Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
พัฒนาการรัฐไทยก่อนสมัยปฏิรูปประเทศ - Coggle Diagram
พัฒนาการรัฐไทยก่อนสมัยปฏิรูปประเทศ
พัฒนาการรัฐไทยก่อนสมัยปฏิรูปประเทศ
พัฒนาการด้านการเมืองการปกครองสมัยรัชกาลที่ 4
สาเหตุการปรับปรุงการปกครองสมัยรัชกาลที่ 4
1.ทรงได้รับแนวคิดจากชาวตะวันตก ซึ่งพระองค์ได้สัมผัสและทรงคุ้นเคยตั้งแต่ครั้งยังผนวชอยู่
2.เพื่อให้เกิดความเจริญก้าวหน้า และเป็นพื้นฐานที่จะได้มีการเปลี่ยนแปลงในโอกาสต่อไป เพื่อรักษาเอกราชของประเทศชาติให้พื้นจากการครอบครองของประเทศตะวันตก ที่กำลังขยายอิทธิพลเข้ามาในประเทศไทยในขณะนั้น
การปรับปรุงการปกครองในสมัยรัชกาลที่ 4
1.ออกประกาศต่างๆ เรียกว่า ประกาศรัชกาลที่ 4 เพื่อให้ประชาชนได้รับข่าวสาร
2.ปรับปรุงกฎหมาย ทรงตราพระราชกำหนดกฎหมายใหม่ และออกประกาศข้อบังคับต่างๆ ถือว่าเป็นกฎหมายเช่นเดียวกันรวมทั้งหมดประมาณ 500 ฉบับ
3.โปรดให้จัดตั้งโรงพิมพ์หลวงขึ้นในพระบรมหาราชวัง มีชื่อเรียกว่า “โรงอักษรพิมพการ” เพื่อใช้พิมพ์ประกาศและกฎหมายต่างๆ เป็นหนังสือแถลงข่าวของทางราชการ เรียกว่า ราชกิจจานุ
พัฒนาการด้านการเมืองการปกครองสมัยรัชกาลที่ 5
สาเหตุสำคัญในการปฏิรูปการปกครองในสมัยรัชกาลที่ 5
1.ปรับปรุงประเทศให้เจริญก้าวหน้าเพื่อป้องกันการคุกคามของประเทศมหาอำนาจตะวันตก
2.การปกครองแบบเก่า อำนาจการปกครองบ้านเมืองตกอยู่กับขุนนาง ถ้าปฏิรูปการปกครองใหม่ จะทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจอย่างแท้จริง
การปรับปรุงระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน
1.การจัดตั้งสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน (Council of State) สมาชิกสภาประกอบด้วยข้าราชการ ที่มีบรรดาศักดิ์ชั้นพระยาจำนวน 12 คน ที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งมีหน้าที่ ถวายคำปรึกษา ในเรื่องเกี่ยวกับราชการแผ่นดินโดยทั่วไป พิจารณาร่างกฎหมายต่างๆ
2.องคมนตรีสภา (สภาที่ปรึกษาส่วนพระองค์) (Privy Council) สมาชิกประกอบด้วยพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการระดับต่างๆ จำนวน 49 คน ทำหน้าที่ ถวาย คำปรึกษาข้อราชการและเสนอความคิดเห็นต่างๆ และมีหน้าที่ช่วยปฏิบัติราชการตามแต่จะมีพระบรมราชโองการ ปัจจุบันคือ คณะองคมนตรี ต่อมาภายหลัง 2 สภา ถูกยกเลิกไปเพราะขุนนางไม่พอใจ คิดว่ากษัตริย์จะล้มล้างระบบขุนนาง จึงเกิดการ ต่อต้าน
พัฒนาการด้านการเมืองการปกครองสมัยรัชกาลที่ 6
การปฏิรูปการปกครองสมัยรัชกาลที่ 6
