ผู้ป่วยมีไข้สูง 38.0 c
      - ผู้ป่วยมีปัญหาการหายใจ on ET tube number 7.5 Mark 20 ต่อ Ventilator Spontaneous mode Pressure 12 PEEP 5 FiO2 0.4
      - มีแผลกดทับที่ร่องก้น ขนาด 7*6 cm stage 2 และแผลตุ่มน้ำใส Blebs ที่สีข้างด้านขวาและบริเวณขาหนีบ
      - บวมที่แขนขวาและซ้ายกดบุ๋มระดับ 1+
      - ผู้ป่วยไม่สามารถรับประทานอาหารเองได้ on NG tube no.16
      - ผู้ป่วยไม่สามารถปัสสาวะได้เอง
      - ผู้ป่วยติดเตียง ไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้ แขนบวม ขาลีบ ข้อยึดติด
      - ผิวหนังแห้งทั่วร่างกาย
  - - - วันที่ 16/12/63
      - ET-tube ต่อ ventilator leak
      - ผู้ป่วยมีเสมหะเหนียวข้นสีขาวหนืด
      - ผู้ป่วยมีปัญหาการหายใจ มีอาการหายใจหอบเหนื่อย มีการใช้กล้ามเนื้อในการช่วยหายใจ on ET tube number 7.5 Mark 20 ต่อ Ventilator Spontaneous mode Pressure 12 PEEP 5 FiO2 0.4
      - ผู้ป่วยมีอาการติดเชื้อมีไข้สูงช่วง 37.8 – 38.9 c มีปัสสาวะสีเหลืองขุ่น มีตะกอน
      - มีแผลกดทับที่ร่องก้น ขนาด 7*6 cm stage 2 และแผลตุ่มน้ำใส Blebs ที่สีข้างด้านขวาและบริเวณขาหนีบ
      - บวมที่แขนขวาและซ้ายกดบุ๋มระดับ 1+
      - ผู้ป่วยไม่สามารถรับประทานอาหารเองได้ on NG tube no.16
      - ผู้ป่วยไม่สามารถปัสสาวะได้เอง
      - ผู้ป่วยติดเตียง ไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้ แขนบวม ขาลีบ ข้อยึดติด
      - ผิวหนังแห้งทั่วร่างกาย
- - - - สาเหตุ
      - โรคไตที่เกิดจากกรรมพันธุ์ซึ่งสามารถถ่ายทอดจากพ่อแม่ไปสู่ลูกหลานได้ อาการมักจะเกิดตั้งแต่วัยรุ่น เช่น โรค Polycystic kidney disease
      - โรคที่พิการแต่กำเนิด มักจะทำให้การขับปัสสาวะถูกอุดกั้นซึ่งจะก่อให้เกิดทางเดินปัสสาวะอักเสบ หากอุดกั้นมากๆไตจะบวมและอาจจะเกิดไตวาย
      - โรคนิ่วในทางเดินปัสสาวะ ผู้ที่เป็นโรคจะมีอาการปวดเอว ปัสสาวะสีแดง
      - ต่อมลูกหมากโตมีการอุดกั้นของปัสสาวะทำให้ไตวายได้
      - กลุ่มอาการเนโฟรติก (Nephrotic syndrome) เป็นกลุ่มอาการที่เกิดจากไตหรือเกิดจากร่างกายมีโรคอื่น พบว่ามี Albumin
        ซึ่งปกติจะไม่สามารถซึมผ่านท่อไตได้ แต่ผู้ป่วยกลุมนี้จะมีการรั่วของไตทำให้มี Albumin รั่วออกจากไตทำให้เกิดการบวม ไขมันในเลือดสูง
      - โรคไตที่เกิดจากโรความดันโลหิตสูง
      - โรคไตที่เกิดจากเบาหวาน
      - ยาแก้ปวดหรือสารพิษบางชนิด
      - โรคติดเชื้อในระบบ (Systemic infection) เช่น pyelonephritis, tuberculosis
      - โรคหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular disease) เช่น hypertension, arteriosclerosis/glomerulosclerosis
      - โรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะซ้ำหลายครั้ง
      - อายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป
      - การแบ่งสาเหตุเป็นกลุ่มของโรคไต
