Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

B10 วอร์ดมภร 10/2 Dx. ESRD with Volume Overload, วันที่รับไว้ในความดูแล :…

- - - - โรคประจำตัว
        
        DM เป็นมาประมาณ 20 ปี รับยาต่อเนื่องที่รพ.กลาง ( Glipzimide, Metformin, Glucobay )
        
        HT เป็นมาประมาณ 25 ปี รับยาต่อเนื่องที่รพ.กลาง ( Nelapine, Anapril )
        
        DLP เป็นมาประมาณ 20 ปี รับยาต่อเนื่องที่รพ.กลาง (Supralip, Zimmex )
        
        CKD stage5 เป็นมาประมาณ 2 ปี แพทย์แนะนำฟอกไต Pt.ไม่พร้อมจึงไม่ได้ทำการรักษา
      - ประวัติการผ่าตัด
        
        พ.ศ. 2527 : ผ่าตัด Lt. Thyroid
      - ประวัติการเจ็บป่วยในครอบครัว : ปฏิเสธ
      - ประวัติการแพ้ : ปฏิเสธ
    - - 13 hr PTA มีอาการอ่อนแรง ล้มก้นกระแทกพื้น เรียกเพื่อนบ้านมาช่วย เพื่อนบ้านโทรเรียกรถพยาบาลให้ พบแพทย์ที่รพ.ลาดกระบัง แพทย์ตรวจแล้วแต่อุปกรณ์ไม่พร้อม ส่งตามสิทธิ์มารพ.ตำรวจ ญาติจึงพามาพบแพทย์ที่ ER
      - 1 month PTA : บวมเพิ่มขึ้นทั้งตัว เหนื่อยง่าย
      - 2 wk PTA : บามเพิ่มขึ้น เหนื่อยง่ายเวลาออกแรง ปัสสาวะออกลดลง ไม่จำกัดน้ำ
- - - - OD :
        
        ผู้ป่วยได้รับการตรวจ TTE (Transthoracic echocardiogram) เมื่อวันที่ 26/ 10/63 ได้ผลคือ TVD (triple vessel disease), Mild AS (Aortic stenosis), moderate to severs TR (Tricuspid regurgitation),mild PR (Pulmonic regurgitation)
        
        ผู้ป่วยตรวจ EKG พบภาวะ Atrial fibrillation with Congestive heart failure
        
        RR 20 ครั้ง/นาที PR 64 ครั้ง/นาที BP 128/60 mmHg O2 sat 98% (วันที่ 29/11/63)
        