การจัดตั้ง ดุสิตธานี เพื่อทดลองการปกครองแบบประชาธิปไตย โดยโปรดฯให้สร้างนครจำลองขึ้น พระราชทานนามว่า ดุสิตธานี เดิมตั้งอยู่ที่พระราชวังดุสิต ต่อมาย้ายไปอยู่ที่พระราชวังพญาไท (บริเวณโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าฯในปัจจุบัน) ภายในดุสิตธานีมีสิ่งสมมุติ หรือ แบบจำลองต่างๆ เช่น ที่ทำการรัฐบาล วัดวาอาราม อาคารบ้านเรือน ถนน สาธารณูปโภค สถานที่ราชการ ฯลฯ โปรดฯ ให้มีการบริหารงานในดุสิตธานี โดยวิธีการเลือกตั้งตามแบบประชาธิปไตย มีการเลือกตั้งในระบบพรรคการเมือง พรรคการเมืองที่ได้รับเสียงข้างมาก เป็นผู้จัดตั้งคณะผู้บริหารดุสิตธานี เรียกว่า นคราภิบาล ลักษณะการบริหารงานในดุสิตธานี เป็นการจำลองการบริหารงานแบบเทศบาล ของประเทศตะวันตก
การปรับปรุงการปกครองส่วนกลางของรัชกาล 6
1.โปรดให้จัดตั้งกระทรวงใหม่ คือ กระทรวงมุรธาธิการ (ซึ่งรัชกาลที่ 5 ทรงยกเลิกไป) กระทรวงทหารเรือ กระทรวงพาณิชย์
2.ทรงยกเลิกกระทรวงนครบาล รวมเข้ากับกระทรวงมหาดไทย
3.ทรงให้เปลี่ยนชื่อกระทรวงโยธาธิการ เป็นกระทรวงคมนาคม
การสิ้นสุดของอาณาจักรสุโขทัย
เมื่อสิ้นรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราชแล้ว อาณาจักรสุโขทัยเริ่มเสื่อมอำนาจลง พระมหากษัตริย์องค์ต่อมาไม่สามารถรักษาอาณาจักรให้คงสภาพเดิมไว้ได้ จึงทำให้หัวเมืองต่างๆ ที่เคยตกอยู่ใต้อำนาจของสุโขทัยต่างพากันแข็งข้อตั้งตนเป็นอิสระ ต่อมาพระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลิไทย) ขึ้นครองราชย์ พระองค์ต้องเผชิญกับการคุกคามของอาณาจักรใกล้เคียง คือ เชียงใหม่และอยุธยาโดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาณาจักรอยุธยาที่มีอำนาจทางการเมืองที่เข้มแข็งและขยายตัวอย่างรวดเร็ว ในช่วงปลายสมัยของพระองค์ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (อู่ทอง) ได้ยกทัพมาตีและยึดครองเมืองชัยนาทได้ ทำให้อาณาเขตของอาณาจักรสุโขทัยลดน้อยลง และในปี พ.ศ ๑๙๖๒ พระมหาธรรมราชาที่ ๓ เสด็จสวรรคต พระราชโอรส ๒ พระองค์ คือ พระยาบาลเมือง พระยาราม ต่อสู้แย่งชิงราชสมบัติกัน การทำให้เกิดการจลาจลขึ้น สร้างความอ่อนแอให้แก่อาณาจักรสุโขทัยเป็นอย่างยิ่ง สมเด็จพระอินทราชา(เจ้านครอินทร์)กษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาเห็นเป็นโอกาสเหมาะจึงยกทัพไปปราบจลาจล พระราชโอรสทั้งสองจึงยอมอ่อนน้อม พระองค์จึงทรงแต่งตั้งให้พระยาบาลเมืองเป็นกษัตริย์ครองเมืองพิษณุโลกซึ่งเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรสุโขทัยในขณะนั้น ทรงพระนามว่าพระมหาธรรมราชาที่ 4 (บรมปาล) และได้ทรงแต่งตั้งให้พระยารามครองเมืองสุโขทัย