      - • Glomerular diseases Diabetic kidney disease, autoimmune diseases, systemic infections, drugs, neoplasia
      - • Vascular diseases renal artery disease, hypertension, microangiopathy
      - • Tubulointerstitial diseases urinary tract infection, stones, obstruction, drug toxicity
      - • Cystic diseases polycystic kidney disease
      - • Diseases in the transplant Allograft nephropathy, drug toxicity, recurrent diseases, transplant glomerulopathy
  - - - การเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมี
      - 1.1 Hyperkalemia เนื่องจากอัตราการกรองและความสมารถในการขับ K ลดลง รวมทั้งภาวะ metabolic acidosis ทำให้ K ในเลือดสูง
      - 1.2 Hyponatremia
      - 1.3 ภาวะกรดจากการเผลาญ (Metabolic acidosis)
      - 1.4 Hypermagnesemia
      - 1.5 Hyperphosphatemia
      - 1.6 ภาวะโลหิตจาง (Anemia)
      - 1.7 ภาวะของเสียคั่ง
      - การเปลี่ยนแปลงตามระบบต่างๆ
      - 2.1 ระบบประสาท เกิดจากพิษของ uremia และความไม่สมดุลของน้ำ อิเล็กโทรไลต์ และกรด-ด่าง ทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ง่วงซึม มือสั่น สับสน ความรู้สึกตัวลดลง กล้ามเนื้อกระตุก ชัก และไม่รู้สึกตัว บางรายอาจมีอาการผิดปกติของระบบประสาทส่วนปลายทั้งการรับความรู้สึก(sensory) และการสั่งการ (motor) มักเริ่มที่ขาทั้งสองข้าง ทำให้รู้สึกปวดแสบปวดร้อน ชา กดเจ็บ ต่อมามีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง เท้าตก สูญเสีย tendon reflex
      - 2.2 ระบบหัวใจและหลอดเลือด การคั่งของโซเดียมและน้ำ การหลั่งของ renin เพิ่มขึ้น ทำให้ผู้ป่วยมีความดันโลหิตสูง ส่งผลให้เกิดอันตรายต่อเยื่อบุหลอดเลือดโดยตรง และมีการรวมตัวกันของ lipoprotein ที่ผนังหลอดเลือดมากขึ้นทำให้เกิดภาวะแข็งตัวของหลอดเลือด (Atherosclerosis) ได้ง่าย ร่วมกับมีความผิดปกติของระดับไขมันในเลือด ทำให้เกิดภาวะหัวใจขาดเลือดได้ การเกิดภาวะน้ำเกินและความดันโลหิตสูงทำให้ผู้ป่วยเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวได้ นอกจากนั้นความไม่สมดุลของอิเล็กโทรไลต์โดยเฉพาะภาวะ Hyperkalcemia และ Hypocalcemia ทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ
      - 2.3 ระบบหายใจ ภาวะน้ำท่วมปอดเกิดได้จากการมีน้ำเกินและหัวใจล้มเหลว หลอดเลือดฝอยในปอดมี permeability สูงขึ้น ทำให้ผู้ป่วยมีอาการหอบเหนื่อย หายใจลำบาก ไอมีเสมหะเป็นฟองสีชมพู ชีพจรเบาเร็ว ตัวเย็นชื้น เขียว ภาวะ uremia ทำให้ผู้ป่วยอ่อนเพลีย ซึม การไอถูกกด Pulmonary macrophage ทำงานลดลง เกิดปอดอักเสบติดเชื้อได้ เรียกว่า uremia pneumonitis เมื่อเกิดนานๆจะทำให้เกิดพยาธิสภาพในเนื้อปอดหรือเรียกว่า uremic lung นอกจากนี้อาจพบอาการหายใจหอบลึกจากภาวะเลือดเป็นกรด
