Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
กรณีศึกษาที่ 7 เดี๋ยวก็หาย - Coggle Diagram
กรณีศึกษาที่ 7 เดี๋ยวก็หาย
เวลาประมาณ 17.00 น. ภรรยานําสามีมาส่งห้องฉุกเฉิน ผู้ป่วยอายุประมาณ 50 ปี มีสภาพสับสน เอะอะ เปะปะ ผลักไส มีกลิ่นสุราตามตัว แพทย์ห้องฉุกเฉินประเมินสภาพแล้วพบวา มีความดันโลหิตสูงมาก 190/90 mmHg. pulse pressureกว้าง pupil ตอบสนองต่อแสงทั้งสองข้างปกติ สงสัยวาอาจมีเลือดออกในสมอง
จึงเขียนใบส่งต่อไปโรงพยาบาลประจำจังหวัด ผู้ป่วยร้องเอะอะ ปัดมือเวรเปล บอกว่าไม่ไไป ภรรยาผู้ป่วยจึงบอกกับพยาบาลว่า สามีไม่ต้องการไป คิดอาการที่เกิดคงไม่เป็นไร ไปถึงโรงพยาบาลประจำจังหวัดเอะอะอยางนี้อายเขา เคยเป็นอย่างนี้แล้ว หลับตื่นมาก็หาย
จากสถานการณ์: ถ้าแพทย์จะนําผู้ป่วยไปส่งต่อที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด โดยที่ภรรยาไม่ยินยอมได้หรือไม่
ได้
แพทยสภา สภาการพยาบาล สภาเภสัชกรรม ทันตแพทยสภา สภากายภาพบําบัด สภาเทคนิคการแพทย์ และคณะกรรมการการประกอบโรคศิลปะ ได้ร่วมกันออกประกาศรับรองสิทธิและข้อพึงปฏิบัติของผู้ป่วย ประกาศ ณ วันที่ 12 เดือนสิงหาคม พ.ศ.2558 ว่า : ผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะเสี่ยงอันตรายถึงชีวิต มีสิทธิได้รับการช่วยเหลือเร่งด่วนจากผู้ประกอบวิชาชีพ ด้านสุขภาพโดยทันทีตามความจําเป็นแก่กรณีโดยไม่ต้องคํานึงว่า ผู้ป่วยจะร้องขอความช่วยเหลือหรือไม่
อ้างอิง : คณะแพทยศาสตรโรงพยาบาลรามาธิบดีมหาวิทยาลัยมหิดล. (2558). คําประกาศสิทธิและข้อพึงปฏิบัติของผู้ป่วย. สืบค้น 29 ตุลาคม 2563. จาก
https://med.mahidol.ac.th/medicalrecord/th
เนื่องจากผู้ป่วยมีสภาพที่สับสน ไม่มีสติ และแพทย์เห็น อาจมีเลือดออกในสมอง หากปล่อยไว้ ผู้ป่วยอาจได้รับอันตรายถึงชีวิต
ตามพระราชบัญญัติการแพทย์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2551 ได้ตราข้อกําหนดที่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยฉุกเฉิน : กรณีผู้ป่วยไม่รู้สึกตัวและจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน ถือว่าผู้ป่วยได้ยินยอมให้ดำเนินการแล้ว
อ้างอิง : Bangkok Emergency Medical Service. (2562). กฎหมายที่เกี่ยวข้อง. สืบค้น 29 ตุลาคม 2563.