เมื่อสิ้นรัชสมัยพระมหาธรรมราชาที่ ๔ พระราเมศวรได้ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์แห่งอยุธยาทรงพระนามว่า สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ได้เสด็จมาประทับที่เมืองพิษณุโลก เมืองพิษณุโลกจึงมีฐานะเป็นเมืองหลวงของอยุธยาตลอดรัชสมัยของพระองค์ ด้วยเหตุนี้อาณาจักรสุโขทัยจึงผนวกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอยุธยา จึงถือได้ว่าเป็นการสิ้นสุดของอาณาจักรสุโขทัยตั้งแต่นั้นมา
การสิ้นสุดของอาณาจักรอยุธยา
อยุธยาซึ่งดำรงความเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ มีความรุ่งเรืองมาตั้งแต่ พ.ศ. 1893 และได้ถึงวาระสิ้นสุด อันเนื่องมาจากพ่ายแพ้ต่อสงครามกับพม่าใน พ.ศ. 2310 อันมีสาเหตุสำคัญ 2 ประการ คือ
ปัญหาภายในราชอาณาจักร ขุนนางมีการแบ่งพรรคพวกและแย่งชิงอำนาจกันตลอดเกือบทุกรัชกาล ปัญหาใหญ่ คือ การแย่งชิงราชสมบัติระหว่างวังหน้าหรือกรมพระราชวังบวรกับผู้ที่ถูกแต่งตั้งขึ้นมาเพื่อให้เป็นพระมหากษัตริย์สืบต่อมานั่นเอง การดำรงตำแหน่งวังหน้าเป็นเวลานานตั้งแต่ต้นรัชกาลนั้น ทำให้สามารถสะสมอำนาจได้อย่างดี จึงมีผู้คนเป็นจำนวนมากให้การสนับสนุนวังหน้าแย่งชิงอำนาจกับวังหลวง ถือเป็นความอ่อนแอของราชวงศ์
ปัญหาจากภายนอก พม่าเป็นประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงที่อยุธยาต้องทำสงครามกันมาตลอด โดยเริ่มตั้งแต่ในสมัยพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้แห่งราชวงศ์ตองอู ที่มีกำลังทางทหารเข้มแข็งได้ขยายอำนาจ จนสามารถผนวกอาณาจักรล้านนาและมอญเข้าเป็นส่วนหนึ่งของพม่า และการย้ายเมืองหลวงมายังหงสาวดี ทำให้อาณาเขตของพม่าอยู่ติดกับอาณาจักรอยุธยาและทำให้อยุธยาพ่ายแพ้แก่พม่า เสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 1 เมื่อ พ.ศ. 2112
การสิ้นสุดของสมัยกรุงธนบุรี
สาเหตุการสิ้นสุดสมัยกรุงธนบุรี
สาเหตุการสิ้นสุดรัชสมัยธนบุรี ของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เพราะพระองค์ถูกทหารที่ให้ไปปราบกบฎ ดันเข้ากับพวกกบฎและก่อกบฎเสียเอง ทั้ง ๆ ที่เจ้าฟ้ากรมขุนอินทรพิทักษ์ พระราชโอรสของพระองค์ ที่ถูกส่งไปปราบกบฎด้วย รู้ความเคลื่อนไหวแล้วแท้ ๆ แต่ก็ส่งสารไปถึงพระบิดาไม่ทัน ราชวงศ์ธนบุรีจึงมีระยะเวลาปกครองสั้นแค่ 15 ปี พ.ศ. 2310 – 2325 มีพระมหากษัตริย์เพียงพระองค์เดียวคือ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
สังคมสมัยรัตนโกสินทร์
การปกครองในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
ในสมัยรัชกาลที่ 1-3 พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ การจัดระเบียบการปกครองยังคงยึดถือตามแบบอย่างสมัยอยุธยาตอนปลาย มีดังนี้