        ผลการตรวจ ABG (29/11/63) : PH 7.411, pCO2 46.3 mmHg, pO2 95.7 mmHg,
        HCO3 28.9 mmol/L, O2 Sat 97.2%
    - - พิ่มการกำซาบของเนื้อเยื่อของหัวใจและการไหลของเลือดในหลอดเลือดหัวใจ
    - - O2 saturation 95-100%
      - ไม่มีอาการของภาวะพร่องออกซิเจน ช่น ปลายมือปลายเท้าเขียว ชีพจรเบาเร็ว ความดันโลหิตต่ำ
      - PR มากกว่าหรือเท่ากับ 40 ครั้ง/นาที BP อยู่ในเกณฑ์ปกติ คือ ควรอยู่ในเกณฑ์ ดังนี้ Systolic 90-140 mmHg และ Diastolic 60-80 mmHg
      - ค่าผลการตรวจ ABG (Arterial blood gas) อยู่ในเกณฑ์ปกติ ดังนี้ PH 7.350-7.450, pCO2 32.0-46.0 mmHg, pO2 74.0-108.0 mmHg,
        HCO3 act 21.0-29.0 mmoV/LHCO3 std 1.0-1.3 mmol/L, BE (B) <2.0 mmoU/L, O2SAT 92.0-96.0 %
    - - 1.ประเมินสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง เพื่อดูความผิดปกติของร่างกาย โดยเฉพาะอัตราการเต้นของหัวใจ
        เพื่อประเมินการทำงานของหัวใจ
        2.สังเกตอาการหายใจหอบเหนื่อย ปลายมือปลายเท้าเขียว ซีด เพื่อประเมินภาวะพร่องออกซิเจน
        3.จัดให้นอนศีษะสูง 30-45 องศา เพื่อให้กระบังลมหย่อนลง เพิ่มพื้นที่การหายใจ เพื่อให้หายใจได้สะดวกทางเดินหายใจโล่ง
        4.ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับออกซิเจนตามแผนการรักษา คือ On ET-tube size 7.5 marker 21 cm with ventilator PS mode
        เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ และดูแลให้อยู่ในตำแหน่ง ไม่เลื่อนหลุด
        5.ติดตามผล Arterial blood gas ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ เพื่อเป็นการประเมินภาวะพร่องออกซิเจนในร่างกาย
        6.ติดตามผล EKG monitor เพื่อดูการทำงานที่ผิดปกติของหัวใจ เช่นภาวะ Bradycardia เป็นต้น
  - - - ผู้ป่วยรู้สึกตัวดี ไม่มีอาการอ่อนเพลีย ไม่มีคลื่นไส้อาเจียน
      - ระดับ pitting edema ลดลง
      - I/O balance
      - ค่า BUN, Creatinine, eGFR อยู่ในเกณฑ์ที่รับได้
    - - 1.สังเกตอาการผู้ป่วยจากการมีของเสียคั่งในร่างกาย และสังเกตและประเมินอาการระยะยูรีเมีย ได้แก่ซีด ผิวหนังสีคล้ํา เลือดออกง่าย หายใจค่อนข้างเร็วลึก ลมหายใจมีกลิ่นแอมโมเนีย มีหลอดเลือดที่คอโป่งพองความดันโลหิตสูง ปวดกระดูก
        กระดูกเปราะหักง่าย เบื่ออาหาร ติดเชื้อง่าย สมรรถภาพทางเพศเสื่อม มีต่อมธัยรอยด์โต และมีอาการทางระบบประสาท
        คือ สับสน วุ่นวาย มีประสาทหลอน การรับรู้เปลี่ยนแปลง เป็นต้น
      - 2.บันทึกปริมาณน้ำเข้า-น้ำออก เพื่อประเมินการดังของเสียในร่างกาย
      - 3.ประเมินและบันทึกอาการบวม โดยกดบริเวณหน้าแข้งและหลังเท้าทุกวัน เพื่อประเมินการคั่งของเสียในร่างกาย
      - 4.ดูแลให้จำกัดน้ำ<= 800 ml/day ตามแผนการรักษาของแพทย์
      - 5.ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับการทำ hemodialysis 2วัน/สัปดาห์ ทุกวันจันทร์ พุธ ศุกร์ ตามแผนการรักษาของแพทย์
        เพื่อลดการดังของเสียในร่างกาย
    - - เพื่อลดอันตรายจากภาวะของเสียคั่งในร่างกาย
    - - OD
        
        ผู้ป่วยมีอาการอ่อนเพลีย
        
        มีภาวะบวม กดบุ๋ม แขนขา 2+
        
        BUN = 34.3 mg/dL (ค่าสูงกว่าปกติ) (28/ 11/63)
        Creatinine = 2.69 mg/dL (ค่าสูงกว่าปกติ) (28/ 11/63)
        eGFR = 17.18 mL/min (ค่าต่ำกว่าปกติ) (28/ 11/63)
  - - - OD
        
        ผล EsophagoGrastroDuodenoscopy พบมีแผลบริเวณ Duodenum
        
        PR 64 ครั้ง/นาที BP 128/60 mmHg RR 20 ครั้ง/นาที (วันที่ 29/11/63)
        
        มีcontentเป็นcoffee ground ประมาณ 200 ml
      - วัตถุประสงค์
        
        ไม่เกิดอันตรายจากภาวะhypovolumic shock
      - เกณฑ์การประเมินผล
        
        ไม่มีอาการแสดงถึงภาวะhypovolumic shock คือ วิงเวียนศีรษะ หน้ามืด ตัวซีดและเย็น เจ็บแน่นหน้าอก คลื่นไส้ เหงื่อออกมาก ปัสสาวะออกน้อย
        
        PR มากกว่าหรือเท่ากับ 40 ครั้ง/นาที BP อยู่ในเกณฑ์ปกติ คือ ควรอยู่ในเกณฑ์ ดังนี้ Systolic 90-140 mmHg
        และ Diastolic 60-80 mmHg
      - กิจกรรมการพยาบาล
        
