Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
พัฒนาการรัฐไทยก่อนสมัยปฏิรูปประเทศ - Coggle Diagram
พัฒนาการรัฐไทยก่อนสมัยปฏิรูปประเทศ
การสิ้นสุดอาณาจักรสุโขทัย
หลังจากพระมหาธรรมราชาที่4สวรรคตอยุธยาไม่ได้ตั้งใครเป็นพระมหาธรรมราชาอีกแต่ให้ผู้สืบเชื้อสายราชวงศ์พระร่วงปกครองเมืองพิษณุโลกในฐานะประเทศราชของอยุธยา
สาเหตุความเสื่อมของสุโขทัย
ปัจจัยภายใน
มีการแก่งแย่งอำนาจภายในของผู้นำ
ผู้นำไม่เข้มแข็ง
ถูกตัดเส้นทางการค้าจากการก่อตั้งอาณาจักรอยุธยา
ปัจจัยภายนอก
การขยายอำนาจขึ้นไปทางเหนือของสุโขทัยโดยการใช้กำลังทหาร การแทรกแซงกิจการภายในและสร้างความสัมพันธ์ทางเครือญาติทำให้อาณาจักรสุโขทัยอ่อนแอลงเรื่อยๆ
การสิ้นสุดของอาณาจักรอยุธยา
ปัญหาภายในราชอาณาจักร ขุนนางมีการแบ่งพรรคพวกและแย่งชิงอำนาจกันตลอดเกือบทุกรัชกาล ปัญหาใหญ่ คือ การแย่งชิงราชสมบัติระหว่างวังหน้าหรือกรมพระราชวังบวรกับผู้ที่ถูกแต่งตั้งขึ้นมาเพื่อให้เป็นพระมหากษัตริย์สืบต่อมานั่นเอง การดำรงตำแหน่งวังหน้าเป็นเวลานานตั้งแต่ต้นรัชกาลนั้น ทำให้สามารถสะสมอำนาจได้อย่างดี จึงมีผู้คนเป็นจำนวนมากให้การสนับสนุนวังหน้าแย่งชิงอำนาจกับวังหลวง ถือเป็นความอ่อนแอของราชวงศ์
ปัญหาจากภายนอก พม่าเป็นประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงที่อยุธยาต้องทำสงครามกันมาตลอด โดยเริ่มตั้งแต่ในสมัยพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้แห่งราชวงศ์ตองอู ที่มีกำลังทางทหารเข้มแข็งได้ขยายอำนาจ จนสามารถผนวกอาณาจักรล้านนาและมอญเข้าเป็นส่วนหนึ่งของพม่า และการย้ายเมืองหลวงมายังหงสาวดี ทำให้อาณาเขตของพม่าอยู่ติดกับอาณาจักรอยุธยาและทำให้อยุธยาพ่ายแพ้แก่พม่า เสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 1 เมื่อ พ.ศ. 2112
สิ้นสุดของสมัยกรุงธนบุรี
สรุปการสิ้นสุดของสมัยกรุงธนบุรี กิดเหตุจลาจลในปลายรัชกาลของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช คือ พระยาสรรค์ได้ตั้งตัวเป็นกบฏ ได้บุกมาแล้วบังคับให้พระองค์ผนวช ขณะนั้น สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกทรงทำศึกอยู่ที่กัมพูชา ทรงทราบข่าวจึงได้เสด็จกลับมายังกรุง ได้ปราบปรามจลาจลแล้ว สืบสวนหารือควรสำเร็จโทษสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี และโปรดเกล้าให้ย้ายราชธานีมายังฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา และในต่อมาได้พระราชทานนามใหม่ว่า กรุงรัตนโกสินทร์ สมเด็จพระมหาอุปราช เจ้าฟ้ากรมขุนอินทรพิทักษ์ พระราชโอรสพระองค์โตในสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ถูกสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์เช่นกัน