1.1 สมุหกลาโหม มีอำนาจบังคับบัญชาหัวเมืองฝ่ายใต้ ทั้งทหารและพลเรือนมียศและราชทินนามว่า เจ้าพระยามหาเสนา ใช้ตราคชสีห์เป็นตราประจำตำแหน่ง
1.2 สมุหนายก มีอำนาจบังคับบัญชาหัวเมืองฝ่ายเหนือ ทั้งกิจการทหารและพลเรือนมียศและราชทินนามว่า เจ้าพระยาจักรี หรือเจ้าพระยาบดินทร์เดชานุชิต ใช้ตราราชสีห์เป็นตราประจำตำแหน่ง
1.3 เสนาบดีจตุสดมภ์ เป็นตำแหน่งรองลงมา ประกอบด้วย
(2) กรมวัง เสนาบดี คือ พระยาธรรม มีหน้าที่ดูแลพระราชวังและตั้งศาลชำระความ
(3) กรมคลัง หรือกรมท่า เสนาบดี คือ พระยาราชภักดี, พระยาศรีพิพัฒน์หรือพระยาพระคลัง มีหน้าที่ด้านการเงิน การคลัง และการต่างประเทศ
(1) กรมเวียง หรือกรมเมือง เสนาบดี คือ พระยายมราช มีหน้าที่ดูแลกิจการทั่วไปในพระนคร
(4) กรมนา เสนาบดี คือ พระยาพลเทพ มีหน้าที่ดูแลไร่นาหลวง และเก็บภาษีข้าว
1.การปกครองส่วนกลาง มีเสนาบดีทำหน้าที่บริหารราชการ
การปกครองส่วนภูมิภาค หรือการปกครองหัวเมือง
2.1 หัวเมืองฝ่ายเหนือ (รวมทั้งหัวเมืองอีสาน) อยู่ในความรับผิดชอบของสมุหนายก หั้วเมืองฝ่ายเหนือแบ่งตามฐานะตามระดับความสำคัญ ดังนี้
(1) หัวเมืองชั้นใน (หัวเมืองจัตวา) อยู่ไม่ห่างไกลจากราชธานี มีเจ้าเมืองหรือ“ผู้รั้ง”เป็นผู้ปกครอง
(2) หัวเมืองชั้นนอก (เมืองชั้นตรี โท เอก) มีขุนนางชั้นสูงหรือพระบรมวงศานุวงศ์เป็นผู้ปกครอง ได้แก่ เมืองพิษณุโลก นครสวรรค์ พิจิตร ฯลฯ
2.3 หัวเมืองฝ่ายใต้ ขึ้นสังกัดสมุหกลาโหม นับตั้งแต่เมืองเพชรบุรีลงไป จนถึงนครศรีธรรมราช ไชยา พังงา ถลาง และสงขลา เป็นต้น มีฐานะเป็นหัวเมืองชั้นนอกทั้งสิ้น
2.2 หัวเมืองชายฝั่ทงทะเลตะวันออกของอ่าวไทย เป็นหั้วเมืองชั้นนอก ได้แก่ นนทบุรี สมุทรปราการ สาครบุรี ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ฯลฯ อยู่ในความรับผิดชอบของพระคลัง หรือกรมท่า
การฟื้นฟูเศรษฐกิจ
เศรษฐกิจของไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นเริ่มฟื้นตัวในตอนปลายรัชกาลที่ 2 เป็นต้นมา และเจริญรุ่งเรืองอย่างมากในสมัยรัชกาลที่ 3ผลผลิตทางการเกษตรและการค้าทางเรือสำเภากับต่างประเทศขยายตัวขึ้นมาก รายได้ของประเทศในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีที่มา 2 ทางดังนี้
รายได้จากการค้ากับต่างประเทศ มี 5 ประเภทได้แก่
1.1 การค้าสำเภาหลวง เป็นรายได้หลักที่สำคัญของสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นโดนพระคลังสินค้า (หน่วยงานของรัฐ ขึ้นอยู่กับกรมคลัง หรือกรมท่า) ทำหน้าที่แต่งเรือสำเภาหลวงบรรทุกสินค้าไปขายยังต่างประเทศ โดยเฉพาะกับประเทศจีน รองลงมา คือ ชวา มลายู และอินเดีย
