Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
Case study ward PP เตียง 10 (มภร15/2), นศพต.พรพรรณ มัทวัง เลขที่ 41 -…
Case study
ward PP
เตียง 10
(มภร15/2)
ข้อมูลส่วนตัว
หญิงไทยหลังคลอด อายุ 43 ปี
นับถือศาสนาอิสลาม
G3P2002
คลอด Normal labor
GA 37 +2 wks by date
ทารกเพศชาย หนัก 2,310 กรัม
•รับใหม่ PP วันที่ 8 พฤศจิกายน 2563
•รับไว้ในความดูแล วันที่ 9 พฤศจิกายน 2563
อาชีพ : ขายของออนไลน์
รายได้เฉลี่ยต่อเดือน : 5,000 บาท
ไม่มีปัญหาทางเศรษฐกิจ
สภาพแวดล้อมที่บ้าน : เป็นบ้านเช่า หลังเดี่ยว
•ANC ที่โรงพยาบาลตำรวจ 10 ครั้ง
มาฝากครรภ์ครั้งแรก ตอนอายุครรภ์ 5 +3 wks by date
•BMI = 24.65 TWG 10.3 kg (60 —> 70.3)
•⚠️ risk
Elderly pregnancy
วันที่ 8 พฤศจิกายน 2563 รู้สึกท้องแข็ง ทุก 5-10 นาที ผ่านไป 1 ชั่วโมง มีเลือดสดออก จึงมาโรงพยาบาล เวลา 09.30 น พบปากมดลูกเปิด 4 cm จึง admit LR
Term Pregnancy
09.30 น ปากมดลูกเปิด 4 cm
active phase ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 20 นาที
Fully dilate 10.50 น.
คลอด 11.04 น.
Blood loss ที่ LR 200 ml
อาการสำคัญที่มาโรงพยาบาล
4 hr PTA มีอาการปวดท้อง ทุก 5 นาที นาน 30 วินาที มีมูกเลือด ไม่มีน้ำเดิน ลูกดิ้นดีมากกว่า 10 ครั้ง/วัน ไม่มีอาการจุกแน่นลิ้นปี่ ไม่มีอาการปวดหัว
ไม่มีอาการพร่ามัว ไม่มีอาการหน้าบวม
8 พ.ย 63
Dx : Normal labor with Mild preeclampsia
ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ
วันที่ 8 พฤศจิกายน 2563
โลหิตวิทยา
• WBC = 152,200 /uL : สูงกว่าปกติ
• Neutrophil = 85.8% : สูงกว่าปกติ
• Lymphocyte = 9.2% : ต่ำกว่าปกติ
เคมีคลินิก
Uric acid = 7.9 : สูงกว่าปกติ
•Protein (urin-spot) = 82.2 mg/dL : สูงกว่าปกติ
•Protein/Creatinine = 0.3
•Creatinine (urin-spot) = 274.92 mg/dL : สูงกว่าปกติ
Albumin (UA) = 3+
Ketone (UA) = Trace
Urobilinogen (UA) = Normal
specific gravity (UA) = มากกว่าหรือเท่ากับ 1.030
Blood = 3+
13 B
1.Background
•G3P2
•GA 37 +2 wks by date
•ทารกเพศชาย น้ำหนัก 2,310 กรัม
•บุตรคนแรก อายุ 15 ปี เพศ
บุตรคนที่สอง อายุ 11 ปี เพศ
•ประวัติเจ็บป่วย : ปฏิเสธ
•ประวัติเจ็บป่วยในครอบครัว
บิดา —> ความดันโลหิตสูง
มารดา —> ความดันโลหิตสูงและเบาหวาน
2.Body condition
•day 0 : ไม่มีภาวะซีด พยาบาลช่วยเหลือกิจกรรมบนเตียงบางส่วน เคลื่อนไหวได้ปกติ ทานอาหารได้ปกติ
•day 1 : สีหน้าแจ่มใส ไม่มีอาการอ่อนเพลีย เคลื่อนไหวได้ปกติ พักผ่อนนอนหลับดี สามารถให้นมบุตรได้
•day 2 : ร่างกายสะอาด ไม่มีอาการอ่อนเพลีย สีหน้าแจ่มใส พักผ่อนนอนหลับปกติ สามารถให้นมบุตรได้
3.Body temperature and Blood pressure
:star: 9/11/2563
เวลา 10.00 น
T = 36.4 องศาเซลเซียส
BP = 141/74 mmHg
P = 94 ครั้ง/นาที
RR = 18 ครั้ง/นาที
PS = 2 คะแนน
เวลา 14.00 น
BP = 152/89 mmHg
:star: 10/11/2563
เวลา 10.00 น
T = 36.4 องศาเซลเซียส
BP = 144/84 mmHg