สังคมสมัยรัตนโกสินทร์
การเมืองการปกครองในสมัยรัตนโกสินทร์
1.การปกครองส่วนกลาง มีเสนาบดีทำหน้าที่บริหารราชการ ได้แก่
1.1 สมุหกลาโหม มีอำนาจบังคับบัญชาหัวเมืองฝ่ายใต้ ทั้งทหารและพลเรือนมียศและราชทินนามว่า เจ้าพระยามหาเสนา ใช้ตราคชสีห์เป็นตราประจำตำแหน่ง
1.2 สมุหนายก มีอำนาจบังคับบัญชาหัวเมืองฝ่ายเหนือ ทั้งกิจการทหารและพลเรือนมียศและราชทินนามว่า เจ้าพระยาจักรี หรือเจ้าพระยาบดินทร์เดชานุชิต ใช้ตราราชสีห์เป็นตราประจำตำแหน่ง
1.3 เสนาบดีจตุสดมภ์ เป็นตำแหน่งรองลงมา ประกอบด้วย
(2) กรมวัง เสนาบดี คือ พระยาธรรม มีหน้าที่ดูแลพระราชวังและตั้งศาลชำระความ
(3) กรมคลัง หรือกรมท่า เสนาบดี คือ พระยาราชภักดี, พระยาศรีพิพัฒน์หรือพระยาพระคลัง มีหน้าที่ด้านการเงิน การคลัง และการต่างประเทศ
(1) กรมเวียง หรือกรมเมือง เสนาบดี คือ พระยายมราช มีหน้าที่ดูแลกิจการทั่วไปในพระนคร
(4) กรมนา เสนาบดี คือ พระยาพลเทพ มีหน้าที่ดูแลไร่นาหลวง และเก็บภาษีข้าว
การปกครองส่วนภูมิภาค หรือการปกครองหัวเมือง
2.1 หัวเมืองฝ่ายเหนือ (รวมทั้งหัวเมืองอีสาน) อยู่ในความรับผิดชอบของสมุหนายก หั้วเมืองฝ่ายเหนือแบ่งตามฐานะตามระดับความสำคัญ ดังนี้
(1) หัวเมืองชั้นใน (หัวเมืองจัตวา) อยู่ไม่ห่างไกลจากราชธานี มีเจ้าเมืองหรือ“ผู้รั้ง”เป็นผู้ปกครอง
(2) หัวเมืองชั้นนอก (เมืองชั้นตรี โท เอก) มีขุนนางชั้นสูงหรือพระบรมวงศานุวงศ์เป็นผู้ปกครอง ได้แก่ เมืองพิษณุโลก นครสวรรค์ พิจิตร ฯลฯ
2.2 หัวเมืองฝ่ายใต้ ขึ้นสังกัดสมุหกลาโหม นับตั้งแต่เมืองเพชรบุรีลงไป จนถึงนครศรีธรรมราช ไชยา พังงา ถลาง และสงขลา เป็นต้น มีฐานะเป็นหัวเมืองชั้นนอกทั้งสิ้น
2.3 หัวเมืองชายฝั่ทงทะเลตะวันออกของอ่าวไทย เป็นหั้วเมืองชั้นนอก ได้แก่ นนทบุรี สมุทรปราการ สาครบุรี ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ฯลฯ อยู่ในความรับผิดชอบของพระคลัง หรือกรมท่า
เศรษฐกิจ
เศรษฐกิจของไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นเริ่มฟื้นตัวในตอนปลายรัชกาลที่ 2 เป็นต้นมา และเจริญรุ่งเรืองอย่างมากในสมัยรัชกาลที่ 3ผลผลิตทางการเกษตรและการค้าทางเรือสำเภากับต่างประเทศขยายตัวขึ้นมาก รายได้ของประเทศในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีที่มา 2 ทางดังนี้
รายได้จากการค้ากับต่างประเทศ มี 5 ประเภทได้แก่
1.1 การค้าสำเภาหลวง เป็นรายได้หลักที่สำคัญของสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นโดนพระคลังสินค้า (หน่วยงานของรัฐ ขึ้นอยู่กับกรมคลัง หรือกรมท่า) ทำหน้าที่แต่งเรือสำเภาหลวงบรรทุกสินค้าไปขายยังต่างประเทศ โดยเฉพาะกับประเทศจีน รองลงมา คือ ชวา มลายู และอินเดีย
