Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
รัชกาลที่9 ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง - Coggle Diagram
รัชกาลที่9
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
เศรษฐกิจพอเพียง
เป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ทรงชี้แนวทางการดำเนินชีวิตให้แก่ปวงชนชาวไทยมาเป็นระยะเวลานาน ในช่วงตั้งแต่ก่อนการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ เพื่อมุ่งให้พสกนิกรได้ดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างยั่งยืน มั่นคง และปลอดภัย ภายใต้ความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นตามกระแสโลกาภิวัฒน์
เศรษฐกิจพอเพียง
เป็นปรัชญาชี้ถึงแนวการดำรงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชน จนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนาและบริหารประเทศให้ดำเนินไปในทางสายกลาง โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจ เพื่อให้ก้าวทันต่อโลกยุคโลกาภิวัตน์ ซึ่งมุ่งให้ทุกคนสามารถพึ่งพาตัวเองได้ รวมถึงการพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น จนเกิดความยั่งยืน คำว่า พอเพียง คือ การดำเนินชีวิตแบบทางสายกลาง โดยตั้งอยู่บนหลักสำคัญสามประการ
ความพอประมาณ
คือ การดำรงชีวิตให้เหมาะสม ซึ่งเราควรจะมีความพอประมาณทั้งการหารายได้ และพอประมาณในการใช้จ่าย ความพอประมาณในการหารายได้ คือ ทำงานหารายได้ด้วยช่องทางสุจริต ทำงานให้เต็มความสามารถ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ส่วนความพอประมาณในการใช้จ่าย หมายถึง การใช้จ่ายให้เหมาะกับฐานะความเป็นอยู่ ไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยหรือใช้จ่ายเกินตัว และในขณะเดียวกัน ก็ใช้จ่ายในการดูแลตนเอง และครอบครัวอย่างเหมาะสม ไม่อยู่อย่างลำบาก และฝืดเคืองจนเกินไป
ความมีเหตุผล
ไม่ว่าจะเป็นการทำธุรกิจ หรือการดำรงชีวิตประจำวัน เราจำเป็นต้องมีการตัดสินใจตลอดเวลา ซึ่งการตัดสินใจที่ดี ควรตั้งอยู่บนการไตร่ตรองถึงเหตุ รวมทั้งคำนึงถึงผลที่อาจตามมาจากการตัดสินใจอย่างรอบคอบ ไม่ใช่ตัดสินใจตามอารมณ์ หรือจากสิ่งที่คนอื่นบอกมาโดยปราศจากการวิเคราะห์
การมีภูมิคุ้มกันที่ดี :
คือ การเตรียมตัวให้พร้อมรับกับความเปลี่ยนแปลง ในโลกที่ไม่มีอะไรแน่นอน ทั้งสภาพลม ฟ้า อากาศที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการทำเกษตร การเปลี่ยนแปลงในบริษัทคู่ค้า การเลิกจ้างพนักงานในบริษัทใหญ่ หรือแม้แต่ความไม่แน่นอนของสถานการณ์ทั้งในและต่างประเทศที่มีผลต่อการลงทุน เราจึงจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะดำรงอยู่ได้ด้วยการพึ่งพาตนเอง และตั้งอยู่ในความไม่ประมาทอยู่เสมอ เช่น เตรียมแผนสำรองสำหรับแต่ละสถานการณ์ การมีรายได้หลายทางเพื่อลดความเสี่ยงในวันที่ถูกเลิกจ้าง หรือการกระจายความเสี่ยงในการลงทุน