P = 18 ครั้ง/นาที
RR = 18 ครั้ง/นาที
PS = 0 คะแนน
4.Braest and lactation
หัวนมข้างขวาน้ำนมไม่ไหล หัวนมข้างซ้ายน้ำนมไหลดี 1+ เป็นน้ำนมชนิด colostrum สามารถนำลูกเข้าเต้าได้เป็นเวลาประมาณ 30 นาที ประเมิน LATCH Score = 10 คะแนน
L = Latch การอมหัวนม : 2คะแนน คือ ลิ้นใต้ลานริมฝีปากทั้ง2ข้างบานออก
A = Audible เสียงกลืนนม : 2 คะแนน คือ ได้ยินเสียงกลืนเป็นช่วงๆ
T = Type of nipple ลักษณะหัวนมมารดา : 2 คะแนน คือ หัวนมยื่นออกมาดี
C = Comfort ความสบายในการให้นม : 2 คะแนน คือ เต้านมนุ่ม ยืดหยุ่นดี
H = Hold การอุ้ม : 2 คะแนน คือ ท่าอุ้มถูกต้อง
5.Belly and Fundus
หน้าท้องมี linea nigra และ striae gravidarum สีเงิน คลำ High fundus ได้แต่ไม่ชัดจึงไม่สามารถวัดระดับยอดมดลูกได้
6.Bladder
ไม่พบปัญหา Bladder full สามารถ void ได้เอง
7.Bledding and Lochia
Day 0 : Bleeding per vagina 20 cc in hrs. น้ำคาวปลาสีแดงเข้ม ไม่มีกลิ่นเหม็น
Day 1 :ไม่มีbleeding น้ำคาวปลาสีแดง จาง ไม่มีกลิ่นเหม็น
Day 2 : น้ำคาวปลาสีชมพู ไม่มีกลิ่นเหม็น
8.Bottom
แผลฝีเย็บแบบ RML 2 degree tear
REEDA : ไม่แดง ไม่บวม ไม่ช้ำ ไม่มีจ้ำเลือด ไม่มี Dischargeซึม แผลชิดสนิทกันดี
แผลไม่tear ถึงทวารหนัก
9.Bowel movement
Day 0 : ยังไม่ถ่ายอุจจาระ ท้องอืดเล็กน้อย
Day 1 : ยังไม่ถ่ายอุจจาระ ท้องอืดเล็กน้อย
Day 2 : ยังไม่ถ่ายอุจจาระ ท้องอืดมาก
10.Blue
Day 0 : ไม่มีอาการอ่อนเพลีย ไม่มีอาการซึมเศร้า อยากเจอหน้าลูก
Day 1 : ไม่มีอาการอ่อนเพลีย ใบหน้าสดชื่น ยิ้มแย้มแจ่มใส
Day 2 : ไม่มีอาการอ่อนเพลีย นอนหลับปกติ ไม่มีอาการซึมเศร้า ใบหน้าสดชื่น
11.Baby
ทารกเพศชาย น้ำหนัก 2,310 กรัม ความยาว 50 cm apparently score 9 10 10 ทารกผิวแดงดี ไม่ซีด ร้องดี สะดือสด ไม่มี Discharge หายใจปกติ ไม่มี retraction อัณฑะลงถุงทั้งสองข้าง ปลายเปิดรูปัสสาวะปกติ ทวารหนักปกติ
12.Bonding
มารดาสนใจในการให้นมบุตร เป็นห่วงบุตร ไม่ปล่อยให้ทารกอยู่บนเตียงคนเดียว เอาบุตรมานอนข้างตัวเสมอ
13.Belief
มารดาตั้งใจจะเลี้ยงบุตรด้วยตนเองและเลี้ยงด้วยน้ำนมแม่
พยาธิสภาพของหญิงตั้งครรภ์หลังคลอดที่เปลี่ยนแปลงไป
มดลูก
มดลูกจะมีการเข้าอู่ (Involution of uterus) กลับเข้าสู่อุ้งเชิงกราน มี 2 กระบวนการ คือ 1. มดลูกขาดเลือดไปเลี้ยง ( Ischemia)
การย่อยตัวเอง (Autolysis or self digestion)
:<3:ระดับยอดมดลูกจะลดลงวันละ 0.5-1 นิ้ว
น้ำคาวปลา
Lochia rubra : 1-3 วันแรก : สีแดงเข้ม
Lochia serosa : 4-9 วัน : สีชมพู-น้ำตาล
Lochia alba : 10-14 วัน : สีเหลือง สีขาว
Foul lochia : น้ำคาวปลามีกลิ่นเหม็น อาจเกิดจากการติดเชื้อ
ปากมด
ลูกหลังคลอดทันทีปากมดลูกจะมีลักษณะนุ่มมากและไม่เป็นรูปร่าง (Malleable) ทั้งปากมดลูกด้านใน (Internal os) และปากมดลูกด้านนอก (External os) จะเปิดกว้างและจะค่อยๆปิดให้แคบลง หลังคลอด 1 สัปดาห์ ปากมดลูกจะกว้างประมาณ 1 เซนติเมตร ลักษณะแข็งและเป็นรูปร่างมากขึ้น ใน 6 สัปดาห์หลังคลอด
