Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลผู้ที่มีความผิดปกติทางด้านความคิดและการรับรู้ :
…
การพยาบาลผู้ที่มีความผิดปกติทางด้านความคิดและการรับรู้ :
การพยาบาลผู้ป่วยจิตเภท (Nursing intervention in Schizophrenia)
-
-
อาการและอาการแสดง
1.1 รูปแบบความคิดผดิปกติ (Disorder of form) ผู้ป่วยโรคจิตเภทจะมีปัญหาในด้านการคิด ขาดการเชื่อมโยงเหตุผล ไม่สามารถลำดับความคิดตามขั้นตอนของเหตุการณ์ดังนั้น เวลารับฟังผู้ป่วยพูด หรือตอบคำถาม จึงไม่ค่อยเข้าใจ หรือฟังไม่รู้เรื่อง เพราะ คำพูดจะไม่ต่อเนื่องกันเป็นเรื่องราว จะเปลี่ยนจากเรื่องหนึ่งไปเป็นอีกเรื่องหนึ่ง มักพูด ไม่ตรงจุด อาจพดูซ้ำ ๆ โดยไม่มีความหมาย บางรายพูด สัมผัสอักษรแต่ไม่ได้ใจความหรือเพิ่มเติมรายละเอียดซึ่งไม่เกี่ยวกับเรื่องที่พูด ความผดิปกตินี้เรียกว่า loosening of association
1.2 เนื้อหาความคิดผิดปกติ(Disorder of content) ความผิดปกติของการคิด โดยขาดการเชื่อมโยงกับสิ่งที่เป็นจริง และเหตุผล ผู้ป่วยจะมีความคิด เข้าหาตนเอง(autism) ไม่มองสิ่งแวดล้อม จนในที่สุดมีอาการหลงผิด (delusion)
-
-
-
-
-
-
- ความผิดปกติของการรับรู้ (Disorder of perception)
-
-
-
2.2 Visual hallucination อาการประสาทหลอนทางการมองเห็น ภาพหลอน เห็นภาพเป็นคนหรือสิ่งของ บางรายเห็นภาพคนจะมาทำร้าย
-
อาการที่พบได้บ่อยได้แก่ อาการประสาทหลอน (Hallucination) เป็นการรับรู้โดยที่ไม่มีสิ่งมากระตุ้น จากภายนอก ได้แก่
- ความผิดปกติด้านอารมณ์(Disorder of affect)
-
3.1 Apathy ผู้ป่จะมีอารมณ์เฉยเมยไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบต่อการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม เช่น ผู้ป่วยไม่แสดงอารมณ์ใดๆออกมาให้เห็นเลยทั้งๆที่เพิ่งทราบว่าญาติสนิทถึงแก่กรรม
ความผิดปกติด้านอารมณ์จะเป็นอาการสำคัญ แต่การแปลผลค่อนข้างยาก นอกจากรายที่มีอาการรุนแรงผู้ป่วยโรคจิตเภทจะมีลักษณะทางอารมณ์ผิดปกติ 2 ชนิด คือ
- ความผิดปกติของพฤติกรรมการเคลื่อนไหว(Disorder of motor behavior)
มักพบในผู้ป่วยที่เป็นรุนแรงและเรื้อรัง หรือเฉียบพลัน อาการที่พบบ่อย คือ Steriotypy เป็นการกระทำซ้ำๆเกิดขึ้นเองเรื่อยๆและสม่ำเสมอ เช่น นั่งโยกตัวตลอดเวลา Catalepsy ผู้ป่วยอยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนานๆ Waxy flexibility คล้าย Catalepsy ถ้าจับให้ผู้ป่วยอยู่ในท่าใดท่าหนึ่ง ก็จะคงอยูในท่านั้นเป็น เวลานาน Stupor ผู้ป่วยไม่มีการเคลื่อนไหว Mutism ผู้ป่วยไม่พูดมักพบร่วมกบอาการ stupor เป็นต้น
การจำแนกชนิดของโรคจิตเภท
- Simple Type ผู้ป่วยขาดความสัมพันธ์กับบุคคลภายนอกและสิ่งแวดล้อมภายนอกโดยสิ้นเชิง บุคลิกภาพเปลี่ยนไปในทางเสื่อม เก็บตัวอยู่ตามลำพังคนเดียว ละเลยกิจวัตรประจำวัน อารมณ์เฉยเมย ไม่คิดว่าตนผิดปกติไม่มีความคิดหลงผิด ประสาทหลอน มักเกิดกับวัยรุ่น ค่อยเป็นค่อยไป ถ้าญาติไม่ดูแลหรือพามารักษาอาจประพฤติผิด เช่น ลักขโมย เป็นโสเภณีหรือเป็นคนจรจัด
