Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช, image, image, image,…
นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
Joseph Priestley
ในปี ค.ศ. 1772โจเซฟ พริสท์ลีย์ (Joseph Priestley) นักวิทยาศาสตร์ ชาวอังกฤษกล่าวได้ว่า…“การหายใจ การเน่าเปื่อยและการตายของสัตว์ทำให้อากาศเสีย แต่พืชจะทำให้อากาศเสียนั้นบริสุทธิ์ขึ้นและมีประโยชน์ต่อการดำรงชีวิต”
การทดลองที่ 1 ของ โจเซฟ พริสต์ลีย์ เขาได้ทำการทดลองโดย 1. จุดเทียนไขไว้ในครอบแก้วสักครู่ เทียนไขก็ดับ 2. ใส่หนูเข้าไปในครอบแก้ว สักครู่หนู ก็ตาย 3. จุดเทียนไขใส่ในครอบแก้วที่หนูตาย พบว่าเทียนไขดับทันที
การทดลองที่ 2 ของ โจเซฟ พริสต์ลีย์ 4. ใส่พืชสีเขียวเข้าไปในครอบแก้วที่เคย จุดเทียนไขซึ่งดับแล้วและปล่อยไว้ 10 วัน พบว่าเมื่อจุดเทียนไขใหม่ เทียนไขจะลุกไหม้อยู่ได้ระยะหนึ่ง โดยไม่ดับทันที 5. เอาหนูที่ตายออกจากครอบแก้วแล้ว พืชสีเขียวเข้าไปในครอบแก้วปล่อย ไว้10 วัน ใส่หนูเข้าไปใหม่พบว่าหนู ไม่ตาย
การทดลองที่ 2 ของ โจเซฟ พริสต์ลีย์ 6. แบ่งอากาศจากครอบแก้วที่จุดเทียนไขและปล่อยให้ดับแล้วออกเป็น2 ส่วน ส่วนที่ 1. ใส่พืชสีเขียว และปล่อยไว้ระยะหนึ่งจุดเทียนไขใส่ใหม่พบว่าเทียนไขไม่ ดับ หรือถ้าใส่หนู หนูจะไม่ตาย ส่วนที่ 2. ปล่อยอากาศไว้ในครอบแก้วเฉยๆ และปล่อยไว้ระยะหนึ่งเช่นกัน เมื่อจุด เทียนไข เทียนไขจะดับทันที หรือถ้าใส่หนู หนูจะตาย จากการทดลองนี้ พริสต์ลีย์ สรุปว่า 1. การลุกไหม้(เทียนไข)เป็นการทำให้อากาศดี กลายเป็นอากาศเสีย พืชสีเขียว สามารถเปลี่ยนอากาศเสียนี้ให้กลับมาเป็นอากาศดีได้ 2. การหายใจของสัตว์(หนู)เป็นการทำให้อากาศดีกลายเป็นอากาศเสีย และพืชสี เขียวสามารถเปลี่ยนอากาศเสียนี้ให้กลับมาเป็นอากาศดีได้
J.B. Van Helmomt
ในปี ค.ศ. 1648 ฌอง แบบติสท์ แวน เฮลมองท์ (J.B. Van Helmomt) นักวิทยาศาสตร์ชาวเบล เยี่ยม ได้ทดลองปลูกต้นหลิวหนัก 5 ปอนด์ใน ถังใบใหญ่ที่บรรจุดินซึ่งทาให้แห้งสนิทหนัก 200 ปอนด์ แล้วปิดฝาถัง ระหว่างทำการทดลอง ได้รดน้ำต้นหลิวที่ปลูกไว้ทุกๆวัน ด้วยน้ำฝน หรือน้ำกลั่นเป็นระยะเวลา 5 ปีต้นหลิวเจริญขึ้น หนักเป็น 169ปอนด์ 3 ออนซ์ (ไม่ได้รวม น้าหนักของใบซึ่งร่วงไปในแต่ละปี) และเมื่อนำดินในถังมาทาให้แห้งแล้วนำไปชั่ง ปรากฏว่ามี น้ำหนักน้อยกว่าดินที่ใช้ก่อนทำการทดลองเพียง 2 ออนซ์เท่านั้น
Nicolas Theodore de Soussure
ปี พ.ศ. 2347 นิโคลาส ธีโอดอร์ เดอ โซซูร์(Nicolas Theodore de Soussure) ได้ศึกษาทดลองพบว่า พืชมีการดูดแก๊ส คาร์บอนไดออกไซด์ไปใช้ใน กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงซึ่ง สอดคล้องกับการศึกษาของฮูซที่กล่าว ว่า พืชได้รับธาตุคาร์บอนมาจากแก๊ส คาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อเปลี่ยนให้อยู่ ในรูปของสารอินทรีย์สละยังปล่อยแก๊ส ออกซิเจนออกมาสู่บรรยากาศในช่วงที่ พืชได้รับแสง
การทดลองของ นิโคลาส ธีโอดอร์ เดอ โซซูร์ • เดอ โซซูร์ ยังทดลองให้เห็นว่า น้ำหนักของพืชที่เพิ่มขึ้นมากกว่าน้ำหนัก ของแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ที่พืชได้รับ เขาจึงสันนิษฐานว่า น้ำหนัก ของพืชที่เพิ่มขึ้นบางส่วนเป็นน้ำหนักของน้ำที่พืชได้รับ
Jan Ingen-Housz
พศ. 2322 แจนอิเก็นฮูซ นายแพทย์ชาวดัทช์ ได้ทำการทดลองคล้ายกับ พริสต์ลีย์ และพิสูจน์ให้เห็นว่า การทดลองของ พริสต์ลีย์ จะได้ผลก็ต่อเมื่อมีแสง สรุปผลการทดลอง การที่พืชจะเปลี่ยนอากาศเสีย เป็นอากาศดีได้นั้น พืชต้องใช้แสงด้วย