ช่องคลอด
เยื่อพรหมจารี (Hymen) มีการฉีกขาดอย่างถาวรเป็นติ่งเนื้อเล็กๆ ช่องคลอดจะอ่อนนุ่มมาก รอยย่นภายในช่องคลอดจะลดน้อยลง
:star: แก้ไขให้กระชับโดยวิธีฝึกขมิบช่องคลอด (Kegel's exercises)
ฝีเย็บ
มารดาหลังคลอดจะปวดแผลฝีเย็บ และแผลจะหายเป็นปกติภายใน 5-7 วัน
เต้านม
จะมีการสร้างและหลั่งน้ำนม โดยเรียกกลไกนี้ว่า " Let-down reflex" น้ำนมมารดามี 3 ชนิด ตามระยะเวลาที่เปลี่ยนแปลงไป ได้แก่ 1.น้ำนมเหลือง (Colostrum) 2.น้ำนมระยะปรับเปลี่ยน (Transitional milk) 3.น้ำนมแท้ (True milk or mature milk)
จิตใจ
การปรับตัวของมารดาหลังคลอดออกเป็น 3 ระยะ ดังนี้
ระยะที่ 1 : ระยะที่มีพฤติกรรมพึ่งพา (Taking-in phase) = ใช้เวลา 1-2 วันหลังคลอด มารดาอาจจะเฉื่อยชาไม่ค่อยเคลื่อนไหว พูดมากแต่ไม่กล้าลงมือทำ ลังเลใจ มุ่งตนเองและต้องการพึ่งพาผู้อื่น สนใจแต่ความต้องการและความสุขสบายของตนเอง
ระยะที่ 2 : ระยะพฤติกรรมระหว่างพึ่งพาและไม่พึ่งพา (Taking-hold phase) = ใช้เวลาประมาณ 10 วัน มีการปรับตัวกับชีวิตใหม่ ได้พักผ่อนและฟื้นจากการสูญเสียพลังงานในระยะคลอด สนใจตัวเองน้อยลง สนใจบุตรมากขึ้น
ระยะที่ 3 : ระยะพฤติกรรมพึ่งพาตนเอง (Letting-go-phase) = มารดาดำเนินชีวิต การปรับตัวเข้าสู่บทบาทใหม่และแสดงบทบาทได้ดี
คำแนะนำหลังกลับบ้าน
คำแนะนำหลังกลับบ้าน
การปฏิบัติตนของมารดาหลังคลอดการดูแลสุขภาพร่างกาย
1.รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และมีคุณค่าครบถ้วนควรเป็นอาหารที่มีโปรตีนสูง เนื้อ นม ไข่ ผักสดและผลไม้ต่างๆ ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอทุกวัน
2.หลีกเลี่ยงอาหาร ที่มีรสจัดของหมักดอง น้ำชา กาแฟ และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
3.ห้ามรับประทานยาดองเหล้า ยาขับเลือดและยาสตรีต่างๆ เพราะจะทำให้มีเลือดออกทางช่องคลอดที่ผิดปกติได้
4.ควรนอนพักให้เพียงพอ อย่างน้อย วันละ 6-8 ชั่วโมง ทำจิตใจให้แจ่มใสไม่เคร่งเครียดเกินไป
5.อาบน้ำทำความสะอาดร่างกาย อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง
6.ทำความสะอาดบริเวณแผลฝีเย็บ โดยการล้างจากด้านหน้าไปด้านหลัง วันละ 2 ครั้ง ด้วยสบู่และน้ำสะอาด
การคุมกำเนิด
ตามปกติหลังคลอดควรคุมกำเนิดไว้ก่อนประมาณ 2 ปี เพื่อร่างกายได้พักผ่อน ในคุณแม่ที่มีบุตรคนแรกควรคุมกำเนิดแบบชั่วคราว ได้แก่ การกินยาเม็ดคุมกำเนิด ยาฉีดคุมกำเนิด การใช้ถุงยางอนามัย และการใส่ห่วงอนามัย ในคุณแม่ที่มีบุตรเพียงพอแล้ว ควรคุมกำเนิดชนิดถาวรโดยการทำหมัน
การดูแลบุตร
1.ควรเลี้ยงดูบุตรด้วยน้ำนมมารดาอย่างเดียวจนบุตรอายุ 6 เดือน จึงเริ่มให้อาหารเสริม เพราะระบบการย่อยและการดูดซึมสารอาหารของลูกจะเริ่มพัฒนาจนสามารถรับอาหารอื่นๆ นอกจากน้ำนมได้
2.ให้บุตรได้รับน้ำนมมารดาติดต่อกัน อย่างน้อย 6 เดือน ในกรณีที่คุณแม่ทำงานนอกบ้าน อาจบีบน้ำนมใส่ถุงเก็บน้ำนม เก็บในตู้เย็นไว้ให้บุตร
