Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
มภร.10/2 เตียง 7 Ischemic Stroke
นศพต.รวิสรา ราเหม เลขที่ 49
…
มภร.10/2 เตียง 7 Ischemic Stroke
นศพต.รวิสรา ราเหม เลขที่ 49
ข้อมูลผู้ป่วย
-
-
-
-
-
ประวัติการเจ็บป่วยปัจจุบัน
: 1 day PTA ผู้ป่วยมีอาการซึมลง รับประทานอาหารได้น้อยลง
2 hr. PTA ซึมลง ปลุกไม่ตื่น หายใจหอบเหนื่อย ไม่มีอาการชักเกร็ง ตาค้าง อาเจียน ญาติจึงนำส่งโรงพยาบาล
ประวัติการเจ็บป่วยในอดีต
- Hypertension (ความดันโลหิตสูง)
- Diabetes Mellitus (โรคเบาหวาน)
- Dyslipidemia (โรคไขมันในเลือดสูง)
- Supraventricular Tachycardia (ภาวะหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ)
- Ischemic heart disease (โรคหลอดเลือดสมองตีบ)
- schizophrenia (โรคจิตเภท)
-
พยาธิสภาพ
Ischemic Stroke
ทฤษฎี
โรคหลอดเลือดสมองที่เกิดจากการขาดเลือด (ischemic stroke)
สามารถแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะ คือ เกิดการตีบตันของหลอดเลือดขนาดใหญ่และหลอดเลือดขนาดเล็กในสมอง และเกิดจากการอุดตันของลิ่มเลือดที่ไหลเวียนอยู่ในกระแสเลือด
1.การตีบตันของหลอดเลือดในสมองส่วนใหญ่ มักจะมีความสัมพันธ์กับภาวะหลอดเลือดแข็งตัว (atherosclerosis) และความดันโลหิตสูง (hypertension) เป็นเวลานาน โดยภาวะหลอดเลือดแข็งตัวจะทำให้รูของหลอดเลือดแดงในสมองมีขนาดเล็กลง จนเลือดไม่สามารถไหลเวียนไปเลี้ยงสมองได้อย่างเพียงพอ การตีบตันหลอดเลือดสามารถเกิดขึ้นได้ทุกแห่งของหลอดเลือดสมอง โดยจะพบมากที่บริเวณหลอดเลือดแดงส่วนกลาง (middle cerebral arteries)
2.การอุดตันของหลอดเลือดสมองที่เกิดจากลิ่มเลือดที่ไหลเวียนอยู่ในกระแสเลือด ต้นกำเนิดของลิ่มเลือดดังกล่าวมักเกิดจากหัวใจ ภาวะหรือโรคหัวใจที่ทำให้เกิดลิ่มเลือดในกระแสเลือด ได้แก่ ภาวะหัวใจเต้นพลิ้ว (atrial fibrillation) โรคลิ้นหัวใจ (vulvular heart disease) หรือจากการใส่ลิ้นหัวใจเทียม และภายหลังการผ่าตัดหัวใจ การอุดตันของหลอดเลือดสมองที่เกิดจากสิ่งอุดกั้นอื่น ๆ ที่ลอยในกระแสเลือด เช่น ฟองอากาศ ชิ้นส่วนของไขมันที่เกิดภายหลังจากการได้รับบาดเจ็บหรือกระดูกหัก เป็นต้น
-
อาการของโรคหลอดเลือดสมอง
อาการของผู้ป่วยจะแตกต่างกันไปตามบริเวณที่หลอดเลือดสมองเกิดการอุดตัน โดยอาการของ Ischemic Stroke ที่พบได้มีดังนี้
รู้สึกชาที่ใบหน้าหรือมีอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อใบหน้าอย่างเฉียบพลัน อาจมีอาการปากเบี้ยว หลับตาไม่สนิท พูดไม่ชัดหรือมีปัญหาในการพูด
-
แขนขาอ่อนแรง เป็นอัมพาตซีกใดซีกหนึ่งของร่างกายหรือทั้งสองซีก โดยขึ้นอยู่กับบริเวณที่หลอดเลือดแดงเกิดการอุดตัน
-
-