1.2 กำไรจากการผูกขาดการค้า เป็นรายได้ของรัฐที่ทมีมาตั้งแต่สมัยอยุธยาโดยพระคลังสินค้า เป็นผู้ควบคุมการซื้อขายสินค้าผูกขาดและสินค้าต้องห้าม หรือทำหน้าที่เป็นคนกลางระหว่างพ่อค้าไทยกับพ่อค้าชาวต่างประเทศ
(1) สินค้าผูกขาด คือ สินค้าที่รัฐ (พระคลังสินค้า) เป็นผู้ซื้อขายแต่เพียงผู้เดียวเพื่อความมั่นคงของประเทศ ห้ามมิให้ราษฎรซื้อขายสินค้าประเภทนี้ ได้แก่ อาวุธปืน กระสุนปืน ดินปะสิว
(2) สินค้าต้องห้าม คือ สินค้าที่หายาก มีราคาแพง และเป็นที่ต้องการของต่างประเทศ เช่น งาช้าง รังนก หนังกวาง และไม้ฝาง ราษฎรไทยต้องนำมาขายให้แก่ทางราชการก่อน มิให้นำไปขายให้พ่อค้าต่างประเทศโดยตรง
(3) อำนาจของพระคลังสินค้า พระคลังสินค้ามีอำนาจเลือกซื้อสินค้าจากเรือสำเภาชาวต่างประเทศได้ก่อนพ่อค้าเอกชน เรียกว่า การเหยียบหัวตะเภา เช่น เครื่องแก้ว พรม ผ้าแพร ฯลฯ สำหรับสินค้าต้องห้าม พ่อค้าไทยกับพ่อค้าขายต่างประเทศจะซื้อขายกั้นโดยตรงไม่ได้ แต่ต้องซื้อขายผ่านพระคลังสินค้า ซึ่งททำกำไรให้รัฐอย่างมากในฐานะพ่อค้าคนกลาง
1.3 ภาษีปากเรือหรือ ภาษีเบิกร่อง เป็นค่าธรรมเนียมซึ่งเก็บจากเรือสินค้าของชาวต่างประเทศที่เข้ามาจอดเทียบท่าในไทย โดยเก็บตามขนาดความกว้างของปากเรือ (หรือส่วนกว้างที่สุดของเรือ) คิดอัตราภาษีเป็นวา เช่น ในสมัยรัชกาลที่ 3 เก็บจากเรือสินค้าอังกฤษวาละ 1700 บาท เป็นต้น
1.4 ภาษีสินค้าขาเข้า เรียกเก็บจากพ่อค้าชาวต่างประเทศที่นำสินค้าเข้ามาขายในไทย เช่น ในสมัยรัชกาลที่ 2 เรียกเก็บจากพ่อค้าชาติตะวันตกร้อยละ 8 ของราคาสินค้าเป็นต้น
1.5 ภาษีสินค้าออก เรียกเก็บจากสินค้าที่ส่งออกในอัตราที่แตกต่างกันตามประเภทของสินค้า เช่น ข้าวสาร หาบละ 1 สลึง และน้ำตาลหาบละ 2 สลึงเป็นต้น
2.รายได้ภายในประเทศ เป็นรายได้ของรัฐที่ได้จากภาษีอากรภายในประเทศและมีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา มี 4 ประเภท คือ
2.1 จังกอบ คือ ภาษีค่าผ่านด่าน เรียกเก็บจากพ่อค้าที่นำสินค้าบรรทุกใส่ยานพาหนะและเดนทางผ่านด่านขนอน (ที่ตั้งเก็บภาษี) ทั้งทางบกและทางน้ำ ในอัตรา 10 หยิบ 1
2.2 อากร คือ ภาษีที่รัฐเรียกเก็บจากราษฎรในการประกอบอาชีพต่างๆ เช่น อากรสวน อากรต้มกลั่นสุรา อากรค่าน้ำ (การจับสัตว์น้ำ) และอากรค่ารักษาเกาะ (การเก็บไข่เต่าและรังนก) เป็นต้น
2.3 ส่วย คือ สิ่งของหรือเงินที่ราษฎรนำมาทดแทนแรงงานหรือทดแทนการเข้าเวรรับราชการ ถ้าเป็นสิ่งของได้แก่ ดีบุก พริกไทย มูลค้างคาว ฯลฯ
2.4 ฤชา คือ ค่าธรรมเนียมที่ทางราชการเรียกเก็บจากราษฎร เป็นค่าบริการที่ทางราชการจัดทำให้ เช่น การออกโฉนดที่ดิน หรือ เงินค่าปรับไหมที่ฝ่ายแพ้คดีจะต้องจ่ายให้แก่ฝ่ายชนะ ซึ่งรัฐจะเก็บครึ่งหนึ่งเป็นค่าฤชา