3.นำบุตรมาตรวจสุขภาพ และรับการฉีดวัคซีนตามนัดทุกครั้ง โดยดูวันนัดในสมุดสุขภาพมารดา และทารก(เล่มสีชมพู) คุณแม่อาจนำบุตรไปรับบริการที่สถานบริการใกล้บ้านได้ เมื่อบุตรอายุ 2 เดือน
4.ในกรณีที่มีปัญหาในการเลี้ยงดูบุตรคุณแม่สามารถขอรับคำปรึกษา จากสถานบริการสาธารณสุขได้ทุกแห่ง
อาการผิดปกติที่ควรมาพบแพทย์
1.ปวดท้องมีเลือดออกทางช่องคลอดผิดปกติหรือน้ำคาวปลามีกลิ่นเหม็น หรือมีสีแดงตลอด 15 วันหลังคลอด
2.แผลผ่าตัดคลอด หรือแผลฝีเย็บแยก/มีหนอง เต้านมเป็น ฝี บวม ปวด
3.มีไข้ หนาวสั่น
4.มีอาการปวด แสบขัด เวลาถ่ายปัสสาวะ
5.ปวดศีรษะรุนแรง
การออกกำลังกายและการทำงาน
1.ไม่ควรยกของหนัก เดินขึ้นลงบันไดบ่อยๆ ในระยะหลังคลอด 6 อาทิตย์แรก
2.คุณแม่สามารถทำงานบ้านที่เบาๆ เช่น ปรุงอาหาร ล้างจาน เก็บเสื้อผ้า ฯลฯ รวมทั้งการดูแลบุตร
3.การบริหารร่างกายหลังคลอด จะช่วยให้ร่างกายกลับสู่สภาพปกติ และมีความแข็งแรงเพิ่มขึ้น คุณแม่ที่คลอดปกติ ควรเริ่มทำหลังคลอดประมาณ 2-4 สัปดาห์
4.งดการมีเพศสัมพันธ์กับสามีในระยะหลังคลอด 4 สัปดาห์แรก
การตรวจหลังคลอด
แพทย์นัดตรวจอีกครั้ง 6 สัปดาห์หลังคลอด เพื่อตรวจดูว่าอวัยวะภายในต่างๆกลับเข้าสู่สภาพปกติแล้วหรือยัง ในวันนั้นจะมีการชั่งน้ำหนัก วัดความดันโลหิต และตรวจภายใน ซึ่งจะตรวจเช็คมะเร็งปากมดลูกให้ด้วย ในวันที่มาตรวจควรสวมกระโปรงหรือผ้าถุงเพื่อความสะดวก
อาการผิดปกติของเด็ก
ที่ควรมาพบแพทย์ทันที
1.อาการตัวเหลือง ถ้าเห็นตัวเหลืองมากขึ้นทุกวันคล้ายขมิ้น อาจทดสอบโดยใช้นิ้วกดบริเวณผิวหนังแล้วปล่อยดู จะเห็นความเหลืองชัดเจน
2.เขียว ขณะกินนมหรือขณะร้อง หายใจหอบรอบปากเขียวคล้ำ
3.มีไข้สูง ร้องกวน ไม่ดูดนม เช็ดตัวแล้วไข้ยังไม่ลดลง
4.ทารกซึมไม่ดูดนม
5.อาเจียนหรืออาเจียนพุ่ง ทุกครั้งที่กินนม
6.สะดือมีหนองกลิ่นเหม็น
7.อุจจาระเหลวปนน้ำ มีเลือดหรือมีมูกปน
8.ท้องอืด ควรจับนั่งเรอ หรืออุ้มพาดบ่า ถ้าท้องอืดมาก ร่วมกับไม่ถ่ายอุจจาระ ควรนำมาพบแพทย์
9.ตาแฉะ บวมแดง เช็ดด้วยสำลีชุบน้ำต้มสุก ถ้าไม่ดีขึ้น
10.หูมีน้ำไหลออกมา มีบวมแดง มีไข้
11.ปากเป็นฝ้า หลังใช้ผ้าชุบน้ำต้มสุกเช็ด หากเป็นมากเช็ดไม่ออกหรือหลังเช็ด มีเลือกออก อาจเกิดจากเชื้อรา ควรนำมาพบแพทย์อย่าใช้ยาป้ายเอง
12.มีตุ่มหนองบริเวณผิวหนัง หรือมีจุดเลือดออก
การดูแลเต้านม
การดูแลเต้านม เต้านมหลังคลอดของคุณแม่จะมีขนาดใหญ่ขึ้น และหนักขึ้นกว่าเดิม ต้องสวมเสื้อชั้นในที่กระชับเพื่อช่วยกระชับเต้านม คุณแม่ควรให้ลูกดูดกระตุ้นน้ำนมให้ไหลเร็วขึ้น
ภายใน 2 – 3 วันแรก จะมีน้ำนมเป็นหัวน้ำนม เรียกว่า โคลอสตรัม ซึ่งมีคุณค่าทางอาหาร และมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโรคสำหรับบุตร น้ำนมนมแท้ จะออกมาประมาณวันที่ 3 หลังคลอด สีของน้ำนมจะไม่เหมือนกับนมวัวที่มีสีขาวแต่จะมีสีขาวอมเหลือง
คุณแม่จะรู้สึกเจ็บเต้านม คัดเต้านมในวันที่ 2 – 3 หลังคลอด สามารถบรรเทาอาการปวดได้ด้วยการประคบน้ำเย็นทั้งสองข้าง หากจะให้นมลูกควรประคบอุ่น และนวดเบาๆ ให้เต้าทั้ง 2 ข้าง เพื่อให้น้ำนมไหลสะดวก เมื่อโคลอสตรัมเปลี่ยนเป็นน้ำนมแท้ คุณแม่สามารถบรรเทาการปวดด้วยการให้ลูกดูดนมบ่อยขึ้นหรือการปั๊มนมออก