มีปัญหาในการได้ยิน ความจำ การสื่อสารหรือการทำความเข้าใจ รวมถึงมีปัญหาด้านการมองเห็น เช่น สูญเสียการมองเห็นบางส่วนหรือการเห็นภาพซ้อน
สาเหตุ
Ischemic Stroke เกิดขึ้นจากหลอดเลือดแดงที่ลำเลียงเลือดไปเลี้ยงสมองเกิดการอุดตันจากลิ่มเลือดหรือตะกรันไขมันที่เรียกว่าพลัค (Plaque) เมื่อเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ จึงทำให้เซลล์สมองและเนื้อเยื่อเริ่มตายจากการขาดออกซิเจนและสารอาหาร โดย Ischemic Stroke สามารถแบ่งออกได้เป็นสองประเภท ได้แก่
Thrombotic Strokes เกิดจากลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดแดงที่ลำเลียงเลือดไปสู่สมอง มักเกิดในผู้สูงอายุ ผู้ที่มีระดับคอเลสเตอรอลสูง มีภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง หรือเป็นโรคเบาหวาน นอกจากนี้ ผู้ป่วยบางรายอาจเกิดอาการภาวะสมองขาดเลือดชั่วคราวที่เกิดในช่วงสั้น ๆ ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนว่าอาจเกิดอาการของโรคหลอดเลือดสมองตามมา
Embolic Strokes เกิดขึ้นเมื่อมีลิ่มเลือดที่บริเวณอื่นของร่างกายแล้วไหลไปปิดกั้นการไหลเวียนของเลือดไปสู่สมอง มักเกิดในผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ อย่างภาวะหัวใจห้องบนเต้นสั่นพลิ้วหรือเคยได้รับการผ่าตัดหัวใจมาก่อน โดย Embolic Strokes อาจเกิดอาการขึ้นโดยไม่มีสัญญาณบอกให้ทราบล่วงหน้า
การวินิจฉัย
การตรวจเลือด แพทย์อาจใช้วิธีการตรวจเลือดเพื่อดูความเร็วในการแข็งตัวของเลือด ระดับคอเลสเตอรอล ระดับน้ำตาลในเลือดในกรณีที่มีปริมาณสูงหรือต่ำกว่าปกติ หรือตรวจหาการติดเชื้อ
การทำซีที สแกน (CT Scan) และการตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) ซึ่งจะแสดงรายละเอียดภาพสมองเพื่อช่วยในการวินิจฉัย Ischemic Stroke เนื่องจากในบางกรณีอาจพบเนื้องอกหรือเลือดออกในสมอง
การตรวจหลอดเลือดใหญ่ที่คอด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (Carotid Ultrasound) เพื่อตรวจดูการไหลเวียนของเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง และตรวจดูคราบไขมันหรือพลัคที่เกาะอยู่ภายในหลอดเลือด
การทำเอคโคหัวใจ (Echocardiography) ด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ทำให้ภาพฉายการทำงานของหัวใจ จึงช่วยในการหาตำแหน่งที่เกิดการอุดตันของหลอดเลือดบริเวณหัวใจ ซึ่งอาจเป็นต้นเหตุของโรคหลอดเลือดสมอง
-
การฉีดสารทึบสีเพื่อตรวจดูหลอดเลือดสมอง (Cerebral Angiography) โดยแพทย์จะฉีดสีในสายสวนหลอดเลือดแดงที่ใส่ไว้บริเวณขาหนีบของผู้ป่วย เพื่อตรวจวินิจฉัยการอุดตันของหลอดเลือดบริเวณสมองและคอโดยตรง
-
-
-
-
ข้อวินิจฉัยการพยาบาล
- เสี่ยงต่อภาวะพร่องออกซิเจนจากทางเดินหายใจอุดกั้น
-
เกณฑ์การประเมินผล
- V/S อยู่ในเกณฑ์ปกติ โดยเฉพาะอัตราการหายใจ
PR = 60-100 ครั้งต่อนาที RR = 12-20 ครั้งต่อนาที และ O2 Saturation มากกว่าหรือเท่ากับ 95 %
- ไม่มีอาการแสดงภาวะพร่องออกซิเจน หายใจเร็ว ปีกจมูกบาน กระสับกระส่าย ซึมลง ปลายมือปลายเท้าเขียว ตัวเย็น เป็นต้น
- ผู้ป่วยนอนนิ่งสบาย สามารถหายใจตามเครื่องได้ (ไม่หายใจต้านเครื่อง) และไม่มีเสียงเตือนจากเครื่องช่วยหายใจ
- ผู้ป่วยไม่มีอาการเกร็งกัดท่อช่วยหายใจสามารถดูดเสมหะผู้ป่วยในท่อช่วยหายใจได้
- ลักษณะของเสมหะไม่เหนียวข้น และมีปริมาณน้อยลง เสมหะในปากและลำคอจำนวนลดลง ฟังเสียงปอดไม่ได้ยินเสียงเสมหะ
กิจกรรมการพยาบาล
- วัดสัญญาณชีพโดยเฉพาะ Pulse และ Respiration rate และประเมินระดับความรู้สึกตัว ประเมินอาการแสดงถึงการมีสิ่งอุดตันทางเดินหายใจส่วนล่าง เช่น หายใจเสียงครืดคราด หายใจเร็ว ชีพจรเร็ว กระสับกระส่าย ซึมลง ผิวเขียวคล้ำ (Cyanosis)
- ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับน้ำอย่างเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เพื่อทำให้บริเวณทางเดินหายใจไม่แห้งเสมหะจึงไม่ข้นและขับออกยาก
- ฟังเสียงปอดเพื่อประเมินเสมหะและตำแหน่งของท่อช่วยหายใจ ควรได้ยินเสียงลมหายใจเท่ากันเมื่อทรวงอกขยายขณะหายใจ ถ้ามีเสมหะคั่งค้างมาก ให้จัดท่าระบายเสมหะ โดยใช้อุ้งมือตบบริเวณที่ต้องการเอาเสมหะออก พร้อมให้ผู้ป่วยตะแคงหน้าไปด้านตรงข้าม
- ดูแล ET tube ให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมคือตำแหน่งที่ 22 เซนติเมตร ระวังไม่ให้สายดึงรั้ง ป้องกันการเลื่อนหลุดของท่อช่วยหายใจซึ่งอาจเกิดขึ้นระหว่างการเปลี่ยนท่านอน การเปลี่ยนตำแหน่งหรือการผูกรัดท่อช่วยหายใจใหม่ โดยติดพลาสเตอร์ให้เหมาะสมและแน่นพอเพื่อไม่ให้ท่อช่วยหายใจเกิดการเลื่อนหลุด และดูแล cuff pressure ให้อยู่ในช่วง 20-30 mmHg
- ดูแลดูดเสมหะให้ผู้ป่วยทุกครั้งที่ได้ยินเสียงเสมหะ ก่อนfeedอาหาร และทุก 2 ชั่วโมง เพื่อป้องกันภาวะทางเดินหายใจอุดกั้นจากเสมหะ โดยปฏิบัติดังนี้
-
-
-
เปิดความดันของเครื่องดูดเสมหะแบบ Regular เพื่อป้องกันการระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อของผู้ป่วย เนื่องจากผู้ป่วย On Prolong ET-Tube และมีการดูดเสมหะบ่อยครั้ง
หยด 0.9 Nacl ประมาณ 2 หยด เพื่อทำ lung Lavage ให้เสมหะอ่อนตัวลง ไม่เกาะเป็นก้อน สามารถดูดเสมหะได้ง่าย
ใช้เวลาดูดเสมหะไม่ควรเกิน 10-15 วินาที เพราะการดูดเสมหะนานเกินไปอาจทำให้เกิดภาวะกล่องเสียงหดเกร็ง (Laryngospasm)
ให้ออกซิเจน 100% หรือบีบ ambu bag ที่ต่อกับออกซิเจน ประมาณ2-3 นาทีภายหลังการดูดเสมหะแต่ละครั้ง และประเมินสภาพผู้ป่วยก่อนทำการดูดอีกครั้ง เพื่อป้องกันภาวะการขาดออกซิเจน
-
-
-
- เฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้จากการดูดเสมหะ
-
ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (Cardiac arrythmias) จากการที่กล้ามเนื้อหัวใจขาดออกซิเจนหรือการที่ปลายสายดูดเสมหะไปกระตุ้นเส้นประสาทสมองคู่ที่ 10 บริเวณผนังหลอดลมหรือจากการกระตุ้นระบบประสาทซิมพาเทติก อาจทำให้หัวใจเต้นช้า ขณะดูดเสมหะจึงควร monitor Heart rate ไว้ด้วย
- ดูแลเครื่องช่วยหายใจให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ให้ setting เครื่องตรงกับแผนการรักษา Mode Control mechanical ventilator (CMV) PCMV Pc 18 cmH2O, PEEP 5 cmH2O, O2 40%, RR 14 ครั้ง/นาที, Ftrig 2 l/min Pressure cuff 30 cmH2O
- ดูแลให้ได้รับยา Mysoven 200 MG. 1x2 pc หลังอาหารเช้าเย็น เพื่อละลายเสมหะ และเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนจากยา เช่น มื่นพิษขึ้นที่ผิวหนัง หน้าบวม ปากบวม ลิ้นบวมหายใจติดขัด แน่นหน้าอก
- ดูแลให้ได้รับยาขยายหลอมลมตามแผนการรักษา คือ ยาสูดพ่น Inhalex forte 4 ml. (Ipratopium bromide + fenoterol) พ่นทางเครื่องพ่นยา (Nebulizer) ครั้งละ 1 หลอด (Nebule) ทุก 8 hr. เพื่อเปิดทางเดินหายใจให้โล่งสะดวกต่อการหายใจมากยิ่งขึ้น
การประเมินผล
V/S และ O2 Saturation อยู่ในเกณฑ์ปกติ (ประเมินวันที่ 2 ธันวาคม 2563)
- อุณหภูมิร่างกาย = 37.4 องศาเซลเซียส
- ความดันโลหิต = 104/67 mmHg
- ชีพจร = 96 ครั้งต่อนาที
- อัตราการหายใจ 18 ครั้งต่อนาที
- O2 Saturation = 99%
-
-
-
-
-
-
-
- มีภาวะแทรกซ้อนเนื่องจากไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้
ข้อมูลสนับสนุน
-
มีแผลกดทับบริเวณก้นกบ ขนาด 5x7 cm Stage 2 มี Discharge ซึมเล็กน้อย ขอบแผลไม่แห้ง มี slough อยู่ตรงกลางแผล ขนาด 3x3 Unstaging (ประเมินวันที่ 1 ธันวาคม 2563)
-
-
-
-
-
-
-
กิจกรรมการพยาบาล
ประเมินผิวหนังทุกครั้งที่พลิกตะแคงตัว สังเกตรอยแดง แผลพุพอง หรือความผิดปกติของผิวหนังโดยเฉพาะบริเวณปุ่มกระดูกที่ถูกกดทับ
ลดแรงกดทับและการเสียดสี โดยการพลิกตะแคงตัวทุก 2 ชั่วโมง ใช้เตียงลม หรือเบาะรองนุ่มๆเพื่อลดแรงกดทับ ดูแลไม่ให้ผิวหนังเสียดสีกับผ้าปู ไม่ดึงกระชากผ้าปู เลื่อนตัวและพลิกตะแคงผู้ป่วย อย่างนุ่มนวล ดูแลให้ผ้าปูเรียบตึง ไม่เหี่ยวย่น เพื่อเป็นการลดแรงเสียดสีที่ประทำต่อผิวหนังผู้ป่วย
ดูแลผิวหนัง โดยการ Dressing Wound ด้วย 0.9% NSS โดยวิธีปราศจากเชื้อ และปิดแผลด้วย top gauze เพื่อป้องกันอุจจาระหรือปัสสาวะซึมเข้าสู่แผลและทำให้เกิดการอับชื้น และทาบริเวณรอยแดงด้วย Zinc Oxide เพื่อบรรเทาการระคายเคืองของผิวหนัง และปกป้องผิวหนังจากสารก่อความระคายเคืองและการอับชื้น