จาก
http://ems.bangkok.go.th/learning/mod/page/view.ph
สิทธิของผู้ป่วยมีอะไรบ้าง
ผู้ป่วยทุกคนมีสิทธิพื้นฐานที่จะได้รับบริการด้านสุขภาพตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะได้รับทราบชื่อ สกุล และประเภทของผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพที่เป็นผู้ให้บริการแก่ตน
ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะได้รับบริการจากผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพโดยไม่มีการเลือกปฏิบัติเนื่องจากความแตกต่างด้านฐานะ เชื้อชาติ สัญชาติศาสนา ลัทธิการเมือง เพศ อายุ และลักษณะของความเจ็บป่วย
ผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะฉุกเฉินเสี่ยงอันตรายถึงชีวิตมีสิทธิที่จะได้รับความช่วยเหลือรีบด่วนโดยทันทีตามความจําเป็นแก่กรณี โดยไม่คํานึงว่าผู้ป่วยจะร้องขอความช่วยเหลือหรือไม่
ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะได้รับการปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับตนเองอย่างเคร่งครัดเว้นแต่จะได้รับความยินยอมจากผู้ป่วยหรือการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย
ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลเฉพาะของตนที่ปรากฏในเวชระเบียน
ผู้ป่วยที่ขอรับบริการด้านสุขภาพมีสิทธิที่จะได้รับทราบข้อมูลอย่างเพียงพอและชัดเจน เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเลือกตัดสินใจในการยินยอมหรือไม่ยินยอม
ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะขอความเห็นจากผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพอื่นที่มิได้เป็นผู้ให้บริการแก่ตน และมีสิทธิในการขอเปลี่ยนผู้ให้บริการและสถานบริการ
บิดา มารดา หรือ ผู้แทนโดยชอบธรรม อาจใช้สิทธิแทนผู้ป่วยที่เป็นเด็กอายุยังไม่เกิน 18 ปีบริบูรณ์ ผู้บกพร่องทางกายหรือจิต ซึ่งไม่สามารถใช้สิทธิด้วยตนเองได้
ต่อมาเวลาประมาณ 19.30 น วันเดียวกัน ผู้ป่วยถูกนําตัวส่งโรงพยาบาลอีกครั้งด้วยอาการหมดสติความดันโลหติ 170/70 mmHg. Pupil ตอบสนองต่อแสงช้า dilate ทั้งสองข้างจึงให้ IV fluid ใส่ท่อทางเดินหายใจ ให้ออกซิเจนทาง ambu bag คาสายสวนปัสสาวะไว้และนําส่งโรงพยาบาลประจำจังหวัดทันทีผู้ป่วย on bird’s respirator อยู่ 3 วันก็ถึงแก่ความตาย
จากสถานการณ์ : แพทย์และพยาบาลผิดหรือไม่
ไม่ผิด
เนื่องจากแพทย์และพยาบาลททำการช่วยเหลืออย่างเต็มที่โดยมิได้ทำการปล่อยปละละเลย หรือทอดทิ้งผู้ป่วยให้ถึงแก่ความตาย
เนื่องจากก่อนหน้านี้แพทย์ได้ทำการชี้แจงให้รีบส่งตัวไปทำการรักษาแล้ว แต่ภรรยาของผู้ป่วยไม่ยินยอมและได้ทำการเซ็นใบปฏิเสธการรักษาไปแล้ว แพทย์และพยาบาลจึงไม่ผิด