หลังการดูดนมทั้งสองข้างแล้ว ถ้ามีน้ำนมเหลือใช้การปั๊มหรือบีบออกให้หมดเต้า เก็บใส่ถุงเก็บน้ำนม เพื่อให้มีน้ำนมใหม่มาทดแทนน้ำนมที่ออกไป
ก่อนให้บุตรดูดนมทุกครั้งคุณแม่ต้องทำความสะอาด ล้างมือ และทำความสะอาดบริเวณหัวนมและเต้านม เพื่อป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายลูกทุกครั้ง
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
เสี่ยงต่อการติดเชื้อ
เนื่องจากมีแผลในโพรงมดลูกและแผลฝีเย็บ
(Day1-2)1
ข้อมูลสนับสนุน
1.มารดาหลังคลอดมีแผลฝีเย็บ
2.มีแผลในโพรงมดลูก
3.ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ
• WBC = 152,200 /uL : สูงกว่าปกติ
• Neutrophil = 85.8% : สูงกว่าปกติ
• Lymphocyte = 9.2% : ต่ำกว่าปกติ
วัตถุประสงค์
เพื่อป้องกันภาวะติดเชื้อหลังคลอด
เกณฑ์การประเมินผล
1.สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ
BT 36.5-37.4 องศาเซลเซียน
PR 60-100 ครั้ง/นาที
RR 12-24 ครั้ง/นาที
BP 90-130 / 60-80 mmHg
2.ไม่มีอาการแสดงของการติดเชื้อหลังคลอด เช่น มีไข้ ปวดบริเวณแผลฝีเย็บมาก
3.แผลฝีเย็บสะอาด ไม่แดง ไม่บวม ไม่ช้ำ ไม่มีจ้ำเลือด ไม่มี Dischargeซึม
4.น้ำคาวปลามีสี และไม่มีกลิ่นเหม็น
5.ถ่ายปัสสาวะปกติดี ไม่มีอาการแสบขัด
กิจกรรมการพยาบาล
1.ประเมินสัญญาณชีพและบันทึกสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง เพื่อประเมินอาการความผิดปกติของการติดเชื้อ โดยเฉพาะอุณหภูมิร่างกาย
2.ประเมินลักษณะแผลฝีเย็บ และน้ำคาวปลา ถ้าพบอาการแสดงของการติดเชื้อ เช่น แผลฝีเย็บบวมแดง หรือมีหนอง ปรือมีน้ำคาวปลากลิ่นเหม็น ควรรายงานแพทย์เพื่อให้การรักษา
3.แนะนำให้ทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ทุกครั้งหลังการถ่ายปัสสาวะและอุจจาระ โดยเช็ดจากด้านหน้าไปด้านหลัง ไม่เช็ดย้อนกลับเพื่อกำจัดสิ่งคัดหลั่งออกจากช่องคลอด คราบปัสสาวะ และอุจจาระ โดยไม่นำเชื้อโรคจากทวารหนักเข้าสู่ช่องคลอด เพราะอาจมีผลทำให้แผลฝีเย็บอักเสบติดเชื้อได้
4.แนะนำเปลี่ยนผ้าอนามัยทุกครั้งที่น้ำคาวปลาชุ่มหรือทุก 4 ชั่วโมง เพราะถ้าปล่อยให้น้ำคาวปลาหมักหมม จะเป็นแหล่งเพาะเชื้อแบคทีเรีย ก่อให้เกิดการติดเชื้อที่แผลฝีเย็บ
5.แนะนำการรับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ นม และผัก ผลไม้ที่มีวิตามินซีมากๆ เพราะอาหารที่มีโปรตีนและวิตามินซี จะช่วยในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ ช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น
6.แนะนำการฝึกขมิบช่องคลอดโดยให้ทำวันละ 300 - 400 ครั้ง เพราะการขมิบช่องคลอดเป็นการกระตุ้นให้มีการไหลเวียนของเลือดบริเวณแผลฝีเย็บและช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น
การประเมินผล
1.สัญญาณชีพ
Day1
9/11/2563
เวลา 10.00 น
T = 36.4 องศาเซลเซียส
BP = 141/74 mmHg
P = 94 ครั้ง/นาที
RR = 18 ครั้ง/นาที
PS = 2 คะแนน
เวลา 14.00 น.
