Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
เรียนประวัติศาสตร์จากอะไร? - Coggle Diagram
เรียนประวัติศาสตร์จากอะไร?
ความสำคัญทางประวัติศาสตร์
เสริมสร้างประสบการณ์ให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริงส่งผลทำให้เกิดความริเริ่มสร้างสรรค์ในการทำโครงงานใหม่ ๆ ที่จะนำไปสู่โลกของงานอาชีพและการศึกษาอีกทั้งโครงงานที่ตนเองสนใจยังก่อให้เกิดองค์ความรู้ที่กว้างขวางเป็นการประสานงานทางวิชาการระหว่างกลุ่มสาระการเรียนรู้ต่างๆ
ความสำคัญของวิธีการทางประวัติศาสตร์
สำหรับการศึกษาประวัติศาสตร์นั้นมีปัญหาที่สำคัญอยู่ประการหนึ่งคืออดีตที่มีการฟื้นหรือจำลองขึ้นมาใหม่นั้นมีความถูกต้องสมบูรณ์และเชื่อถือได้เพียงใตรวมทั้งหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรและไม่เป็นลายลักษณ์อักษรที่นำมาใช้เป็นข้อมูลนั้นมีความสมบูรณ์มากน้อยเพียงใดเพราะเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์มีอยู่มากมายเกินกว่าที่จะศึกษาหรือจดจำได้หมด แต่หลักฐานที่ใช้เป็นข้อมูลอาจมีเพียงบางส่วนดังนั้นวิธีการทางประวัติศาสตร์จึงมีความสำคัญเพื่อใช้เป็นแนวทางสำหรับผู้ศึกษาประวัติศาสตร์หรือผู้ฝึกฝนทางประวัติศาสตร์จะได้นำไปใช้ด้วยความรอบคอบระมัดระวังไม่ลำเอียงและเพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือ
ขั้นตอนวิธีการทางประวัติศาสตร์
วิธีการทางประวัติศาสตร์มีอยู่ 5 ขั้นตอน
การกำหนดหัวเรื่องที่ต้องการจะศึกษา
การศึกษาเรื่องราวในประวัติศาสตร์ควรเริ่มต้นจากการกำหนดเป้าหมายเพื่อให้ทราบจุดประสงค์การศึกษาให้แน่ชัดซึ่งเราจำเป็นจะต้องตั้งคำถามในสิ่งที่ต้องการศึกษาและใช้การอ่านและสังเกตในการตอบคำถามนอกจากนี้ก็ควรต้องมีความรู้พื้นฐานทางประวัติศาสตร์ให้มากเพียงพอเพื่อที่จะสามารถตอบได้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร
การรวบรวมหลักฐานที่เกี่ยวข้อง
การรวบรวมหลักฐานที่ต้องการศึกษามีทั้งที่เป็นหลักฐานลายลักษณ์อักษรและหลักฐานที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรซึ่งอาจอแบ่งหลักฐานทางประวัติศาสตร์ออกได้เป็น“ หลักฐานชั้นต้นหรือหลักฐานปฐมภูมิ” กับ“ หลักฐานชั้นรองหรือหลักฐานทุติยภูมิ "ดังต่อไปนี้
1) หลักฐานชั้นต้น (Primary Sources) เป็นหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นั้น ๆ โดยตรงเช่นหลักฐานทางราชการประกาศสุนทรพจน์บันทึกความทรงจำของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ผู้เห็นเหตุการณ์วีดิทัศน์ภาพยนตร์หรือภาพถ่ายเป็นต้น
2) หลักฐานชั้นรอง (Secondary rces) เป็นหลักฐานที่ทำขึ้นจากหลักฐานชั้นต้นบุคคลที่สร้างขึ้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นั้นโดยตรง แต่ได้รับรู้โดยผ่านบุคคลหรือผลงานอื่นด้วยเหตุนี้หลักฐานชั้นต้นจึงมีความสำคัญมากกว่าหลักฐานชั้นรองอย่างไรก็ตามหลักฐานชั้นรองจะเป็นตัวช่วยในการอธิบายเรื่องราวให้เข้าใจมากยิ่งขึ้นและเป็นตัวช่วยที่จะนำไปสู่หลักฐานข้อมูลอื่น ๆ การค้นคว้าเรื่องราวในประวัติศาสตร์ควรมองให้รอบด้านและระมัดระวังเนื่องจากหลักฐานทุกประเภทมีจุดเด่นและจุดด้อยที่แตกต่างกัน
3.)การประเมินคุณค่าของหลักฐานที่ได้มา