- Disorganized Type (Hebephenic) ผู้ป่วยจะมีอาการประสาทหลอน และความคิดหลงผิดมี ความคิด และคำพูดไม่สอดคล้องกัน (incoherence) อารมณ์เฉยเมย apathy หรือ inappropriate ไม่สอดคล้องกับเหตุการณ์ผู้ป่วยเริ่มมีอาการตั้งแต่อายุยังน้อย และเกิดขึ้นช้า ๆ มักมีความผิดปกติทางบุคลิกภาพอย่างมากมาก่อน โรคจิตเภทชนิดนี้มักเป็นเรื้อรังไม่ค่อยหาย และเป็นภาระของสังคม ต้องมีคนคอยดูแลตลอดชีวิต
- Catatonic Type ผู้ป่วยมีอาการสำคัญ คือ มีความผิดปกติที่พฤติกรรมการเคลื่อนไหว อาจเป็นได้ทั้งแบบไม่เคลื่อนไหว (stupor) ปฏิเสธต่อต้าน (negativism) อยูในท่าเดิม (rigidity) หรือ ตื่นเต้นวุ่นวาย (excitement)
- Paranoid Type ผู้ป่วยจะมีอาการหวาดระแวง หลงผิด มีอาการโกรธง่าย ก้าวร้าว ชอบทะเลาะวิวาทกับผู้อื่นผู้ป่วยประเภทนี้การดำเนินชีวิตไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงมากนักอาการค่อนข้างคงที่ การพยากรณ์โรคมักจะดีกว่าโรคจิตเภทชนิดอื่น
- Undifferentiated Type ผู้ป่วยประเภทนี้มีอาการของโรคจิตเภทไม่ชัดเจน ไม่สามารถจัดเข้าประเภทอื่น ๆ ได้มีอาการหลงผิด ประสาทหลอน ความคิดไม่ปะติดปะต่อกัน
- Residual Type ผู้ป่วยโรคจิตเภท ชนิดนี้จะเคยเป็นโรคจิตเภทชนิดใดชนิดหนึ่งมาก่อนแล้วอาการดีขึ้นแต่ยังมีอาการบางอยางหลงเหลืออยู่เช่น ชอบนังแยกตัวอยู่คนเดียว สีหน้าเฉยเมย ไม่ค่อยแสดงความรู้สึกขาดความคิดริเริ่ม มักคิดและพูดอะไรแปลก ๆ พบว่ายังมี loosening of association อยู่บ้างไม่มีอาการหลงผิด ประสาทหลอน มักกลายเป็นผู้ป่วยเรื้อรัง
การวินิจฉัยโรค
-
-
-
3.มีอาการดังต่อไปนี้ (1) มีความผิดปกติของรูปแบบของความคิด (2) มีอาการหลงผิด (3) มีอาการประสาทหลอน (4) พฤติกรรมของผู้ป่วยผิดปกติ (5)มีอารมณ์แบบ apathyหรือ inappropriate และ (6) insight เสีย
4.ถ้ามีอาการ Schneider’s first rank symptom เช่น ผู้ป่วยคิดว่าคนอื่นได้ยินความคิดของตน จะช่วยสนับสนุนการวินิจฉัยโรค
-
-
-
การบำบัดรักษา
1.Psychotherapy, Individual, Group, Behavioral, Supportive, Family Therapy อาจเลือกใช้ตามความเหมาะสม
2.Milieu Therapy เน้นที่การจัดสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม ลดภาวะเครียด พัฒนาความสามารถในการปรับตัวรายบุคคล
4.Somatic or Electroconvulsive Therapy ใช้ในรายต่อไปนี้
4.1 Severe Schizophrenia ผู้ป่วยรายที่ใช้ยาไม่ได้ผล หรือเป็นชนิด catatonia แบบ stupor หรือ excitement ผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้นเร็วมาก ภายหลังทำ 2-3 ครั้ง โดยให้ยาจิตบำบัดร่วมไปด้วย
4.2 ผู้ป่วยมีอาการซึมเศร้าอย่างมากร่วมด้วย บางรายมีอารมณ์เศร้ารุนแรงและคิดฆ่าตัวตายการรักษาด้วยกระแสไฟฟ้าจะช่วยลดอาการซึมเศร้าและป้องกันการฆ่าตัวตายได้
4.3 ผู้ป่วยที่มีอาการคลุ้มคลั่งมาก ไม่สามารถควบคุมด้วยยา ทำสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ทำ 6-12สัปดาห์ต่อการรักษาครั้งหนึ่ง
3.การรักษาด้วยยา เช่น ยา Antipsychotic drugs, Antiparkinson agents อาจต้องเตรียมไว้เพื่อลด อาการ extra pyramidal side effect ของยา