      - 2.4 ระบบโลหิต นอกจากภาวะโลหิตจางที่มีสาเหตุสำคัญมาจากการขาด erythropoiethin ที่ทำหน้าที่กระตุ้นไขกระดูกในการสร้างเม็ดเลือดแดง และเป็นกรดจากการเผาผลาญ พิษของ uremia ยังมีผลต่อการสร้างเม็ดเลือดแดง และผนังของเม็ดเลือดแดง ทำให้เม็ดเลือดแดงแตกง่ายขึ้น ผู้ป่วยติดเชื้อง่ายจากการขาดสารอาหารและระบบภูมิคุ้มกันถูกกด เม็ดเลือดขาวทำงานได้น้อยลง
      - 2.5 ระบบทางเดินอาหาร อาการที่พบบ่อยสุด คือ คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร สะอึก จากภาวะ uremia ผู้ป่วยจะมีกลื่นปากที่มีลักษณะเฉพาะเรียกว่า uremic fetor เกิดจากการแตกตัวของ urea และ แบคทีเรียย่อยสลายกลายเป็นแอมโมเนียบริเวณลำไส้ และยังทำให้เกิดการระคายเคืองทางเดินอาหาร มีแผลตามเยื่อบุทางเดินอาหารต่างๆทั้งในปาก กระเพาะอาหาร ลำไส้ เลือดออกในทางเดินอาหาร ท้องเสียจากโพแทสเซียมในเลือดสูง หรือท้องผูกจากการถูกจำกัดน้ำ จำกัดกิจกรรมและได้รับอาหารที่มีกากใยน้อย
      - 2.6 ระบบสืบพันธ์ ทำให้มีการสร้างฮอร์โมนเพศลดลง ร่วมกับภาวะทางจิตใจและอารมณ์ซึ่งเป็นผลจากการเจ็บป่วย ทำให้มีความรู้สึกทางเพศลดลง เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ
      - 2.7 ระบบผิวหนัง มีภาวะซีดจากภาวะโลหิตจาง มีการคั่งค้างของ urochrome pigment ซึ่งปกติถูกขับออกทางไต ทำให้ผิวหนังมีสีเหลือง-น้ำตาล พาของ uremia และการเสื่อมทางระบบประสาททำให้ผิวหนังแห้ง คัน พบจุดจ้ำเลือด ผิวหนังเขียวช้ำง่าย เนื่องจากความผิดปกติของเกล็ดเลือดและหลอดเลือดฝอยเปราะแตกง่าย ในระยะท้ายที่มีภาวะ uremia รุนแรง อาจพบ uremic frost ซึ่งเกิดจากการขับ urea ทางผิหนังทำให้ผมร่วง แตกปลาย เล็บแห้งและเป็นร่อง
      - 2.8 ระบบกล้ามเนื้อและกระดูก ความผิดปกติของระดับแคลเซียมและฟอสเฟตในเลือด และการหลั่งฮอร์โมนพาราธัยรอยด์ ทำให้เกิดความผิดปกติของกระดูก เรียกว่า uremic osteodystrophy
      - มีอาการปวดกระดูก กดเจ็บ โครงสร้างกระดูกอ่อนแอลง กระดูกบาง หักง่าย
  - - - การซักประวัติ ประวัติการเป็นโรคไตมาก่อน เช่น การติดเชื้อที่ไต นิ่ว การอุดกั้นทางเดินปัสสาวะ ประวัติเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ภาวะหัวใจวาย
      - การตรวจร่างกาย
      - จากการตรวจวัดสัญญาณชีพ มักพบความดันโลหิตสูง ในรายที่มีภาวะไม่สมดุลน้ำและอิเล็กโทรไลต์ เลือดเป็นกรด อาจพบชีพจรเต้นเร็ว ไม่สม่ำเสมอ หายใจหอบลึกตรวจพบอาการตามระยะของโรค เช่น ซีด มีผิวหนังแห้งคัน มีจ้ำเลือดตามตัว หลอดเลือดที่คอโป่งพอง มีเสียง crepitation บริเวณชายปอดทั้ง 2
        ข้างจากน้ำท่วมปอด มีอาการบวม ท้องผูกท้องเสีย มีแผลในปาก ปวดศีรษะ กล้ามเนื้อกระตุก
      - การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