ดูแลทำความสะอาดทุกครั้งที่ผู้ป่วยปัสสาวะหรืออุจจาระ โดยการนำสำลีชุบน้ำเช็ดทำความสะอาดหรือถ้ามีการสกปรกมาก ใช้สำลีชุบน้ำสบู่เช็ดทำความสะอาด และซับให้แห้ง เนื่องจากหากปล่อยให้ผู้ป่วยนอนแช่อุจจาระหรือปัสสาวะ ความอับชื้นจะทำให้เกิดแผลกดทับเพิ่มขึ้นได้
ดูแลให้ได้รับอาหาร BD ( 1.5:1 ) 200x4 feed TV 1200 TC 1500 ตามแผนการรักษา เนื่องจากการได้รับสารอาหารครบถ้วน ช่วยในการสังเคราห์โปรตีน สร้างคอลลาเจน ทำให้แผลหายเร็ว
- ภาวะข้อติดแข็งและภาวะ foot drop
ถ้าผู้ป่วยอยู่ในท่านอนหงาย ใช้ผ้าหรือหมอนเล็กๆหนุนบริเวณข้อสะโพก เข่า ขา ให้อยู่ในแนวที่ถูกต้อง ปลายเท้าไม่หนุนออกป้องกันการผิดรูป
-
บริหารข้อต่างๆ ตามหลักของ ROM. (Range of motion) และทำ Passive exercise เพื่อป้องกันการเกิดข้อยึดติด เพื่อป้องกันการเกิดข้อยึดติด โดยการดูแลต้องเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ
ดูแลส่วนต่างๆของร่างกายให้อยู่ในท่าที่ถูกต้อง พลิกตะแคงตัวทุก 2 ชั่วโมง เพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนบริเวณนั้นได้ดีขึ้น
-
ดูแลไม่ให้สาย NG Tube เลื่อนหลุดจากตำแหน่งเดิม โดยการติด Fixomull ยึดตรึงสายไม่ให้เลื่อนหลุด และควรเปลี่ยน Fixomull ทุกวัน
จัดท่านอน High Fowler’s Position ก่อนทำการ Feed อาหารทุกครั้ง และหลังรับประทานอาหารให้อยู่ในท่าเดิม 30 นาที เพื่อป้องกันการสำลัก และการเกิดภาวะกรดไหลย้อน
ก่อน Feed อาหารให้แก่ผู้ป่วย ควรตรวจสอบถุงอาหารโดยการเช็ควันหมดอายุ สูตรอาหาร ชื่อผู้ป่วย เพื่อเช็คความถูกต้องทุกครั้ง
ก่อน Feed อาหารให้แก่ผู้ป่วย ตรวจสอบ Gastric Content หากมี Gastric Content มากกว่า 50 cc ให้เลื่อนมื้ออาหารไป 30 นาที หากพบว่ายังมี Gastric Content มากกว่า 50 cc ให้ยกเลิกมื้ออาหารมื้อนั้น และสังเกตสีของ Gastric Content หากมี Coffee ground ให้รีบรายงานแพทย์ทันที
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับสารน้ำสารอาหารที่เพียงพอ สูตรอาหาร BD (1.5:1) 200 x 4 feed TV1200 TC1500 น้ำตาม 100 ml
-
-
ดูแลให้ได้รับอาหาร BD ( 1.5:1 ) 200x4 feed TV 1200 TC 1500 ตามแผนการรักษาเพื่อให้ได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วน
-
-
-
- ดูแลป้องกันการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ
สังเกตลักษณะ สี กลิ่น ของปัสสาวะ เพื่อประเมินอาการการติดเชื้อ หากมีการติดเชื้อจะสามารถรายงานแพทย์ได้ทันที
-
ทำความสะอาดทุกครั้งเมื่อผู้ป่วยปัสสาวะหรืออุจจาระ ไม่ให้ผู้ป่วยนอนแช่นานๆ ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะได้
- ดูแลป้องกันการเกิดอันตรายต่อภาวะน้ำตาลในเลือดสูง
-
-
-
- ส่งเสริมการดูแลแบบประคับประคอง (Palliative Care) แก่ผู้ป่วยที่เข้าสู่ระยะสุดท้ายของชีวิต