การประยุกต์ใช้กระบวนการพยาบาลในการพยาบาลผุ้ป่วยจิตเภทพยาบาลจำเป็นต้องรวบรวมข้อมูลของผู้ป่วยตลอดเวลาที่อยูในโรงพยาบาล ดังนี้
1.ด้านสุขภาพทั่วไป ผู้ป่วยที่มีคิดผิดปกติอาจมีความบกพร่องในการดูแลสุขภาพ รับฟังปัญหาของผู้ป่วย ตรวจร่างกาย บริเวณผิวหนัง รอยแผล รอยเข็มจากการใช้ยาฉีด ถ้าผู้ป่วยใช้ยารักษาโรคจิต (antipsychotics) อยู่ควรสอบถามชนิดของยา ปริมาณและระยะเวลาที่ใช้เพราะพยาบาลจำเป็นต้องแยกว่าพฤติกรรมของผู้ป่วยเป็นผลจากยาที่ได้รับหรืออาการทางจิตโดยแท้จริง นอกจากนี้ต้องรวบรวมข้อมูลการใช้ยาประเภทอื่นนอกเหนือจากแพทย์สั่ง เช่น ยาเสพติดต่างๆ
2.ด้านโภชนาการ อาจมีภาวะทุโภชนาการได้เพราะจัดการตนเองไม่ได้ในเรื่องของอาหาร อาจหวาดระแวงไม่ยอมรับประทานอาหาร หรือในรายที่แยกตัวมากจะไม่สนใจ ไม่รับรู้ความรู้สึกหิวหรืออยากอาหารแต่อาการเหล่านี้จะดีขึ้นเมื่อได้รับยารักษาโรคจิตไประยะหนึ่ง ผู้ป่วยส่วนมากมักมีน้ำหนักมากขึ้น เพราะยาไปกระตุ้นความอยากอาหาร
3.ด้านการขับถ่าย ผู้ที่มีอาการทางจิตมาก อาจจะไม่รู้วาตนเองต้องไปห้องน้ำ หรือมีอาการ disorientation ไปห้องน้ำไม่ถูกหรือสับสน ซึ่งปัญหาส่วนมากเกิดขึ้นเพราะอาการทางจิต
4.ด้านกิจกรรมประจำวันมี 2 ด้าน คือ
4.1 Underactivity ไม่ทำค่อยอะไร หรือไม่เคลื่อนไหว มักแยกตัว ไม่สนใจสิ่งแวดล้อมไม่สนใจในกิจวัตรประจำวันของตนเองจะนามาซึ่งปัญหาและอาการทางจิตอื่นๆ
4.2 Overactivity ไม่อยู่เฉย เดินไปมา นั่งไม่ติด จะเป็นผู้ป่วยที่พูดเสียงดัง พูดเร็ว เคลื่อนไหว มาก ผู้ป่วยกลุ่มนี้เสี่งกับการมีพฤติกรรมรุนแรง
5.ด้านการพักผ่อน-นอนหลับ อาการนอนไม่หลับติดต่อกันหลายวันในผู้ป่วยจิตเภทมักเป็นอาการนำเริ่มแรกก่อนมีอาการทางจิตอื่นๆ พยาบาลควรพิจารณาว่ามีอาการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ในด้านการนอนหลับและการพักผ่อนของผู้ป่วยก่อนมีอาการทางจิตชัดเจน และหลังจากอาการทางจิตสงบลง
6.ด้านความคิดและการรับรู้ ส่วนมากผู้ป่วยมักมีความบกพร่องในการคิดและการตัดสินใจ แม้ในสถานการณ์ง่ายๆ ความคิดที่แปรปรวนมากขึ้นมักจะเป็นเรื่องของความหลงผิด มีความคิดไม่เหมือนคนอื่น ไม่สามารถคิดให้เป็นนามธรรมได้ผู้ป่วยมักมีอาการหลงผิดร่วมกับการรับรู้ต่อสิ่งเร้าบกพร่อง อาจทำให้มีหูแว่ว หรือเห็นภาพหลอน ซึ่งอาจสังเกตเห็นผู้ป่วยพูดคนเดียว มีกิริยาเหมือนเงี่ยหูฟังคนพูดที่ไม่มีตัวตน
- ด้านการรับร้ตนเอง ผู้ป่วยมีความบกพร่องในการรับรู้ตนเอง เช่น ผู้ป่วยคิดว่าตนเอง มีพละกำลังมาก มีความสามารถสูง หรือบางคนหมกมุ่นอยูกับอวัยวะส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกาย ในด้าน self-concept มักเป็นการมองภาพตนเองในด้านไม่ดีไม่มีตัวตน
8.ด้านบทบาทและสัมพันธภาพ ความสามารถในการเข้าสังคมของผู้ป่วยบกพร่องการใช้คาพูดหรือการใช้ภาษาในการติดต่อสื่อสารเป็นลักษณะไม่พัฒนาหลีกเลี่ยงการเข้าสังมีความบกพร่องในการปฏิบัติตนตามบทบาท เช่น ไม่สามารถรับผิดชอบหน้าที่การงานได้ตามกติกาของสังคม