        1.ส่งเสริมให้เนื้อเยื่อได้รับออกซิเจนเพียงพอจากการดูแลทางเดินหายใจให้โล่ง ไม่ให้มีการอุดกั้นทางเดินหายใจโดยการจัดท่านอนศีรษะสูง ยกขากรรไกรเพื่อเปิดทางเดินหายใจ
        2.ดูแลให้ระบบการไหลเวียนเลือดอยู่ในภาวะปกติโดยการทดแทนปริมาณสารน้ำหรือเลือดอย่างเหมาะสมตามแผนการรักษาของแพทย์
        3.ดูแลลดความระคายเคืองของแผลในกระเพาะอาหารโดยการงดน้ำงดอาหาร
        4.ประเมินติดตามอาการและอาการแสดงของภาวะ hypovolemid shock เช่น หายใจเร็ว ปลายมือปลายเท้าเย็น สับสน ซีด เวียนศีรษะ ปัสสาวะออกน้อย เป็นต้น
        5.ประเมินอาการและอาการแสดงของภาวะเลือดออกภายในร่างกาย เช่น ถ่าย melena อาเจียนเป็นเลือด
        6.ประเมินสัญญาณชีพ และระดับความรู้สึกตัว เพื่อติดตามดูการเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วย
        
        Record I/O ดูความสมดุลของน้ำภายในร่างกาย
      - การประเมินผล
  - - - Dx. ESRD with Volume Overlod
      - I/O positive
      - มีอาการบวม ptting edema 2+
      - ค่า eGFR 12.32 mL/min1.73m2
      - ผู้ป่วยมีผิวแห้ง
    - - ไม่เกิดอันตรายจากภาวะน้ำเกิน
    - - สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ
      - ไม่มีหายใจถี่ หรือปัญหาทางการหายใจ
      - อาการบวมลดลง
    - - 1.บันทึกปริมาณน้ำเข้า-น้ำออก และประเมินอาการบวม โดยกดบริเวณหน้าแข้งและหลังเท้าทุกวัน
        2.ดูแลให้ได้รับการจำกัดน้ำ<=800 ml/day ตามแผนการรักษาของแพทย์
        3.ประเมินและบันทึกสัณญาณชีพทุก4ชั่วโมง พร้อมทั้งสังเกตและประเมินลักษณะการหายใจ เช่น
        หายใจถี่ เกิดจากของเหลวส่วนเกินเข้าสู่ปอด ทำให้ความสามารถในการหายใจตามปกติลดลง
        ความดันโลหิตสูงที่เกิดจากของเหลวส่วนเกินในกระแสเลือด
  - - - -ผู้ป่วยมีไข้สูง อุณหภูมิร่างกาย 38.5 องศาเซลเซียส (14.00น. 02/12/63)
        -ผู้ป่วยมีเสมหะเหนียวข้น ปนเลือด มีกลิ่นเหม็น
        -ตรวจ Gram's stain จาก sputum (suction) 01/12/63 ผล Gram Negative Bacilli
    - - เพื่อดูแลรักษาภาวะติดเชื้อ ลดอันตรายจากการติดเชื้อ
    - - -สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ อุณหภูมิร่างกาย 36.5-37.4 องศาเซลเซียส ชีพจร = 60-100 ครั้ง/นาที
        ความดันโลหิต 90-140/60-80 mmHgอัตราการหายใจ 12-22 ครั้ง/นาที O2satulation 90-100% (ในเกณฑ์ที่แพทย์รับได้)
        -เสมหะลดลง ไม่เหนียวข้น ไม่มีกลิ่นเหม็น
        -ผู้ป่วยไม่มีอาการผิดปกติ เช่น กระสับกระส่าย หนาว มือเท้าเย็น ความดันต่ำ ชีพจรเร็ว หายใจเร็ว คลื่นไส้อาเจียน ท้องเสีย
        -ผล CBC อยู่ในเกณฑ์ปกติ โดยเฉพาะ WBC 4.24-10.18 103/uL Neutrophil 48.1-71.2% Lymphocyte 21.1-42.7%
    - - 1.ล้างมือก่อนและหลังให้การพยาบาลทุกครั้ง
        2.ประเมินสัญญาณชีพ ทุก 4 ชั่วโมง โดยเฉพาะ อุณหภูมิร่างกาย และชีพจร เพื่อดูการคำเนินของไข้และเฝ้าระวังภาวะช็อกจากไข้สูง
        3.ดูแลความสะอาดปากและฟันของผู้ป่วย ป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ
        4.ดูดเสมหะอย่างถูกวิธีในปากและใน ET-tube เพื่อเคลียร์ทางเดินหายใจ
        5.ดูแลET-tube ให้สะอาด ไม่มีเสมหะอุดกั้น ถูกตำแหน่ง ป้องกันการเคลื่อนหลุดของ tube ไม่ให้เกิดการ traumaเพิ่ม
        เปลี่ยนผ้าผูก ET-tubeทุกวัน เพื่อความสะอาด
        6.หากผู้ป่วยมีไข้ 37.5 องศาเซลเซียสขึ้นไป ให้ทำการเช็ดตัวลดไข้ โดยวิธีที่ถูกต้อง ดังนี้
        เช็ดตัวโดยใช้น้ำธรรมดา เช็ดนาน 15- 30 นาที ใช้ผ้าถูตัววางบริวณชอกคอ รักแร้ ข้อพับ หน้าอก
        หลังเช็ดตัวแล้ว 30 นาที วัดอุณหภูมิใหม่และบันทึกในฟอร์มปรอท เพื่อติดตามผลการพยาบาล
        7.ดูแลความสะอาดสิ่งแวดล้อม และจัดสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสม เงียบสงบ อากาศถ่ายเทสะดวก ส่งเสริมการพักผ่อนนอนหลับ