BP = 152/89 mmHg
Day2 10/11/2563
เวลา 10.00 น
T = 36.4 องศาเซลเซียส
BP = 144/84 mmHg
P = 18 ครั้ง/นาที
RR = 18 ครั้ง/นาที
PS = 0 คะแนน
3.สีของน้ำคาวปลา
Day1 สีแดงจาง ไม่มีกลิ่นเหม็น
Day2 สีแดงจาง ชมพู ไม่มีกลิ่นเหม็น
4.ไม่มีอาการแสดงของการติดเชื้อ ได้แก่ มีไข้ อ่อนเพลีย ตัวเย็น หน้ามืด ใจสั่น รู้สึกไม่สบายตัว
แผลฝีเย็บแบบ RML 2 degree tear ไม่แดง ไม่บวม ไม่ช้ำ ไม่มีจ้ำเลือด ไม่มี Dischargeซึม แผลชิดสนิทกันดี แผลไม่tear ถึงทวารหนัก
ส่งเสริมการเลี้ยงบุตรด้วยน้ำนมแม่
(Day1-2)
ข้อมูลสนับสนุน
1.ทารกเริ่มดูดนมได้
2.น้ำหนักทารก 2,310 กรัม (น้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์)
3.น้ำนมมารดาข้างซ้ายไหลดี 1+ ข้างขวาน้ำนมมารดาไม่ไหล
4.มารดาบอกว่า “ตั้งใจจะเลี้ยงบุตรคนนี้ด้วยน้ำนมแม่”
วัตถุประสงค์
เพื่อส่งเสริมให้มารดาเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
เกณฑ์การประเมิน
1.ทารกดูดนมได้ถูกวิธี Latch score = 10 คะแนน
2.มารดามีความรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ และสามารถบอกประโยชน์ของนมแม่ได้
3.ทารกได้รับน้ำนมแม่ทุก 2 ชั่วโมง ครั้งละประมาณ 30 นาที
4.น้ำหนักทารกเพิ่มขึ้นทุกวัน
กิจกรรมการพยาบาล
1.แนะนำให้ความรู้แก่มารดาเกี่ยวกับประโยชน์ของนมแม่
1)ย่อยง่าย ดูดซึมได้ดี บุตรไม่มีอาการท้องผูก มีภูมิต้านทานโรคและอาการแพ้ต่างๆ
2)ปลอดภัย สะอาด ไม่เสี่ยงต่อการปนเปื้อนเชื้อโรค
3)ควบคุมปริมาณการกินได้ ทำให้บุตรไม่เสี่ยงเป็นโรคอ้วน
4)กระชับความผูกพันระหว่างมารดาและบุตร ทำให้บุตรรู้สึกอบอุ่น
5)มดลูกเข้าอู่เร็ว เพราะการดูดนมของบุตรจะกระตุ้นทำให้เกิดการหลั่ง Oxytocin มีผลให้มดลูกหดรัดตัวมากขึ้น และลดขนาดกลับสู่สภาพเดิมเร็วขึ้น
6)ช่วยเว้นระยะการทีบุตร ซึ่งเป็นผลมาจากเมื่อบุตรดูดนมจะมีการหลั่ง Pralactin มีผลให้ระยะการตกไข่ช้ากว่ามารดาที่ไม่ได้เลี้ยงบุตรด้วยนมตนเอง
2.สอนวิธีการปฏิบัติตัวของมารดาขณะให้นมบุตร
2.1 สอนและฝึกปฏิบัติให้นมบุตรในท่าที่ถูกต้อง เพื่อช่วยให้มารดาหลังคลอดเกิดความมั่นใจในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ โดยจัดท่าของมารดาและลูกให้เหมาะสมและสะดวกในการให้นม ตะแคงตัวและศีรษะของลูกให้เข้าหาและแนบชิดกับลำตัวของมารดา อาจใช้หมอนหนุนรองให้แม่รู้สึกสบาย ปากอยู่ตรงกับหัวนมแม่
2.2 สอนวิธีการจับเต้านมเพื่อเอาหัวนมเข้าปากลูก จับเต้านมโดยใช้นิ้วทั้ง 4 อยู่ด้านล่างและนิ้วหัวแม่มืออยู่ด้านบน ทุกนิ้วอยู่นอกขอบลานนม
-การจับเต้านมแบบ C-hold จะให้เมื่อมารดาอุ้มลูกในท่า cradle position
-การตับเต้านมแบบ U-hold จะใช้เมื่อมารดาอุ้มลูกในท่า football hold
-การจับเต้านมแบบ V-hold จะใช้เมื่อมารดามีมือใหญ่และเต้านมเล็กคือนิ้วทุกนิ้วของแม่อยู่ขอบลานนม
2.3 สอนวิธีช่วยบุตรอมหัวนมแม่ โดยมารดาอุ้มลูกโดยใช้มือประคองที่ต้นคอและท้ายทอย ให้บุตรเงยหน้าเล็กน้อย คางบุตรแนบชิดกับเต้านมส่วนล่าง บุตรจะอ้าปาก ถ้าไม่อ้าปากให้ใช้หัวนมสัมผัสริมฝีปากบนหรือล่างของลูกเบาๆ จะกระตุ้นให้เกิด rooting reflex บุตรจะอ้าปากกว้าง มารดาต้องเคลื่อนศีรษะลูกเข้าหาหัวนมแม่อย่างรวดเร็วและนุ่มนวล สอดหัวนมเข้าปากบุตรให้ลึกถึงลานนม ท่าอมหัวนมที่ถูกต้อง ถ้าบุตรอมหัวนมแม่ไม่ถูกต้องจะสังเกตได้จากการหัวนมจะถูกรีดแบนหลังจากการดูดนม มีเสียงดังขณะดูดนม และแก้มจะบุ๋มลงไป มารดาจะเจ็บหัวนมขณะบุตรดูดนม
2.4 กระตุ้นให้บุตรดื่มนมให้อิ่มในแต่ละมื้อ ถ้าหลับต้องปลุกโดยขยับเต้านมแม่หรือใช้นิ้วกดที่เต้านมแม่เบาๆ กระตุ้นให้ลูกดูดต่อ ถ้ายังหลับให้คลี่ผ้าที่ห่มอก จับนั่งลูบหลังไล่ลม หรือเขี่ยเท้าเบา ๆ เปลี่ยนผ้าอ้อมให้ถ้าเปียกแฉะ
2.5 สอนวิธีเอาหัวนมออกจากปากลูก ให้ใช้นิ้วมือสอดเข้ามุมปากระหว่างช่องเหงือกของลูก แล้วจึงค่อยๆดึงหัวนมออกจากปากลูก อย่าดึงหัวนมออกทันทีจะทำให้หัวนมแตก
2.6 แนะนำให้บุตรดูดนมตามต้องการ ประมาณ 8-12 ครั้งใน 24 ชั่วโมง หรือดูดทุก 2 ชั่วโมง อาการแสดงว่าบุตรหิว คือ หลับไม่สนิท ร้อง ดูดปาก ดูดนิ้ว หาว ถ้าบุตรหลับนานเกิน 3 ชั่วโมงต้องปลุกให้กินนม
2.7 ให้บุตรดูดนมจากเต้าทั้ง 2 ข้าง โดยให้ดูดให้เกลี้ยงเต้าทีละข้าง เพื่อให้ได้น้ำนมทั้งส่วนหน้าและส่วนหลัง และมีการสร้างน้ำนมได้เต็มที่ การให้ดูดนมมื้อต่อไปให้เริ่มข้างที่ดูดค้างไว้ในมื้อก่อน แต่ถ้าบุตรดูดนมข้างเดียวอิ่ม มื้อต่อไปให้เริ่มดูดอีกข้างได้เลย
2.8 มารดาควรล้างมือก่อนให้นมทุกครั้ง มารดาที่มีสุขอนามัยดีไม่จำเป็นต้องล้างเต้านมและหัวนมก่อนและหลังให้นมแม่
3.ตรวจความผิดปกติของเต้านม เช่น ลักษณะหัวนมไม่บอด ไม่แบน ไม่ยุ่ม ไม่แตก
4.ประเมิน Lacth score เพื่อดูคะแนนการเข้าเต้าซึ่งปกติควรได้คะแนนมากกว่า 8 คะแนน
5.น้ำหนักของบุตรเพิ่มขึ้นจากการได้กินนมแม่อย่างเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
การประเมินผลทางการพยาบาล
1.ทารกกินนมแม่ทุก 2 ชั่วโมง
2.เต้านมข้างซ้ายของมารดาไหลดี +1 เต้านมด้านขวาน้ำนมไม่ไหล
3.ทารกเข้าเต้าได้ถูกวิธี
4.น้ำหนักของทารกขณะอยู่ในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้น และไม่มีภาวะตัวเหลือง
5.มารดาสามารถบอกประโยชน์ของการเลี้ยงบุตรด้วยนมแม่ได้อย่างถูกต้อง และมีความตั้งใจในการให้นมบุตร
ไม่สุขสบายเนื่องจากแน่นท้อง
ข้อมูลสนับสนุน
-ผู้ป่วยบอกว่า “ไม่ถ่ายอุจจาระเพราะกลัวเจ็บแผลฝีเย็บ”
-หลังคลอดไม่ถ่ายอุจจาระมา 3 วัน