ข้อมูลสนับสนุน
SD
ญาติให้ข้อมูลว่า ตอนผู้ป่วยยังมีสติสัมปชัญญะดีอยู่ ผู้ป่วยบอกแก่ญาติว่า หากผู้ป่วยเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล ผู้ป่วยไม่ต้องการการรักษาที่ทำให้เกิดความทรมาน เช่น การ CPR กู้ชีพ หรือการเจาะคอ เป็นต้น
-
-
เกณฑ์การประเมินผล
-
-
ญาติสามารถตัดสินใจต่อปัญหาปลาย ET- Tube อุดตันได้ โดยพิจารณาจากแผนการรักษาของแพทย์ที่แพทย์อธิบายให้ฟัง
กิจกรรมการพยาบาล
- สร้างความคุ้นเคยและความไว้วางใจให้แก่ญาติผู้ป่วย เพื่อให้ญาติผู้ป่วยได้มีส่วนร่วมและให้ความร่วมมือในการดูแลแบบประคับประคอง
- ดูแลบรรเทาความเจ็บป่วยทางด้านร่างกาย จิตใจ และสังคม บริหารจัดการลดอาการที่ไม่สุขสบายให้แก่ผู้ป่วยระยะสุดท้ายของชีวิต
การบรรเทาอาการต่างๆ
การบรรเทาอาการหอบเหนื่อย สาเหตุของอาการหอบเหนื่อยในกรณีศึกษานี้ คือทางเดินหายอุดกั้น จึงให้การพยาบาลจัดการกับสาเหตุโดยการดูดเสมหะทั้งในลำคอและท่อช่วยหายใจ และการให้ยาละลายเสมหะ Mysoven 200 MG. 1x2 pc หลังอาหารเช้าเย็น เพื่อทำให้เสมหะอ่อนตัวลง ไม่เหนียวข้น และ ยาสูดพ่น Inhalex forte 4 ml. (Ipratopium bromide + fenoterol) พ่นทางเครื่องพ่นยา (Nebulizer) ครั้งละ 1 หลอด (Nebule) ทุก 8 hr. เพื่อเปิดทางเดินหายใจให้โล่งสะดวกต่อการหายใจมากยิ่งขึ้น และหากผู้ป่วยมีอาการหอบเหนื่อยมาก ให้รีบจัดท่านอนศีรษะสูงให้กับผู้ป่วย เตรียมดูดเสมหะ และเตรียม ambu bag เพื่อทำการดูดเสมหะให้แก่ผู้ป่วย โดยขณะดูดเสมหะ ให้ monitor Heart Rate และ O2 Saturation เพื่อประเมินอาการของผู้ป่วยไว้ด้วย
ดูแลให้ได้รับการใช้เครื่องช่วยหายใจอย่างมีประสิทธิภาพ setting เครื่องตรงกับแผนการรักษา Mode Control mechanical ventilator (CMV) PCMV Pc 18 cmH2O, PEEP 5 cmH2O, O2 40%, RR 14 ครั้ง/นาที, Ftrig 2 l/min Pressure cuff 30 cmH2O และตรวจกระบอกความชื้น (humidifier) ให้มีน้ำอยู่ตลอดเวลา ระวังไม่ให้น้ำอยู่ต่ำกว่าระดับที่กำหนด เพื่อป้องกันเสมหะเหนียวข้น และไม่ให้น้ำอยู่ในระดับที่สูงกว่าที่กำหนด เพราะจะทำให้แรงดันขณะหายใจของผู้ป่วย ทำให้น้ำเข้าสู่หลอดลมได้ โดยอุณหภูมิของน้ำในการทำความชื้นอยู่ระหว่าง 35-36องศาเซลเซียส
ดูแลให้ได้รับการเปลี่ยนพลาสเตอร์ติดท่อช่วยหายใจทุกวัน ให้ท่อช่วยหายใจอยู่ตรงกลางปากเนื่องจากผู้ป่วยชอบกัดท่อช่วยหายใจ และเพื่อป้องกันการเกิดแผลกดทับและเพื่อความสุขสบายของผู้ป่วย ดูแลไม่ให้ Tube กดที่มุมปากข้างใดของหนึ่ง และประเมินตำแหน่งของท่อช่วยหายใจว่าเกิดการเลื่อนหลุดหรือไม่
บรรเทาอาการปวดต่างๆ โดยใช้ยา Fentanyl transdermal patch 50 mcg/hr แปะที่หน้าอก ทุก 3 วัน เปิดเพลงให้ผู้ป่วยฟัง สัมผัสผู้ป่วยโดยความนุ่มนวล จัดท่าให้ผู้ป่วยเกิดความรู้สึกสบาย