Jean Senebier
พ.ศ. 2325 (ค.ศ.1782) ฌอง ซีนีบิเยร์ (Jean Senebier) ค้นพบว่าแก๊สที่เกิดจากการลุกไหม้ และแก๊สที่เกิดจากการหายใจของสัตว์
เป็น แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ส่วนแก๊สที่ช่วยในการลุกไหม้และแก๊สที่ใช้ในการหายใจของสัตว์คือ แก๊สออกซิเจน
Julius Sachs
ค.ศ. 1862 จูเลียส ซาซ (Julius Sachs) พบว่า สารอินทรีย์ที่พืชสร้าง คือ น้ำตาล ซึ่งเป็นสารคาร์โบไฮเดรต
Van Niel
ในปี ค.ศ. 1930 แวน นีล (Van Niel) แห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด พบว่า แบคทีเรียบางชนิด(Green sulfur bacteriaและ Purple sulfur bacteria) สามารถสังเคราะห์แสงได้โดยไม่ใช้H2O แต่ใช้ H2S (ไฮโดรเจนซัลไฟด์) แทน จึงเกิดซัลเฟอร์ (S) ออกมา แทนที่จะเกิด O2
การสังเคราะห์ด้วยแสงของแบคทีเรีย ก็เป็นหลักฐานอีกอย่างหนึ่งที่สนับสนุนว่า O2 ที่ได้จากการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชมาจาก H2O (เนื่องจากแบคทีเรีย ไม่ใช้ H2O ในการ
สังเคราะห์ด้วยแสง จึงไม่เกิด O2 แต่เกิดซัลเฟอร์ (S) ออกมา)
แวน นีล( Van Niel) ได้เสนอสมมติฐานว่า…ในกระบวนการสร้างอาหารของพืชนั้น
น่าจะคล้ายกับการสร้างอาหารของแบคทีเรีย ซึ่งแสง (light) มีบทบาทสำคัญคือ ทำให้โมเลกุล ของน้ำแตกตัวเป็น H+ กับ OH- จากนั้น H+ จะเข้าทำปฏิกิริยากับCO2 เกิดเป็นคาร์โบไฮเดรต ( CH2O ) ขึ้น
Sam Ruben & Martin Kamen
วิธีการทดลองเพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่า O2ที่ได้จากการสังเคราะห์ด้วยแสงมาจากน้ำ (Sam Ruben และ Martin Kamen) ได้นำสาหร่ายสีเขียวในปริมาณที่เท่าๆกัน ใส่ลงไปในขวดแก้ว 2 ใบคือ ก. และ ข. แล้วใส่น้ำและคาร์บอนไดออกไซด์ลงไปในขวด
ทั้ง 2 ดังนี้ ขวด ก. ใส่ H2O ซึ่งประกอบด้วยออกซิเจนซึ่งเป็นสารกัมมันตภาพรังสี คือ 18O แต่ CO2 ซึ่งมี O2 ธรรมดา
ขวด ข. ใส่ CO2 ที่ประกอบด้วย 18O แต่ใส่ H2O ที่มี O2ธรรมดา ตั้งขวดทั้ง 2 ใบให้ได้รับแสง สาหร่ายจะสังเคราะห์ ด้วยแสง เกิด O2 ขึ้น นำ O2 ที่ได้จากการสังเคราะห์ด้วย แสงแล้วมาทดสอบพบว่า ขวด ก. O2 ที่ได้จากการสังเคราะห์ด้วยแสงเป็น 18O ขวด ข. O2 ที่ได้จากการสังเคราะห์ด้วยแสงเป็น O2 ธรรมดา สรุปผลการทดลองได้ว่า… O2 ที่ได้จากการสังเคราะห์ด้วยแสงมาจากโมเลกุลของ
Robin Hills
ค.ศ. 1973 โรบิน ฮิลล์ (Robin Hill) ได้ทำการทดลองผ่านแสงเข้าไปในของผสมซึ่งมี คลอโรพลาสต์ที่สกัดออกมาจากใบพืชพวก ผักโขม และมีเกลือเฟอริกอยู่ด้วยปรากฏว่า เกลือเฟอริกเปลี่ยนเป็นเกลือเฟอรัส และมี O2เกิดขึ้นแต่ถ้าผ่านแสงเข้าไปในคลอโรพลาสต์ที่ไม่มีเกลือเฟอริกอยู่ด้วยจะไม่มี ออกซิเจนเกิดขึ้น ดังนั้นการที่เกลือเฟอริก จะเปลี่ยนเป็นเกลือเฟอรัสได้ก็ต่อเมื่อได้รับ ไฮโดรเจน จากปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นในการ ทดลองนี้แสดงว่าเกลือเฟอริกต้องได้รับ ไฮโดรเจน ขณะเดียวกันมี O2 ในปฏิกิริยา ด้วย เกลือเฟอริกจึงทาหน้าที่เป็นตัวรับ ไฮโดรเจน
Daniel Arnon
ในปี พ.ศ. 2494 (ค.ศ. 1951) แดเนียล อาร์นอน (Daniel Arnon ) และคณะแห่งมหาวิทยาลัย
แคลิฟอร์เนียที่เบิร์กเลย์ ได้ศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับการทดลองของฮิลล์ อาร์นอนคิดว่าถ้าให้สาร
บางอย่าง เช่น ADP หมู่ฟอสเฟต (Pi) NADP+ และ CO2 ลงไปในคลอโรพลาสต์ที่สกัดมาได้แล้ว
ให้แสงจะมีปฏิกิริยาการสังเคราะห์ด้วยแสงจนได้น้ำตาลเกิดขึ้น