เนื่องจากผู้ป่วยและครอบครัวเป็นคนในชุมชนที่พยาบาลรู้จักดีว่าภรรยาผู้ป่วยเป็นคนปากร้ายก้าวร้าว ชอบโวยวาย กลัวว่าจะมีปัญหาร้องเรียนภายหลัง พยาบาลคิดแล้วจึงตามใจภรรยาผู้ป่วย แต่ได้ให้แพทย์เวรชี้แจงอาการที่เป็นว่ามีโอกาสที่เส้นเลือดในสมองอาจแตกได้ แต่ภรรยายังยืนกรานปฏิเสธการรักษาต่อที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด แพทย์จึงให้ภรรยาผู้ป่วยเขียนหนังสือแสดงความจํานงปฏิเสธการส่งต่อไปรักษา
จากสถานการณ์ : การตัดสินใจของพยาบาลผิดจริยธรรมหรือไม่
ผิด
ผิดจริยธรรมที่อาจมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา คือ การไม่ช่วยหลือหรือปฏิเสธการประกอบวิชาชีพ
ผิดหลักการทำหน้าที่แทน คือ ไม่ปกป้องพิทักษ์สิทธิของผู้ป่วย ไม่ทำเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับประโยชน์จากสิทธิที่พึงได้รับ
ผิดหลักความรับผิดชอบ คือ ไม่ทำด้วยความรู้ ไม่พยายามทำอย่างเต็มความสามารถ และไม่พยายามแก้ไขสิ่งที่เกิดให้ดีขึ้น แต่กลับทำด้วยความคิดของตนเองที่กลัวจะถูกร้องเรียน
ผิดหลักการทำประโยชน์คือ ไม่คิดด้วยใจที่เมตตา แต่คิดเพื่อตัวเองจะได้ไม่โดนร้องเรียนภายหลัง และไม่ทำการป้องกันหรือขจัดสิ่งที่เป็นอันตรายให้ผู้ป่วย
จากสถานการณ์ : ภรรยามีสิทธิปฏิเสธการรักษาแทนสามีได้หรือไม่
ไม่มีสิทธิ
กฎหมายอาญาได้บัญญัติบังคับให้บุคคลต้องกระทำการบางอย่างซึ่งหากไม่กระทำก็ถือว่าเป็นความผิดโดยถือว่าเป็นการกระทำความผิดโดยการละเว้น เช่น มาตรา 374 บัญญัติว่า “ผู้ใดเห็นผู้อื่นตกอยู่ในภยันตรายแห่งชีวิตซึ่งตนอาจช่วยได้โดยไม่ควรกลัวอันตรายแก่ตนเองหรือผู้อื่นแต่ไม่ช่วยตามความจําเป็น ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินหนึ่งเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
เนื่องจากภรรยาของผู้ป่วยเป็นคนนําผู้ป่วยมาส่งที่โรงพยาบาลชุมชนเอง ดังนั้นภรรยาของผู้ป่วยต้องทราบดีว่าผู้ป่วยตกอยู่ในภาวะที่อาจเกิดอันตรายได้ แต่ภรรยาก็เลือกที่จะปฏิเสธการรักษาเพราะกลัวว่าถ้าส่งตัวไปสามีเอะอะอย่างนี้อายเขา
จากสถานการณ์ : การตัดสินใจของพยาบาลเหมาะสมหรือไม่
ไม่เหมาะสม
เนื่องจากพยาบาลใช้ความคิดเห็นส่วนตัวในการตัดสินใจ และกลัวว่าตนนั้นจะถูกฟ้องร้อง เพราะรู้ว่าภรรยาของผู้ป่วยนั้นปากร้าย ก้าวร้าว และชอบโวยวาย พยาบาลเลยตามใจภรรยาของผู้ป่วยโดยไม่ได้คำนึงถึงว่าจะส่งผลให้เกิดอันตรายต่อผู้ป่วยได้ เพราะมัวแต่คิดถึงแต่ตนเอง
การตัดสินใจที่เหมาะสมควรทำอย่างไร
ควรอธิบายให้ภรรยาของผู้ป่วยเข้าใจ และพูดโน้มน้าวเพื่อให้เกิดการตัดสินใจใหม่
อธิบายว่าถ้าหากภรรยาของผู้ป่วยตัดสินใจนําผู้ป่วยกลับบ้านโดยคิดว่าผู้ป่วยนั้นแค่เมา เดี๋ยวตื่นมาก็หายนั้นเป็นความเข้าใจผิด ผู้ป่วยก็จะได้รับอันตรายถึงชีวิต แต่หากตัดสินใจส่งตัวผู้ป่วยไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดตามที่แพทย์เวรได้บอกนั้น หากแพทย์เวรทำการวินิจฉัยผิดผลที่เกิดขึ้นก็แค่เสียเวลา แต่หากการวินิจฉัยของแพย์เวรนั้นถูกต้อง สิ่งที่ผู้ป่วยจะได้รับก็คือ การรักษาอย่างทันท่วงที