      - การตรวจเลือดหาระดับ BUN (คำปกติ 7-20 mg/dl) urea เป็นไนโตรเจนที่เกิดจากการเผาผลาญโปรตีนและขับออกจากร่างกายทางไต ระดับ urea ในเลือดสามารถใช้ในการประเมินการทำงานหางไตได้แต่ไม่สมบูรณ์ เนื่องจากมีปัจจัยอื่นที่มีผลต่อการเพิ่ม BUN เช่น การติดเชื้อในกระแสเลือด ไข้ ภาวะขาดน้ำ หัวใจล้มเหลว รับประทานอาหารโปรตีนสูง และเลือดออกในทางเดินอาหาร เป็นต้น
      - การตรวจเลือดหาระดับ Serum Creatinine (SCr) (ค่าปกติ ชาย 0.67-1.27 mg/dl และหญิง
      - 0.51-0.95 mg/dl) SCr เป็นของเสียจากการสลาย ครีอะตินฟอสเฟตในกล้ามเนื้อลายถูกขับออกทางไตอย่างคงที่ ระดับของ Serum Cr ไม่เปลี่ยนแปลงตามปัจจัยภายนอกอื่นเหมือน BUN ยกเว้นกรณีเป็นโรคที่มีความผิดปกติของกล้ามเนื้อลาย ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อค่า Serum Cr ได้ ดังนั้น Serum Cr จึงเป็นตัวชี้วัดการทำงานของไตได้ดีกว่า BUN ปกติในเพศชายมักมีค่า Serum Cr สูงกว่าเพศหญิงเล็กน้อยทั้งนี้ขึ้นกับมวลกล้ามเนื้อ ที่สำคัญคือในระยะแรกของไตวาย
      - อาจพบค่า SCr อยู่ในเกณฑ์ปกติได้ เนื่องจากค่า SCr ที่สูงค่าปกติพบได้ต่อเมื่อหน่วยไตถูกทำลายไปแล้ว มากกว่าร้อยละ 50
      - 3) การประเมินค่าอัตราการกรองของไต (ค่าปกติ 100-150 ml/min/1.73 m) การประเมินค่าอัตรา
      - การกรองของไตเพื่อประเมินการทำงานของไตและระบุระยะของโรค ซึ่งมีสูตรในการคำนวณหลายสูตรที่อาจให้ที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ดี National Kidney Foundation และข้อแนะนำเวชปฏิบัติของสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย ได้แนะนำให้คำนวณค่า Estimated glomerular filtration rate (eGFR) ซึ่งเป็นอัตราการกรองของไตโดยประมาณ ด้วยสูตร CKD-EPI (Chronic Kidney Disease Epidemiology Collaboration) ปี ค.ศ. 2009 โดยใช้ค่า SCr เพศ และอายุ ในการคำนวณ
      - 4) การตรวจปัสสาวะ หาการมีโปรตีนรั่วเพื่อคัดกรองผู้ป่วย โดยใช้แถบสีจุ่ม (dipstrick) หากพบว่า มิมากกว่า 1+ ขึ้นไป ควรตรวจซ้ำอีก 1-2 ครั้งใน 6 เดือน หากให้ผลบวก 2 ใน 3 ครั้ง แสดงว่ามีโปรตีนรั่วทางปัสสาวะจริง ถือว่าไตผิดปกติ และหากตรวจแถบสีจุ่ม (dipstrick) ได้ผลลบ ควรตรวจหาภาวะ Microalbuminuria ด้วยแถบสีจุ่มสำหรับ microalbumin (microalbumin dipstrick) หากให้ผลบวก ควรตรวจซ้ำอีก 1-2 ครั้งใน 6 เดือน หากให้ผลบวก 2 ใน 3 ครั้ง แสดงว่ามีอัลบูมินรั่วทางปัสสาวะจริง ให้ถือว่าไตผิดปกติ นอกจากนี้ควรตรวจปัสสาวะหาการมีเม็ดเลือดแดง หากพบว่ามีภาวะ hematuria ให้ถือว่าไตผิดปกติเช่นกัน
      - 5) การตรวจอื่น ๆ
      - การตรวจดูกายวิภาคและการทำหน้าที่ของไตด้วยวิธีต่างๆ เช่น การทำ plain KUB, renal CT scan,
      - renal MRI, ultrasonography หรือการทำ renal biopsy เพื่อตรวจพยาธิวิทยาของชิ้นเนื้อไต อาจจำเป็นในผู้ป่วยบางราย นอกจากนั้นการตรวจทางห้องปฏิบัติการอื่น ๆ เพื่อประเมินความผิดปกติ เช่น การตรวจเลือตหาภาวะไม่สมดุลของอิเล็กโทรไลต์ กรด-ต่าง การแข็งตัวของเลือดผิดปกติ ก็มีความจำเป็นด้วยเช่นกัน สามารถบ่งชี้ถึงสภาวะร่างกาย