1.2 กำไรจากการผูกขาดการค้า เป็นรายได้ของรัฐที่ทมีมาตั้งแต่สมัยอยุธยาโดยพระคลังสินค้า เป็นผู้ควบคุมการซื้อขายสินค้าผูกขาดและสินค้าต้องห้าม หรือทำหน้าที่เป็นคนกลางระหว่างพ่อค้าไทยกับพ่อค้าชาวต่างประเทศ
1.3 ภาษีปากเรือหรือ ภาษีเบิกร่อง เป็นค่าธรรมเนียมซึ่งเก็บจากเรือสินค้าของชาวต่างประเทศที่เข้ามาจอดเทียบท่าในไทย โดยเก็บตามขนาดความกว้างของปากเรือ (หรือส่วนกว้างที่สุดของเรือ) คิดอัตราภาษีเป็นวา เช่น ในสมัยรัชกาลที่ 3 เก็บจากเรือสินค้าอังกฤษวาละ 1700 บาท เป็นต้น
1.4 ภาษีสินค้าขาเข้า เรียกเก็บจากพ่อค้าชาวต่างประเทศที่นำสินค้าเข้ามาขายในไทย เช่น ในสมัยรัชกาลที่ 2 เรียกเก็บจากพ่อค้าชาติตะวันตกร้อยละ 8 ของราคาสินค้าเป็นต้น
1.5 ภาษีสินค้าออก เรียกเก็บจากสินค้าที่ส่งออกในอัตราที่แตกต่างกันตามประเภทของสินค้า เช่น ข้าวสาร หาบละ 1 สลึง และน้ำตาลหาบละ 2 สลึงเป็นต้น
(1) สินค้าผูกขาด คือ สินค้าที่รัฐ (พระคลังสินค้า) เป็นผู้ซื้อขายแต่เพียงผู้เดียวเพื่อความมั่นคงของประเทศ ห้ามมิให้ราษฎรซื้อขายสินค้าประเภทนี้ ได้แก่ อาวุธปืน กระสุนปืน ดินปะสิว
(2) สินค้าต้องห้าม คือ สินค้าที่หายาก มีราคาแพง และเป็นที่ต้องการของต่างประเทศ เช่น งาช้าง รังนก หนังกวาง และไม้ฝาง ราษฎรไทยต้องนำมาขายให้แก่ทางราชการก่อน มิให้นำไปขายให้พ่อค้าต่างประเทศโดยตรง
(3) อำนาจของพระคลังสินค้า พระคลังสินค้ามีอำนาจเลือกซื้อสินค้าจากเรือสำเภาชาวต่างประเทศได้ก่อนพ่อค้าเอกชน เรียกว่า การเหยียบหัวตะเภา เช่น เครื่องแก้ว พรม ผ้าแพร ฯลฯ สำหรับสินค้าต้องห้าม พ่อค้าไทยกับพ่อค้าขายต่างประเทศจะซื้อขายกั้นโดยตรงไม่ได้ แต่ต้องซื้อขายผ่านพระคลังสินค้า ซึ่งททำกำไรให้รัฐอย่างมากในฐานะพ่อค้าคนกลาง
2.รายได้ภายในประเทศ เป็นรายได้ของรัฐที่ได้จากภาษีอากรภายในประเทศและมีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา มี 4 ประเภท คือ
2.1 จังกอบ คือ ภาษีค่าผ่านด่าน เรียกเก็บจากพ่อค้าที่นำสินค้าบรรทุกใส่ยานพาหนะและเดนทางผ่านด่านขนอน (ที่ตั้งเก็บภาษี) ทั้งทางบกและทางน้ำ ในอัตรา 10 หยิบ 1
2.2 อากร คือ ภาษีที่รัฐเรียกเก็บจากราษฎรในการประกอบอาชีพต่างๆ เช่น อากรสวน อากรต้มกลั่นสุรา อากรค่าน้ำ (การจับสัตว์น้ำ) และอากรค่ารักษาเกาะ (การเก็บไข่เต่าและรังนก) เป็นต้น
2.3 ส่วย คือ สิ่งของหรือเงินที่ราษฎรนำมาทดแทนแรงงานหรือทดแทนการเข้าเวรรับราชการ ถ้าเป็นสิ่งของได้แก่ ดีบุก พริกไทย มูลค้างคาว ฯลฯ
2.4 ฤชา คือ ค่าธรรมเนียมที่ทางราชการเรียกเก็บจากราษฎร เป็นค่าบริการที่ทางราชการจัดทำให้ เช่น การออกโฉนดที่ดิน หรือ เงินค่าปรับไหมที่ฝ่ายแพ้คดีจะต้องจ่ายให้แก่ฝ่ายชนะ ซึ่งรัฐจะเก็บครึ่งหนึ่งเป็นค่าฤชา