ก่อนจะนำหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ค้นคว้ามาได้มาศึกษาจะต้องมีการประเมินคุณค่าของหลักฐานนั้นเสียก่อนว่าเป็นหลักฐานที่แท้จริงหรือไม่เพียงใดโดยการประเมินคุณค่าของหลักฐานนี้อาจเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า“ การวิพากษ์วิธีทางประวัติศาสตร์ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 วิธี ได้แก่
1) การประเมินคุณค่าภายนอกหรือวิพากษ์วิธีภายนอกคือการประเมินคุณค่าของหลักฐานจากลักษณะภายนอกและเนื่องจากบางครั้งหลักฐานอาจมีการปลอมแปลงให้ผิดไปจากความเป็นจริงหรือเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองหรือการค้าดังนั้นการประเมินข้อเท็จจริงของเอกสารจึงเป็นสิ่งสำคัญโดยการประเมินวิธีภายนอกจะพิจารณาจากสิ่งที่ปรากฏภายนอกเป็นหลักเช่นการพิจารณาเนื้อกระดาษที่สามารถบ่งบอกได้ว่ามีที่มาจากชาติไหนเป็นต้น
2) การประเมินคุณค่าภายในหรือวิพากษ์วิธีภายในคือการประเมินคุณค่าของหลักฐานโดยอาศัยข้อมูลภายในหลักฐานนั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็น“ ชื่อบุคคล "" สถานที่ "หรือ“ เหตุการณ์" ยกตัวอย่างเช่นหากในหลักฐานเชื่อกันว่าเป็นหลักฐานสมัยสุโขทัย แต่เนื้อหาภายในมีการกล่าวถึงสหรัฐอเมริกาก็ควรตั้งข้อสงสัยว่าหลักฐานนั้นอาจไม่ใช่หลักฐานสมัยสุโขทัยจริงเนื่องจากประเทศสหรัฐอเมริกายังไม่เข้ามาในสมัยสุโขทัย
4.) การวิเคราะห์สังเคราะห์และจัดหมวดหมู่ข้อมูล
หลังจากแน่ใจแล้วว่าหลักฐานนั้นเป็นของแท้และให้ข้อมูลที่เป็นจริงตามประวัติศาสตร์ผู้ศึกษาก็ต้องพิจารณาเพิ่มเติมว่าข้อมูลทางประวัติศาสตร์นั้นสมบูรณ์มากน้อยเพียงใดหรือข้อมูลนั้น ๆ มีจุดมุ่งหมายเบื้องต้นอย่างไรบ้างหลังจากนั้นจึงนำเอาข้อมูลทั้งหลายมาแบ่งหมวดหมู่ตามความเหมาะสมเพื่อให้ง่ายต่อการดำเนินงานขั้นต่อไปขั้นตอนต่อไปคือการพยายามหาความสัมพันธ์ของประเด็นต่างๆและตีความข้อมูลนั้น ๆ ว่ามีข้อเท็จจริงอื่นใดที่ยังคงถูกซ่อนและไม่กล่าวถึงอีกบ้างรวมไปถึงการพิจารณาด้วยว่าข้อมูลที่ได้มานั้นกล่าวเกินจริงไปหรือไม่ซึ่งผู้ศึกษาประวัติศาสตร์จำเป็นต้องมีความละเอียดรอบคอบเป็นกลางรอบรู้หรือมีจินตนาการเพื่อที่จะนำข้อมูลทั้งหมดมาวิเคราะห์เปรียบเทียบหรือจัดหมวดหมู่ได้อย่างเป็นระบบ
การเรียบเรียงหรือการนำเสนอข้อมูล
หลังจากดำเนินขั้นตอนมาตามที่กล่าวไว้ข้างต้นแล้วก็จะมาจบลงที่การเรียบเรียงหรือการนำเสนอซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายของวิธีการทางประวัติศาสตร์ขั้นตอนนี้มีความสำคัญเป็นอย่างมากเนื่องจากเป็นขั้นตอนที่จะขมวดเอาข้อมูลทั้งหมดเข้าด้วยกันและนำเสนอให้ตรงกับประเด็นหัวเรื่องที่สงสัยรวมไปถึงการสืบหาความคิดใหม่ที่ได้จากการศึกษาครั้งนี้เพื่อจำลองเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีตให้กลับมาใหม่อีกครั้งสำหรับขั้นตอนการนำเสนอผู้ศึกษาจะต้องอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเป็นขั้นเป็นตอนมีเหตุมีผลและมีข้อมูลสนับสนุนที่น่าเชื่อถือรวมถึงการปิดท้ายด้วยข้อเสนอแนะเพื่อนำทางให้ผู้ที่สนใจคนอื่น ๆ ได้ศึกษาต่อไป
หลักฐานทางประวัติศาสตร์