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนั้น เป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิต ที่สำคัญจะต้องมี “สติ ปัญญา และความเพียร” ซึ่งจะนำไปสู่“ความสุข” ในการดำเนินชีวิตอย่างแท้จริง เป็นแนวทางการดำรงชีวิตและการปฏิบัติตนของประชาชนทุกระดับ โดยยึดแนวทางการพัฒนาที่มีคน หรือประชาชนเป็นศูนย์กลาง ซึ่งสิ่งเหล่านี้เองจะเป็นตัวการที่นำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน หรือในภาษาอังกฤษ คือ Sustainable Development
เศรษฐกิจพอเพียงที่คนเข้าใจผิด
อดีตองคมนตรี อำพล เสนาณรงค์ ได้กล่าวไว้ในปี ๒๕๕๐ ว่า เศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญา หรือแนวปฏิบัติ ซึ่งในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงปรารถนาจะให้เป็นรากแก้วให้สังคมไทยได้ยึดเป็นแนวทางในการดำรงชีวิตเพื่อความอยู่ดีกินดี ซึ่งองค์ประกอบสำคัญของเศรษฐกิจพอเพียงมีด้วยกัน ๗ ข้อ คือ พึ่งพาตนเอง พอประมาณ เดินสายกลาง มีภูมิคุ้มกัน มีเหตุผล เป็นคนดี และรู้รักสามัคคี โดยหลักสำคัญทั้ง ๗ ข้อนี้ คนทุกกลุ่มทุกอาชีพสามารถน้อมนำไปประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตให้มีความสุขอย่างยั่งยืน
ดร. สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา บรรยายพิเศษ เรื่อง “พระจริยวัตรของในหลวงกับเศรษฐกิจพอเพียง” ในงานประชุมวิชาการประจำปี ๒๕๕๐ ของสถาบันพระบรมราชนก เรื่อง “เศรษฐกิจพอเพียงกับการพัฒนาบัณฑิตอุดมคติไทย…จากแนวคิดสู่การปฏิบัติ”ตอนหนึ่งท่านกล่าวว่า ได้บรรยายเรื่องปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในครั้งนี้น่าจะเป็นครั้งที่ ๙๐๐ กว่าแล้ว เวลาไปพูดเรื่องนี้ทีไรมีหลายหน่วยงานพยายามทำตัวอย่างให้ดู เช่น มีควาย มีกองฟาง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าประหลาด บางเวทีมีกองฟาง ดีไม่จูงควายขึ้นมาเดินบนเวทีด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคนไทยกำลังเข้าใจผิดเกี่ยวกับปรัชญานี้
เท่าที่ผ่านมาการพูดถึงแนวคิดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงส่วนใหญ่มุ่งไปที่มิติปรัชญาซึ่งแคบเกินไปเพราะมิติเศรษฐกิจมีความสำคัญไม่น้อยกว่ากัน ยิ่งถ้าเรามองว่า ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงเสนอแนะให้ใช้แนวคิดนี้แก้วิกฤติเศรษฐกิจซึ่งกำลังโหมกระหน่ำเมื่อปี ๒๕๔๐ ด้วยแล้ว การมองข้ามมิติเศรษฐกิจเป็นสิ่งที่ผิดพลาดอย่างมาก
พระราชดำริว่าด้วยเศรษฐกิจพอเพียง “…ฉันพูดเศรษฐกิจพอเพียงความหมายคือ ทำอะไรให้เหมาะสมกับฐานะของตัวเอง คือทำจากรายได้ ๒๐๐-๓๐๐ บาท ขึ้นไปเป็นสองหมื่น สามหมื่นบาท คนชอบเอาคำพูดของฉัน เศรษฐกิจพอเพียงไปพูดกันเลอะเทอะ เศรษฐกิจพอเพียง คือทำเป็น Self-Sufficiency มันไม่ใช่ความหมายไม่ใช่แบบที่ฉันคิด ที่ฉันคิดคือเป็น Self-Sufficiency of Economy เช่น ถ้าเขาต้องการดูทีวี ก็ควรให้เขามีดู ไม่ใช่ไปจำกัดเขาไม่ให้ซื้อทีวีดู เขาต้องการดูเพื่อความสนุกสนาน ในหมู่บ้านไกลๆ ที่ฉันไป เขามีทีวีดูแต่ใช้แบตเตอรี่ เขาไม่มีไฟฟ้า แต่ถ้า Sufficiency นั้น มีทีวีเขาฟุ่มเฟือย เปรียบเสมือนคนไม่มีสตางค์ไปตัดสูทใส่ และยังใส่เนคไทเวอร์ซาเช่ อันนี้ก็เกินไป…”
พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล
จะเห็นได้ว่าเศรษฐกิจพอเพียงนั้นคือการทำให้คนพอมีพอกินเสียก่อนแล้วจึงพัฒนาคุณภาพชีวิตขึ้นไปเรื่อยๆ ในขณะที่คนไทยจำนวนหนึ่งนั้นไม่ทำความเข้าใจในแก่นอันนี้ แล้วก็ตีความแบบเข้าใจผิดกันเอาเองว่า พอเพียง = ห้ามมี ห้ามร่ำรวย ห้ามใช้จ่าย หรือต้องทำไร่ไถนาแบบชาวบ้านในชนบท ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดอย่างมาก ทั้งที่ในความหมายคำว่า “พอเพียง” ในแนวคิดของในหลวงรัชกาลที่ ๙ นั้น หมายถึงให้คนมีพอกับความต้องการเสียก่อน ให้เหมาะสมกับฐานะ ทำให้เกิดประสิทธิภาพในการดำรงชีวิต และในการประกอบอาชีพต่างๆ ในทุกด้าน
นอกจากนั้นยังมีความสับสนและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับหลักเศรษฐกิจพอเพียงในประเด็นอื่น ๆ เช่น คิดว่าหลักเศรษฐกิจพอเพียงปฏิเสธความร่ำรวย ความมั่งคั่งและเทคโนโลยี คิดว่าถ้าพอเพียงก็ต้องไม่มีเมกะโปรเจคหรือการพัฒนาใหญ่ๆ มองว่าเศรษฐกิจพอเพียงไม่เหมาะกับชีวิตคนเมือง และที่เข้าใจผิดอย่างมากคือมองว่าความรู้จักพอจะทำให้หยุดการพัฒนาและประเทศชาติจะไม่เจริญ ซึ่งความคิดเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะความไม่เข้าใจในหลักการอย่างถ่องแท้
พระราชดำริว่าด้วยเศรษฐกิจพอเพียง
การพัฒนาประเทศจำเป็นต้องทำตามลำดับขั้น ต้องสร้างพื้นฐานคือ ความพอมี พอกิน พอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่เบื้องต้นก่อน โดยใช้วิธีการและอุปกรณ์ที่ประหยัดแต่ถูกต้องตามหลักวิชาการ เมื่อได้พื้นฐานความมั่นคงพร้อมพอสมควร และปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญ และฐานะทางเศรษฐกิจขั้นที่สูงขึ้นโดยลำดับต่อไป…” (๑๘ กรกฎาคม ๒๕๑๗)
“…คนอื่นจะว่าอย่างไรก็ช่างเขา จะว่าเมืองไทยล้าสมัย ว่าเมืองไทยเชย ว่าเมืองไทยไม่มีสิ่งที่สมัยใหม่ แต่เราอยู่พอมีพอกิน และขอให้ทุกคนมีความปรารถนาที่จะให้เมืองไทย พออยู่พอกิน มีความสงบ และทำงานตั้งจิตอธิษฐานตั้งปณิธาน ในทางนี้ที่จะให้เมืองไทยอยู่แบบพออยู่พอกิน ไม่ใช่ว่าจะรุ่งเรืองอย่างยอด แต่ว่ามีความพออยู่พอกิน มีความสงบ เปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ถ้าเรารักษาความพออยู่พอกินนี้ได้ เราก็จะยอดยิ่งยวด
พระราชดำรัสที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียง
การพัฒนาประเทศจำเป็นต้องทำตามลำดับขั้น ต้องสร้างพื้นฐานคือ ความพอมี พอกิน พอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่เบื้องต้นก่อน โดยใช้วิธีการและอุปกรณ์ที่ประหยัดแต่ถูกต้องตามหลักวิชาการ เมื่อได้พื้นฐานความมั่นคงพร้อมพอสมควร และปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญ และฐานะทางเศรษฐกิจขั้นที่สูงขึ้นโดยลำดับต่อไป…” (๑๘ กรกฎาคม ๒๕๑๗)
“เศรษฐกิจพอเพียง” เป็นแนวพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานมานานกว่า ๓๐ ปี เป็นแนวคิดที่ตั้งอยู่บนรากฐานของวัฒนธรรมไทย เป็นแนวทางการพัฒนาที่ตั้งบนพื้นฐานของทางสายกลาง และความไม่ประมาท คำนึงถึงความพอประมาณ ความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุ้มกันในตัวเอง ตลอดจนใช้ความรู้และคุณธรรม เป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิต ที่สำคัญจะต้องมี “สติ ปัญญา และความเพียร” ซึ่งจะนำไปสู่“ความสุข” ในการดำเนินชีวิตอย่างแท้จริง
: