Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 15 การจัดการเกี่ยวกับพฤติกรรมที่เป็นปัญหา - Coggle Diagram
บทที่ 15 การจัดการเกี่ยวกับพฤติกรรมที่เป็นปัญหา
พฤติกรรมที่เป็นปัญหาคืออะไร
พฤติกรรมที่เป็นปัญหามีความหมายกว้าง และคงไม่สรุปว่าพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมทุกลักษณะจะเกิดขึนในห้องเรียนเป็นพฤติกรรมที่เป็นปัญหาแต่ควรกําหนดพฤติกรรมต่าง ๆ ที่สามารถจะจัดการได้ ดังต่อไปนี้
สิ่งที่เป็นปัญหา
ได้แก่พฤติกรรมที่แสดงความไม่สนใจระยะสั้น ๆ การคุยกันในระหว่างการเปลี่ยนกิจกรรม การคุยกัน ในระหว่างทําความสะอาด การหยุดระยะสั้น ๆ ในขณะทําแบบฝึกหัดเหล่านี้ เป็นพฤติกรรมทั่วไปที่ไม่เป็น ปัญหากระทบใคร ๆ
ปัญหาที่ไม่รุนแรง
เป็นพฤติกรรมที่ขัดต่อกระบวนการและกฎ แต่ไม่รบกวนกิจกรรมการเรียนการสอน เช่น ผู้เรียน โดยไม่ยกมือขออนุญาตลุกจากที่นั่งโดยไม่ขออนุญาต อ่านหรือทํากิจกรรมที่ไม่เกี่ยวข้องกับวิชาที่กําลังสอน การส่งข้อความกัน การกินขนม การปากระดาษลงพื้น นั่งคุยกันในขณะทําแบบฝึกหัดหรืองานกลุ่ม
ปัญหาที่รุนแรง แต่มีข้อจำกัดเรื่องขอบเขตและผลกระทบ
เป็นพฤติกรรมที่มีผลกระทบต่อการเรียนการสอน แต่เกิดกับผู้เรียนเพียงคนเดียวหรือ 2-3 คน เช่น ไม่ ทํางานเป็นประจํา การทํางานไม่เสร็จ ไม่ปฏิบัติตามกฎบ่อย ๆ (คุย เดินไปรอบ ๆ ห้อง ปฏิเสธงานทุกอย่าง) การทําร้ายคนอื่น หรือแสดงอาการป่าเถื่อน
เป้าหมายในการจัดการพฤติกรรมที่เป็นปัญหา
เป้าหมายของผลระยะสั้น
คือ ต้องหยุดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมนั้นและผู้เรียน ต้องปรับพฤติกรรมให้ถูกต้องเหมาะสม
เป้าหมายของผลระยะยาว
คือต้องป้องกันพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมนั้น ไม่ให้เกิดขึ้นอีก ในขณะเดียวกันครูต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดพฤติกรรมข้างเคียง และพยายาม ลดพฤติกรรมข้างเคียงดังกล่าวลง (ถ้ามี) ครูต้องพิจารณาพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมด้วยว่า มีผลกระทบต่อผู้เรียน รายบุคคล เป็นกลุ่มบุคคล หรือกระทบผู้เรียนทั้งห้องหรือไม่อย่างไร
กลยุทธ์สำหรับความแตกต่างระหว่างบุคคล
1.มาตรการสําหรับปัญหาไม่ร้ายแรง
เป็นมาตรการเบื้องต้น ได้แก่ ใช้วิธีการที่ไม่ต้องใช้คําพูด ใช้สายตาพร้อมให้ สัญญาณ เช่น ใช้นิ้วชี้งดปาก สายหน้า (อย่า อย่า) แสดงอาการว่าให้หยุด (พฤติกรรมนั้น ๆ) และบางครั้ง อาจจะแตะผู้เรียนเบา ๆ ที่แขนหรือไหล่เป็นการเตือน และให้ผู้เรียนสงบลง (หยุด)
1.1 ให้กิจกรรมเลื่อนไหลต่อเนื่อง
1.2 การเข้าไปใกล้
1.3 การใช้กระบวนการกลุ่ม
1.4 เดือนหรือแจ้งให้ผู้เรียนปฏิบัติให้ถูกต้องเหมือนเดิม
1.5 ดําเนินการสอนใหม่
1.6 บอกให้ผู้เรียนหยุดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม
1.7 ให้ทางเลือกแก่ผู้เรียน
1.8 การใช้การสื่อสาร ครู-รู้สึก
มาตรการแก้ปัญหาที่มีความรุนแรงปานกลาง
กลยุทธ์ต่อไปนี้ อาจจะอาศัยการทําโทษที่ไม่รุนแรง และปฏิบัติเพื่อหยุดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม มาตรการนี้มีการเผชิญหน้ามากกว่า กลยุทธ์แรก และผู้เรียนอาจจะมีปฏิกิริยาต่อต้าน อย่างไรก็ตามถ้า พฤติกรรมของผู้เรียนไม่รุนแรงจนรบกวนการเรียนการสอนก็ควรใช้มาตรการหรือกลยุทธ์เบา ๆ เหมือนแบบ แรก เช่น การเตือนก็อาจจะช่วยให้ผู้เรียนควบคุมพฤติกรรมตัวเองได้ จะประหยัดพลังงานและเวลาของครูได้ กลยุทธ์หรือมาตรการสําหรับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมระดับปานกลางได้แก่
2.1 งดสิทธิพิเศษหรือกิจกรรมพิเศษ
2.2 การแยก
2.3 การทําโทษ
2.4 การกักตัวผู้เรียน
2.5 การใช้อํานาจของโรงเรียน
มาตรการในการแก้ปัญหาที่รุนแรงขึ้น
เมื่อผู้เรียนไม่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมด้วยมาตรการตามที่กล่าวมา และยังคงรบกวนชั้นเรียน กระทบ ต่อการเรียนของตนเอง และเพื่อนๆ ก็ควรใช้มาตรการต่าง ๆ ต่อไปนี้ เพื่อลดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เพื่อให้ ผู้สอนดําเนินการเรียนการสอนได้ต่อไป
3.1 ทําข้อผูกพันสัญญา
3.2 พบผู้ปกครอง
3.3 ใช้ระบบเพิ่มโทษ
3.4 ใช้วิธีการแก้ปัญหา
ขั้นที่ 1: ใช้สัญญาณโดยไม่ต้องพูด เพื่อให้ผู้เรียนหยุดพฤติกรรม
ขั้นที่ 2: ถ้าผู้เรียนยังไม่หยุดพฤติกรรมดังกล่าว ก็แจ้งให้ผู้เรียนปฏิบัติตามกฎหรือ
ข้อบังคับ หรือข้อตกลง
ขั้นที่ 3: ถ้าผู้เรียนไม่หยุดพฤติกรรม ก็ให้ข้อเสนอเพื่อผู้เรียนเลือกว่าจะหยุด พฤติกรรมหรือจะทําข้อตกลงอย่างอื่น
ขั้นที่ 4: ถ้าผู้เรียนไม่หยุดพฤติกรรมก็ให้เด็กแยกออกไปอยู่ในที่ที่กําหนดในห้องเรียนเพื่อเขียนข้อตกลงใหม่กับครู
ขั้นที่ 5: ถ้าผู้เรียนปฏิเสธตามขั้นที่ 4 ก็ส่งผู้เรียนไปหาครูใหญ่เพื่อเขียนข้อตกลงใหม่
3.5 การใช้รูปแบบการบําบัตเสมือนจริง
วิธีการของ Glosser มีขั้นตอนดังต่อไปนี้
ขั้นที่ 1: สร้างความสัมพันธ์โคยให้ความสนใจเอาใจใส่ผู้เรียน ถ้าผู้เรียนเชื่อว่าครูสนใจเอาใจใส่ผู้เรียนจะปฏิบัติ ตาม ครูสามารถแสดงความสนใจ เอาใจใส่ผู้เรียนหลายวิธี เช่น ให้ความชื่นชมในผลงาม แสดงความ เป็นมิตร แสดงความสนใจในกิจกรรมของผู้เรียน ในครอบครัวในงานอดิเรกสิ่งที่ผู้เรียนชอบ สิ่งที่ ผู้เรียนไม่ชอบ สิ่งที่ผู้เรียนไม่ชอบครูอาจจะเข้าไปมีส่วนร่วมโดยแสดงความมีน้ําใจในกิจกรรมต่าง ๆ แสดงเป็นผู้ฟังที่ดีให้เวลา และความสนใจกับผู้เรียนในปัญหาต่าง ๆ ของผู้เรียนเวลาที่ดีที่สุดที่ครูควร เข้าไปมีส่วนร่วม คือ ก่อนที่ผู้เรียนจะแสดงพฤติกรรมที่เป็นปัญหา และถ้าหากผู้เรียนแสดงพฤติกรรม ที่เป็นปัญหาแล้วก็ตามก็คงไม่สายเกินไปที่เข้าไปมีส่วนร่วมดังกล่าว เมื่อครูใช้เวลาเข้าไปมีส่วนร่วม อย่างเป็นมิตรวันละ 2-3 ครั้ง จะช่วยสร้างบรรยากาศให้ดีขึ้นที่จะช่วยเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของ ผู้เรียนให้เหมาะสม
ขั้นที่ 2: เน้นที่พฤติกรรม เมื่อปัญหาเกิดขึ้น Glaser แนะนําว่า ครูควรพูดกับผู้เรียนเพื่อให้รู้ว่าปัญหา คืออะไรและสุดท้าย ครูควรถามผู้เรียนว่า “มีอะไรเกิดขึ้น” หรือ “กําลังเกิดอะไรขึ้น” และครูต้องไม่ตําหนิ แม้ครูจะทราบว่ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้นทางที่ดีที่สุดคือให้ผู้เรียนตอบเอง
ขั้นที่ 3: ผู้เรียนต้องรับผิดชอบในพฤติกรรมที่เกิดขึ้น หมายความว่า ผู้เรียนยอมรับว่าเขาเกี่ยวข้องกับ พฤติกรรมนั้น ครูต้องไม่ยอมรับข้อแก้ตัว การยอมรับผิดชอบเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน ขณะที่มีสิ่งอื่น ๆ ที่จะโยนความรับผิดชอบไปให้ได้ (ตําหนิสิ่งอื่น ๆ) แต่สุดท้าย ผู้เรียนก็ต้อง รับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไรก็ตาม เป็นไปได้ที่ความรับผิดชอบอาจจะมีหลายคนหลายฝ่าย สําหรับพฤติกรรมแต่ละอย่างที่เกิดขึ้น แต่ต้องไม่เป็นข้อแก้ตัวที่จะไม่รับผิดชอบของผู้เรียนคนนั้น
ขั้นที่ 4: ผู้เรียนควรประเมินพฤติกรรม ถ้าผู้เรียนมองไม่เห็นผลกระทบ Glasser ได้เสนอแนะให้ตั้งคําถามผู้เรียน เช่น 1. พฤติกรรมดังกล่าวช่วยให้เธอดีขึ้นหรือแย่ลง? 2. พฤติกรรมดังกล่าวช่วยให้คนอื่นขึ้นหรือแย่ลง?
ขั้นที่ 5: ครูและผู้เรียนสร้างข้อตกลงร่วมกัน กําหนดเวลาทางป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นกําหนดพฤติกรรมใหม่ ให้ชัดเจน
ขั้นที่ 6: ผู้เรียนต้องมีข้อผูกพันที่จะปฏิบัติตามแผน หากไม่ปฏิบัติตามแผนก็ต้องกําหนดมาตรการกันให้ชัดเจน และกําหนดเวลาให้ปฏิบัติอย่างชัดเจน
ขั้นที่ 7: มีการติดตามผล ถ้าแผนปฏิบัติไม่ได้ก็ต้องมีการปรับและอาจใช้มาตรการลงโทษและ Glosser เสนอ มาตรการเพิ่มเติม เช่น ถ้าหากผู้เรียนยังคงก่อปัญหาก็ใช้วิธีการกักตัว และก่อนอนุญาตให้ผู้เรียน กลับไปห้องเรียนก็ต้องตกลงกันให้ชัดเจน แต่ถ้าไม่ได้ผลอีกก็ส่งตัวไปห้องครูใหญ่
ปัญหาพิเศษ
ผู้เรียนบางครั้งมีพฤติกรรมไปในทางที่รุนแรงจะอาศัยมาตรการตามที่กล่าวมาไม่ได้ผล ต้องใช้ มาตรการที่รุนแรงขึ้น พฤติกรรมที่รุนแรงได้แก่ หยาบคายต่อครู หลบเลี่ยงการทํางานเป็นประจํา ทะเลาะ ก้าวร้าว ไม่สุภาพและรุกรานครู พฤติกรรมดังกล่าวไม่น่ารื่นรมย์ และมีผลกระทบที่มองไม่เห็นต่อเพื่อนผู้เรียน คนอื่น ๆ ในห้องเรียน แต่โชคดีที่มีครูที่ประสบปัญหาดังกล่าวจํานวนไม่มากนัก ครูทุกคนควรรู้วิธีการแก้ปัญหา ดังกล่าว เพื่อใช้แก่ปัญหาซึ่งอาจจะเกิดขึ้น
ข้อเตือนใจประเด็นสุดท้าย : คิดและปฏิบัติอย่างสร้างสรรค์
การแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้เรียนจะใช้มาตรการหรือวิธีการโดยการลงโทษลักษณะต่าง ๆ ตามควรแก่พฤติกรรม การลงโทษไม่ช่วยผู้เรียนเปลี่ยนพฤติกรรมไปในทางที่พึงประสงค์ จึงมีความจําเป็นอย่าง ยิ่งที่ครูต้องอธิบายให้ชัดเจนถึงพฤติกรรมที่พึงประสงค์ควบคู่กันไปด้วย นั่น คือการสอนให้ผู้เรียนทราบ พฤติกรรมที่เหมาะสมจึงเป็นเรื่องที่สําคัญ ห้องเรียนที่เน้นแต่การลงโทษจะทําให้เสียบรรยากาศ ถ้าหาก จําเป็นต้องใช้วิธีการลงโทษบ่อย ๆ ก็ต้องหาวิธีการหรือแนวทางการให้แรงจูงใจ หรือให้รางวัลแก่ผู้เรียนทั่ว ๆ ไปด้วย เพื่อให้เกิดบรรยากาศที่ดี