-
หากผู้ป่วยมีอาการและอาการแสดงของการติดเชื้อ ให้แจ้งแพทย์เจ้าของไข้และดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษา
ดูแล Dressing Wound ที่แผลกดทับให้แก่ผู้ป่วย เพื่อให้แผลมีขนาดเล็กลง ให้ผู้ป่วยเกิดความไม่สุขสบายน้อยที่สุด
ดูแลให้ได้รับการทำ Passive Exercise เพื่อให้ข้อสามารถขยับได้ตามขอบเขตมากยิ่งขึ้น และลดอาการเจ็บปวดเมื่อผู้ป่วยได้รับการขยับตามข้อต่างๆ
-
-
-
-
-
-
- ดูแลให้ญาติมีส่วนร่วมในการดูแลผู้ป่วย เนื่องจากผู้ป่วยไม่สามารถตอบสนองความต้องการต่อกิจวัตรประจำวันได้
สอนให้ญาติทำความสะอาดร่างกายผู้ป่วยอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง หรือทุกครั้งที่มีการเปียกชื้นจาก เปื้อนสิ่งสกปรกโดยไม่ให้ผู้ป่วยนอนทับปัสสาวะ อุจจาระ ควรเปลี่ยนผ้ารองซับ ทุกครั้งที่มีการขับถ่าย ถ้าผ้าชั้นอื่นมีการปนเปื้อนให้เปลี่ยนเสมอ และทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์หลังขับถ่ายทุกครั้ง ควรฟอกสบู่ให้สะอาดแล้วล้างด้วยน้ำเปล่าจากนั้นซับให้แห้งเสมอ การเช็ดควรเช็ดจากบริเวณหัวเหน่าลงไปบริเวณรูทวาร ไม่ควรเช็ดย้อนขึ้นมา
สอนให้ญาติประเมินผิวหนังผู้ป่วยทุกครั้งที่พลิกตะแคงตัว พลิกตะแคงตัวทุก 2 ชั่วโมง สังเกตรอยแดง แผลพุพอง หรือความ ผิดปกติของผิวหนังโดยเฉพาะบริเวณปุ่มกระดูกที่ถูกกดทับ ดูแลไม่ให้ผิวหนังเสียดสีกับผ้าปู ไม่ดึงกระชากผ้าปู เลื่อนตัวและพลิกตะแคงผู้ป่วย อย่างนุ่มนวล ดูแลให้ผ้าปูเรียบตึง ไม่เหี่ยวย่น
สอนญาติในการจัดท่าให้กับผู้ป่วย เนื่องจากญาติยังไม่เข้าใจเกี่ยวกับการจัดท่าในภาวะที่ผู้ป่วย มีfoot drop สอนให้ญาติรับทราบการจัดท่าเพื่อป้องกันภาวะการเกิด foot drop และให้ญาติลองจัดท่าให้แก่ผู้ป่วย
- กรณีการเกิดภาวะปลาย Tube อุดตันเนื่องจากผู้ป่วย on Prolong ET-Tube
-
ให้ญาติผู้ป่วยเป็นคนตัดสินใจในการรักษาผู้ป่วย โดยอธิบายข้อมูลให้ครบถ้วน ชัดเจน เพื่อให้ญาตินำข้อมูลไปประกอบการตัดสินใจการรักษา และเปิดโอกาสให้ญาติซักถามในสิ่งที่ญาติไม่เข้าใจ
- การเตรียมดูแลญาติผู้ป่วยหลังผู้ป่วยได้จากไปอย่างสงบ
ช่วงเวลาที่ผู้ป่วยเสียชีวิต เป็นช่วงเวลาที่ยากสำหรับญาติและบุคคลใกล้ชิดทุกคน บอกญาติว่าพยายามอย่าตกใจจนเกินไปและในขณะเดียวกันก็ควรให้ตัวเองได้แสดงความรู้สึก เช่น การร้องไห้ น้ำตาเป็นสัญลักษณ์ของความรักไม่ใช่ความอ่อนแอ (Initial grief counseling) หลังจากได้ทำทุกอย่างตามขั้นตอนขอให้คิดว่าสิ่งที่ได้ดูแลผู้ป่วยตามขั้นตอนในช่วงเวลาที่ผ่านมาเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว ถึงเวลาแล้วที่จะต้องกลับมาอยู่กับความเป็นจริง ชีวิตของทุกคนต้องดำเนินต่อไป และเมื่อผู้ป่วยเสียชีวิตให้ญาติใช้เวลากับผู้ป่วยอย่างเต็มที่
- เสี่ยงต่อภาวะปอดอักเสบจากการใช้เครื่องช่วยหายใจเป็นเวลานาน
-
-
เกณฑ์การประเมินผล
V/S อยู่ในเกณฑ์ปกติ (Body Temperature = 36.5 – 37.4 องศาเซลเซียส , Blood Pressure 90-130/60-80 mmHg , Pulse = 60-100 ครั้ง/นาที , Respiratory rate=16-20 ครั้ง/นาที และ O2 Saturation > 95%)
-
กิจกรรมการพยาบาล
- ประเมินสัญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง เพื่อประเมินและเฝ้าระวังอาการนำของการติดเชื้อ คือ มีไข้ หายใจเร็ว เป็นต้น
- ทําความสะอาดมือด้วยวิธี hygienic hand washing ก่อนและหลังการทํากิจกรรมกับผู้ป่วยอย่างถูกวิธีโดยใช้น้ำยาฆ่าเชื้อหรือ alcohol hand rub เพื่อลดการสะสมของเชื้อโรค
- ดูดเสมหะโดยใช้หลักสะอาดปราศจากเชื้อ
- ล้างมือโดยใช้น้ำยาฆ่าเชื้อหรือ alcohol hand rub (hygienic hand washing) ก่อนและหลังการดูดเสมหะผู้ป่วยและสวมอุปกรณ์ป้องกัน
- เมื่อมีการปลดสายต่อเข้าเครื่องช่วยหายใจออกจากท่อช่วยหายใจของผู้ป่วย ต้องเช็ดปลายเปิดท่อช่วยหายใจและปลายข้อต่อของเครื่องช่วยหายใจด้วยแอลกอฮอล์ 70% และแขวนไว้โดยระมัดระวังการปนเปื้อนเชื้อบริเวณข้อต่อวงจรเครื่องช่วยหายใจ ไม่วางบนเตียงหรือบนตัวผู้ป่วย
- หัวต่อของ resuscitator bag ให้เช็ดด้วยแอลกอฮอล์70% และแขวนเก็บเข้าที่เปลี่ยน resuscitator bag ใหม่เมื่อสกปรก
- เมื่อดูดเสมหะแล้ว ปลดสายดูดเสมหะใส่ถังมูลฝอยติดเชื้อมีฝาปิดมิดชิดและใช้สําลีชุบแอลกอฮอล์ 70% เช็ดอุปกรณ์ต่างๆดังนี้ 1.เช็ดรอบข้อต่อด้านนอกท่อช่วยหายใจของผู้ป่วย 2. เช็ดด้านในข้อต่อเครื่องช่วยหายใจโดยให้เปลี่ยนสําลีทุกครั้งเมื่อเปลี่ยนตําแหน่ง
- ประเมินสี กลิ่นและจำนวนของเสมหะ ถ้าเสมหะมีการเปลี่ยนสีเป็นสีเหลืองหรือสีเขียว มีกลิ่นเหม็น ให้รายงานแพทย์
- ดูแลความสะอาดช่องปากและฟันโดยการแปรงฟันและลิ้น อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เพื่อลดการสะสมของเชื้อโรคในช่องปาก
- ให้ผู้ป่วยนอนในท่าศีรษะสูงอย่างน้อย 30 นาทีหลังให้อาหาร เพื่อป้องกันการสำลัก
- หลีกเลี่ยงการดูดเสมหะหลังให้อาหารอย่างน้อย 1 ชั่วโมง
- ดูแลให้ได้รับยาลดกรดในกระเพาะอาหาร OMEPRAZOE CAPSULES 20 MG. (GPO) 1x1 oral ac เช้า เพื่อป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ทําให้แบคทีเรียเจริญเติบโตมากในกระเพาะอาหาร ถ้ามีอาการอาเจียนจะสําลักเชื้อจะเข้าปอดได้มาก
การประเมินผล
V/S และ O2 Saturation อยู่ในเกณฑ์ปกติ (ประเมินวันที่ 2 ธันวาคม 2563)
- อุณหภูมิร่างกาย = 37.4 องศาเซลเซียส
- ความดันโลหิต = 104/67 mmHg
- ชีพจร = 96 ครั้งต่อนาที
- อัตราการหายใจ 18 ครั้งต่อนาที
- O2 Saturation = 99%
-