-ผู้ป่วยบ่นแน่นอึดอัดหน้าท้อง
-คลำท้องพบลมในท้อง
วัตถุประสงค์
ไม่มีอาการแน่นท้อง
เกณฑ์การประเมิน
1.ผู้ป่วยสามารถขับถ่ายอุจจาระได้ปกติ
2.ผู้ป่วยไม่บ่นแน่นอึดอัดหน้าท้อง
กิจกรรมการพยาบาล
1.แนะนำให้ผู้ป่วยได้รับอาหารที่มีกากใยสูง เช่น ผักใบเขียวต่างๆ รวมทั้งผลไม้ ได้แก่ ส้ม มะละกอสุก สัปปะรด เป็นต้น
2.กระตุ้นให้ผู้ป่วยมีการทำกิจวัตรประจำวันเพิ่มขึ้น เช่น ลุกเดินเท่าที่สามารถทำได้
3.กระตุ้นให้ผู้ป่วยดื่มน้ำวันละประมาณ 10-12 แก้ว
4.ประเมินการถ่ายอุจจาระของตนเอง
5.แนะนำมารดาโดยขจัดความเครียด ความวิตกกังวล เพื่อให้ร่างกายปรับสมดุล
ประเมินผลทางการพยาบาล
ผู้ป่วยไม่ถ่ายอุจจาระ แต่รับทราบวิธีการแก้ไขปัญหา
เสี่ยงต่อภาวะตกเลือดหลังคลอด
(Day0)
ข้อมูลสนับสนุน
-มารดามีประวัติการตั้งครรภ์มาแล้ว 2 ครั้ง ครรภ์นี้เป็นครั้งที่ 3
-ระยะ Active phase เร็วกว่าปกติ มี Fully dilate 15 นาที
-เสียเลือดระหว่างคลอด 200 ml
-มีแผลฝีเย็บ RML 2 degree tear
-มีแผลที่โพรงมดลูก
-มีbleeding per vagina ~20 ml
วัตถุประสงค์
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการตกเลือดหลังคลอด
เกณฑ์การประเมิน
1.สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ
PR 60-100 ครั้ง/นาที
RR 12-24 ครั้ง/นาที
BP 90-130 / 60-80 mmHg
2.มดลูกหดรัดตัวดี คลำได้เป็นก้อนแข็ง
3.มีเลือดออกทางช่องคลอดไม่เกิน 500 cc / 24 hrs
4.แผลฝีเย็บไม่มีเลือดออก ไม่มี hematoma
กิจกรรมการพยาบาล
1.ตรวจวัดสัญญาณชีพ ทุก 4 ชั่วโมง
2.สังเกตอาการหดรัดตัวของมดลูก โดยการคลึงหน้าท้องบริเวณยอดมดลูก
ถ้าตรวจพบว่าระดับยอดมดลูกสูงกว่าปกติ เนื่องจากกระเพาะปัสสาวะเต็ม ต้องดูแลให้ถ่ายปัสสาวะทุก 4 ชั่วโมง ถ้าพบว่ามดลูกหดรัดตัวไม่ดีใช้มือคลึงบริเวณยอดมดลูก เพื่อให้มดลูกหดรัดตัวดี
3.สังเกตลักษณะและบันทึกปริมาณการเสียเลือดเพิ่มภายหลังคลอดดังนี้
3.1 บันทึกปริมาณการเสียเลือดที่ออกภายหลังคลอด โดยสังเกตจ่กผ้าอนามัย ตรวจดูปริมาณเลือดที่ออกทุก 2-4 ชั่วโมง ในระยะ 24 ชั่วโมงแรก
3.2 สังเกตลักษณะแผลฝีเย็บว่ามีเลือดซึมหรือมีก้อนเลือดใต้ผิวหนัง (hematoma) ผิดปกติหรือไม่
4.อธิบายให้มารดาหลังคลอด และญาติทราบถึงการสังเกตอาการเวียนศีรษะ หน้ามืดจะเป็นลม ใจสั่น ตัวเย็น มีเลือดออกมาก หรือปวดบริเวณฝีเย็บมาก ถ้ามีรายงานให้พยาบาลทราบ
5.ดูแลให้ได้รับการพักผ่อนบนเตียง ลดการใช้พลังงาน
ประเมินผลทางการพยาบาล
1.สัญญาณชีพ
BP = 151/72 mmHg
P = 94 ครั้ง/นาที
RR = 18 ครั้ง/นาที
PS = 2 คะแนน
2.มดลูกหดรัดตัวดี คลำได้ก้อนแข็ง
3.ไม่มี bleeding per vagina
4.ไม่มีอาการอ่อนเพลีย และไม่มีภาวะแทรกซ้อนจากการเสียเลือด
นศพต.พรพรรณ มัทวัง
เลขที่ 41