        8.ดูแลให้ได้รับยาลดไข้ พาราเชตามอล 500 mg tab 1 เม็ด และยาฆ่าเชื้อ Tazocin 2.25 gm + NSS 50 ml IV q 8 hr ตามแผนการรักษา ติดตามผลข้างเคียงของยาฆ่าเชื้อ ได้แก่ ปวดศีรษะ นอนไม่หลับ เยื่อบุช่องปากอักเสบ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องผูก อาหารไม่ย่อย ปวดท้อง ความดันเลือดต่ำ ปวดบวม หลอดเลือดดำอักเสบบริเวณที่ฉีดยา ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดข้อ
        9.ติดตามผล hemoculture CBC
    - - -ผู้ป่วยไม่มีอาการแสดงที่ผิดปกติ อุณหภูมิร่างกาย 37.6 องซาเซลเซียส, ชีพจร 60 ครั้ง/นาที, ความดันโลหิต 103/48 mmHg, อัตราการหายใจ 20 ครั้ง/นาที, O2satulation 94% เสมหะลดลง ลักษณะเหนียวข้น มีกลิ่น
        -ผล CBC WBC 10.70 103/uL Neutrophil 83.5% Lymphocyte 6.3%
  - - - -ผู้ป่วยเป็นโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย (ESRD)
        -ผู้ป่วยมีเสมหะเหนียวข้นปนเลือด
        -ผู้ป่วยโรคไตอยู่ในภาวะซีด Hb 8.8 g/dL ต่ำกว่าปกติ Hct 27.8 % ต่ำกว่าปกติ RBC 3.38 10^6/uL ต่ำกว่าปกติ (ผล 30/11/63)
        -ผลการตรวจ ABG (30/11/63) : PH 7.383, pCO2 47.7 mmHg, pO2 101.6 mmHg, HCO3 27.8 mmol/L
        -ผลการ Ultrasound พบ มีน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอด pleural effusion
        -O2sat 97.5% ผู้ป่วย O2satulation drop เหลือ 80-89 ในบางช่วงเวลา ที่อยู่ภายใต้การดูแล
        -ผล sputum culture พบ klebsiella pnemoniae และ Acinetobacter baumannii(CRAB MDR)
    - - -เพื่อไม่ให้เกิดภาวะพร่องออกซิเจน
        -ผู้ป่วยได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ
        -ป้องกันการเกิดอันตรายจากเนื้อเยื่อร่างกายขาดออกซิเจน
    - - -ไม่มีอาการและอาการแสดงของภาวะพร่องออกซิเจน เช่น หายใจหอบเหนื่อย cyanosis (ที่ผิว เล็บ ริมฝีปาก มีสีเขียวคล้ำ) ชีพจรเบาเร็ว ความดันโลหิตต่ำ เป็นต้น
        -ทางเดินหายใจโล่ง ไม่มีเสมหะ
        -อัตราการหายใจปกติ (12-22ครั้ง/นาที) ลักษณะการหายใจปกติ ไม่มีหายใจลำบาก หรือหายใจ เร็ว แรง ลึก
        -O2sat 90-100% (อยู่ในเกณฑ์ที่แพทย์รับได้)
        -ผลตรวจ AGB อยู่ในเกณฑ์ปกติ PH 7.350-7.450, pCO2 32.0-46.0 mmHg, pO2 74.0-108.0 mmHg,
        HCO3 21.0-29.0 mmol/L, O2SAT 92.0-96.0 %
    - - 1.ประเมินสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง โดยเฉพาะอัตราการหายใจ (ปกติ 12-22 ครั้ง/นาที) และ O2satulation (ให้อยู่ในช่วง 90-100%)
        เพื่อสังเกตความรุนแรงของการพร่องออกซิเจน
        2.สังเกตอาการทั่วไปและอาการผิดปกติของผู้ป่วย ประเมินภาวะพร่องออกซิเจน สังเกตลักษณะการหายใจ
        ประเมินอัตราการหายใจ สังเกตการหายใจที่ผิดปกติ อาการหอบเหนื่อย ซีดเขียว
        3.จัดท่านอนศีรษะสูง 30-45 องศา เพื่อให้กระบังลมหย่อนลง ปอดขยายตัวได้เต็มที่ เพิ่มพื้นที่การแลกเปลี่ยนแก๊ส
        เพื่อให้หายใจสะดวก ทางเดินหายใจโล่ง
        4.ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับออกซิเจนตามแผนการรักษา คือ on ET tube เบอร์7.5 #21 P-MCV mode
        5.ดูแลตำแหน่ง ET tube ป้องกันไม่ให้เลื่อนหลุด เพื่อให้ได้รับออกซิเจนเพียงพอ เปลี่ยนตำแหน่งและผ้าผูก tube
        เพื่อลดการกดและความสะอาด
        6.ติดตามผล ABG
    - - -ผู้ป่วย on ET tube เบอร์7.5 #21 P-CMV mode หายใจตามเครื่องได้ปกติ ไม่มีภาวะ cyanosis เสมหะเหนียวข้น มีเลือดปน มีกลิ่น)
        -อัตราการหายใจอยู่ที่ 18-20 ครั้ง/นาที O2sat อยู่ในช่วง 90-100%
        -ผลการตรวจ ABG (30/11/63) : PH 7.383, pCO2 47.7 mmHg, pO2 101.6 mmHg, HCO3 27.8 mmol/L,O2sat 97.5%
- - - - ทฤษฎี
        
        โรคความดันโลหิตสูง
        
        โรคเบาหวาน
        
        การได้รับยาและสารเคมีที่เป็นพิษต่อไต
      - ผู้ป่วย
        
        Pt.เป็นDMมาประมาณ 20ปี
        
        Pt.เป็นHTมาประมาณ 25 ปี
    - - ทฤษฎี
        
        แบ่งออกเป็น 5 ระยะ
        ตามระดับการทำงานของไต
        
        ระยะที่ 2 eGFR = 60-89 mL/min/1.73m2
        
        มีความผิดปกติของไต และค่าอัตราการกรอง
        ของไตลดลงเล็กน้อย
        
        ระยะที่ 1 : eGFR > 90 mL/min/1.73m2
        
        ต้องควบคุมอาหาร
        
        ระยะที่ 4 คือระยะที่ eGFR = 15-29 mL/min/1.73m2
        
        มีความผิดปกติของไต และค่าอัตราการกรองของไตลดลงมาก
        ควรเตรียมความพร้อมเพื่อให้การรักษาทดแทนไต
        
        ระยะที่ 3
        
        ระยะที่ 3b คือระยะที่ eGFR = 30-44 mL/min/1.73m2
        
        มีความผิดปกติของไต
        และค่าอัตราการกรองของไตลดลงปานกลางถึงรุนแรง
        ต้องเฝ้าระวังและรักษาภาวะแทรกซ้อน
        
        ระยะที่ 3a คือ ระยะที่ eGFR = 45-59 mL/min/1.73m2
        
        มีความผิดปกติของ ไตและค่าอัตราการกรองของไตปานกลาง
        
        ระยะที่ 5 คือระยะที่ eGFR < 15 mL/min/1.73m2
        " ระยะไตวาย (Kidney failure) "
        
        มีความผิดปกติเกือบทุกระบบของร่างกาย ต้องบำบัดทดแทนไต
        
        อาการ
        
        อาจมีอาการบวมน้ำ เกิดขึ้นได้ที่ขา เท้า หรือข้อเท้า รวมถึงมือหรือ ใบหน้าซึ่งพบได้น้อยกว่า เมื่อเริ่มเข้าสู่โรคไตเรื้อรังในระยะ 3 จะเริ่มมีอาการดังนี้
        
        -เจ็บหน้าอก
        
        -ผิวแห้ง
        
        -อาการคันหรือชา
        
        -รู้สึกเหนื่อย
        
        -ปวดศีรษะ
        
        -ปัสสาวะเพิ่มขึ้นหรือลดลง
        
        -เบื่ออาหาร
        
        -ตะคริวที่กล้ามเนื้อ
        
        -คลื่นไส้
        
        -หายใจลำบาก
        
        -ปัญหาเกี่ยวกับการนอนหลับ
        
        -ไม่มีสมาธิ
        
        -อาเจียน
        
        -น้ำหนักลด
      - ผู้ป่วย
        
        ผู้ป่วยเป็นโรคไตวายเรื้อรังระยะที่ 5
        30/11/63 ค่า eGFR 12.32 mL/min1.73m2
        Pt.มีอาการบวมทั่วร่างกาย
        บวมกดบุ๋มแขนซ้าย 2+ แขนขวา 1+ ขาซ้าย 3+ ขาขวา 2+
        2 สัปดาห์ก่อนมาโรงพยาบาล ผู้ป่วยมีอาการนอนราบไม่ได้ ปัสสาวะออกน้อยลง มีอาการ บวมตามร่างกายมากขึ้น
    - - ทฤษฎี
        
        การรักษาสาเหตุที่ทำให้ไตทำหน้าที่ผิดปกติ
        
        การรักษาแบบประคับประคอง และรักษาภาวะแทรกซ้อน
        
        การรักษาโดยวิธีบำบัดทดแทนการทำงานของไต
      - ผู้ป่วย
        
        ผู้ป่วยได้รับการรักษาโดยวิธีบำบัดทดแทน การทำงานของไต โดยวิธี การฟอกเลือดด้วยเครื่อง ไตเทียม (hemodialysis; HD) ทุกวันจันทร์ พฤหัสบดี
    - - ทฤษฎี
        
        การตรวจปัสสาวะ
        
        ตรวจหาโปรตีนหรือเม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาวที่ปนออกมากับปัสสาวะ
        
        การตรวจเลือด
        
        แสดงถึงประสิทธิภาพในการกรองของไต ซึ่งถ้าหากมีภาวะไตวาย จะมีปริมาณ BUN, Creatinineที่เป็นของเสียที่มาจากกล้ามเนื้อจะตกค้างในเลือดสูง และค่าeGFRจะมีค่า < 90 mL/min/1.73m2
        
        CT Scan & Ultrasound
        
        แสดงให้เห็นภาพไตของผู้ป่วย ซึ่งจะทำให้แพทย์สามารถสังเกตเห็นความผิดปกติของไต และระบบทางเดินปัสสาวะได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
      - ผู้ป่วย
        
        BUN = 26.3 mg/dl (ค่าสูงกว่าปกติ)
        
        Creatinine = 3.65 mg/dL (ค่าสูงกว่าปกติ)
        
        eGFR = 11.96 mL/min (ค่าต่ำกว่าปกติ)
- - - - ผลข้างเคียง : คลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร ท้องเสีย ท้องผูก เวียนศีรษะ ปวดศีรษะ วิตกวังวล ปวดข้อหรือกล้ามเนื้อ น้ำมูกไหล คัดจมูก ผื่นขึ้นหรือคันตามผิวหนัง
  - - - ผลข้างเคียง : ความดันโลหิตต่ำ วิงเวียนศีรษะ ปวดศีรษะ ง่วงซึม รู้สึกอ่อนเพลีย
    - - ผลข้างเคียง : ปากแห้ง คอแห้ง ตาพร่า ปัสสาวะขัด หัวใจเต้นเร็ว เต้นผิดจังหวะ คลื่นไส้อาเจียน ปวดศีรษะ มึนงง
  - - - ผลข้างเคียง : คลื่นไส้อาเจียน อ่อนเพลีย ปวดท้อง ท้องอืด ท้องเสียรุนแรง เลือดออกทางทวารหนัก
    - - ผลข้างเคียง : ปวดท้อง ท้องเสีย คลื่นไส้ ท้องอืด มีแก๊สในกระเพาะ
  - - - ผลข้างเคียง : ปวดศีรษะ นอนไม่หลับ เยื่อบุช่องปากอักเสบ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องผูก อาหารไม่ย่อย ปวดท้อง ความดันเลือดต่ำ ปวดบวม หลอดเลือดดำอักเสบบริเวณที่ฉีดยา ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดข้อ
    - - ผลข้างเคียง : คลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง ท้องร่วง ท้องเดิน ปวดศีรษะ ผื่นคัน ลมพิษ
    - - ผลข้างเคียง : เรอ ผายลม มีแก๊สในท้องหรือลำไส้ แน่นท้องหรือประสาทสัมผัสการรับรสเปลี่ยนไป
  - - - ผลข้างเคียง : คลื่นไส้ ท้องอืด ท้องผูก ท้องเสีย ปวดท้อง
    - - ผลข้างเคียง : หากได้รับมากไป อาจทำให้กระหายน้ำ ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย หัวใจเต้นผิดปกติ ระดับคอเลสเตอรอลไม่คงที่ ไตวาย ตับเสียหาย
    - - ผลข้างเคียง : ปวดกล้ามเนื้อ ชักกระตุก รู้สึกชารอบปาก ปวดกระดูก ปวดข้อ คัน ผื่นขึ้น ในรายที่เป็นโรคไต อาจมีภาวะของเสียคั่งในเลือดร่วมด้วย อาจมี อ่อนเพลีย หายใจไม่อิ่ม คลื่นไส้ อาเจียน มีปัญหาในการนอน
    - - ผลข้างเคียง : ปัสสาวะบ่อย เหงื่อออกมาก บวมตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย มีไข้พร้อมกับเจ็บบริเวณข้างลำตัว ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน ปากแห้ง
    - - ผลข้างเคียง : อาจมีอาการแพ้ หรือถ้าได้รับมากเกินไป อาจมี กระหายน้ำมาก ปัสสาวะมาก อารมณ์เปลี่ยนแปลงไป รู้สึกเหนื่อยล้าผิดปกติ เวียนหัว อาเจียน
    - - ผลข้างเคียง : ปวดกล้ามเนื้อ ชักกระตุก รู้สึกชารอบปาก ปวดกระดูก ปวดข้อ คัน ผื่นขึ้น ในรายที่เป็นโรคไต อาจมีภาวะของเสียคั่งในเลือดร่วมด้วย อาจมี อ่อนเพลีย หายใจไม่อิ่ม คลื่นไส้ อาเจียน มีปัญหาในการนอน
  - - - ผลข้างเคียง : ปวดศีรษะ หน้าแดง วิงเวียน ใจสั่น บวม
  - - - ผลข้างเคียง : ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ปวดท้อง มีแก๊สในกระเพาะอาหาร
  - - - ผลข้างเคียง : เวียนศีรษะ ไม่อยากอาหาร เรอ ท้องอืด มีแก๊สในกระเพาะอาหาร รู้สึกขมปาก มีปัญหาเกี่ยวกับการนอนหลับ ซึมเศร้า ตื่นเต้น กระสับกระส่าย แปรปรวน
    - - ผลข้างเคียง : ท้องผูก ท้องร่วง ระคายเคืองทางเดินอาหาร คลื่นไส้ หรือปวดบริเวณลิ้นปี่ อุจจาระมีสีดําหรือคล้ำขึ้น