หลักฐานทางประวัติศาสตร์หมายถึงร่องรอยการกระทำการพูดการเขียนการประดิษฐ์การอยู่อาศัยของมนุษย์หรือลึกไปกว่าที่ปรากฏอยู่ภายนอกคือความคิดอ่านโลกทัศน์ความรู้สึกประเพณีปฏิบัติของมนุษย์ในอดีตความรู้สึกของคนในปัจจุบันสิ่งที่มนุษย์จับต้องและทิ้งร่องรอยไว้กล่าวได้ว่าอะไรก็ตามที่มาเกี่ยวพันกับมนุษย์หรือมนุษย์เข้าไปเกี่ยวพันสามารถใช้เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ได้ทั้งสิ้น
หลักฐานทางประวัติศาสตร์ในประเทศไทยแบ่งออกเป็น
2 ประเภท คือ
หลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร
หลักฐานที่มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ได้แก่ ศิลาจารึกพงศาวดารใบลานจดหมายเหตุวรรณกรรมชีวประวัติหนังสือพิมพ์วารสารนิตยสารรวมถึงการบันทึกไว้ตามสิ่งก่อสร้างโบราณสถานโบราณวัตถุแผนที่หลักฐานประเภทนี้จัดว่าเป็นหลักฐานสมัยประวัติศาสตร์
หลักฐานที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นทั้งหมดที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร ได้แก่ สิ่งก่อสร้างโบราณสถานโบราณวัตถุศิลปการแสดงคำบอกเล่านาฏศิลป์ตนตรีจิตรกรรม ฯลฯ
การแบ่งประเภทของหลักฐานทางประวัติศาสตร์
แบ่งตามยุคสมัย
1.1 หลักฐานสมัยก่อนประวัติศาสตร์คือหลักฐานที่เกิดขึ้นในสมัยที่ยังไม่มีการบันทึกเป็นอักษร แต่เป็นพวกซากโครงกระดูกมนุษย์ซากสิ่งมีชีวิตต่างๆเครื่องมือเครื่องใช้เครื่องประดับร่องรอยการตั้งถิ่นฐานของชุมชนตลอดจนความพยายามที่จะถ่ายทอดประสบการณ์ของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ในลักษณะของการบอกเล่าต่อ ๆ กันมาเป็นนิทานหรือตำนานซึ่งเราเรียกว่า“ มุขปาฐะ”
1.2 หลักฐานสมัยประวัติศาสตร์คือหลักฐานสมัยที่มนุษย์สามารถประดิษฐ์ตัวอักษรและบันทึกในวัสดุต่างๆมีร่องรอยที่แน่นอนเกี่ยวกับสังคมเมืองมีการรู้จักใช้เหล็กและโลหะอื่น ๆ มาเป็นเครื่องมือใช้สอยที่ปราณีตมีร่องรอยศาสนสถานและประติมากรรมรูปเคารพในศาสนาอย่างชัดเจน
แบ่งตามลักษณะหรือวิธีการบันทึก
2.1 หลักฐานประเภทลายลักษณ์อักษร ได้แก่ จารึกตำนานพงศาวดารจดหมายเหตุบันทึกความทรงจำเอกสารทางวิชาการชีวประวัติจดหมายส่วนตัวหนังสือพิมพ์นิตยสารวารสารกฎหมายวรรณกรรมตำราวิทยานิพนธ์งานวิจัยในการศึกษาประวัติศาสตร์ในประเทศไทยมีการเน้นการฝึกฝนทักษะการใช้หลักฐานประเภทลายลักษณ์อักษรเป็นส่วนใหญ่จนอาจกล่าวได้ว่าหลักฐานประเภทนี้เป็นแก่นของงานทางประวัติศาสตร์ไทย
2.2 หลักฐานไม่เป็นลายลักษณ์อักษร ได้แก่ หลักฐานโบราณคดีเช่นโบราณสถานโบราณวัตถุเงินตราหลักฐานจากการบอกเล่าที่เรียกว่า“ มุขปาฐะ” หลักฐานด้านภาษาเกี่ยวกับพัฒนาการของภาษาพูดหลักฐานทางศิลปกรรม ได้แก่ จิตรกรรมประติมากรรมสถาปัตยกรรมนาฏศิลป์ดุริยางคศิลป์หลักฐานประเภทโสตทัศน์ ได้แก่ ภาพถ่ายภาพสไลด์แผนที่โปสเตอร์แถบบันทึกเสียงแผ่นเสียงภาพยนตร์ดวงตราไปรษณียากร
แบ่งตามลำดับความสำคัญ
3.1 หลักฐานชั้นต้น (Primary sources) อัน ได้แก่ หลักฐานที่บันทึกไว้โดยผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรงหรือรู้เห็นเหตุการณ์ด้วยตนเอง
3.2 หลักฐานรอง (Secondary Sources) ซึ่ง ได้แก่ บันทึกของผู้ที่ได้รับทราบเหตุการณ์จากคำบอกเล่าของบุคคลอื่นมาอีกต่อหนึ่งหนังสือประวัติศาสตร์ที่มีผู้เขียนขึ้นภายหลังโดยอาศัยการศึกษาจากหลักฐานชั้นต้น