Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 16 การจัดการกับเด็กกลุ่มพิเศษ - Coggle Diagram
บทที่ 16 การจัดการกับเด็กกลุ่มพิเศษ
ถึงแม้ว่าหลักการและแนวทางการบริหารจัดการห้องเรียนที่ได้อภิปรายมาจากบทต้น ๆ สามารถจะ นําไปใช้กับห้องเรียนได้เป็นส่วนใหญ่ แต่การบริหารจัดการห้องเรียนจะมีผลกระทบจากองค์ประกอบอื่น ๆ โดยเฉพาะเกี่ยวกับลักษณะของผู้เรียนในห้องนั้น ๆ เช่น อายุระดับความสามารถของสติปัญญา เป้าหมาย ความสนใจ ภูมิหลังทางบ้าน ทั้งหมดนี้จะมีผลต่อพฤติกรรมในห้องเรียน หลักการสําคัญอันเป็นเป้าหมาย สุดท้าย ก็คือ การปรับการบริหารจัดการห้องเรียน และการปรับการเรียนการสอนให้เหมาะสม เพื่อสนองความ ต้องการของผู้เรียนเหล่านั้น ซึ่งอาจจะเป็นผู้เรียนที่มีความต่ําหรือสูงกว่าผู้เรียนทั่วไปในระดับชั้นนั้นๆ ตลอดจน ผู้เรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา หรือทางกาย หรือผู้เรียนที่มีความสามารถทางภาษาจํากัด และมักจะ พบว่า ห้องเรียนบางห้องจะมีผู้เรียนหลายประเภทดังกล่าวรวมกัน นับเป็นการท้าทายความสามารถครูที่ต้องใช้ ความพิเศษ ในการสนองความต้องการของผู้เรียนดังกล่าว
การประเมินผลสัมฤทธิ์เบื้องต้น (Assessing Entering Achievement)
การกําหนดกลุ่มพิเศษ (Identifying Special Groups)
กลยุทธ์สําหรับความแตกต่างระหว่างบุคคล (Strategies for individual Differences)
• การสอนเป็นทีม (Team Teaching)
การสอดประสานของตารางสอน (Coordination of Schedules)
การเคลื่อนย้ายผู้เรียน (Student Movement)
การเตือนผู้เรียนว่าต้องทําอะไรติดตัวไปบ้างในการไปในการไปเรียนในกลุ่มย่อยแต่ละวิชา (Reminding Students What They Are Supposed to Take With Them)
กฎและกระบวนการ (Rules and Procedures)
การคงไว้ซึ่งความรับผิดชอบในงาน (Maintaining Responsibility for Work)
5.1 ผู้เรียนต้องมั่นใจว่าผู้เรียน (โดยเฉพาะผู้เรียนเล็กๆ) มีความตระหนักว่าผู้สอนรับผิดชอบในการ ตรวจงานผู้เรียนและการให้เกรดในใบรายงานผลการเรียน
5.2 ผู้เรียนต้องอธิบายเกี่ยวกับมาตรฐานของงานให้ชัดเจน ตลอดทั้งเกณฑ์การให้เกรด
5.3 เมื่อครูพบผู้เรียนแต่ละวันก็ตรวจงานก่อนจบบทเรียน และให้ข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) แก่ ผู้เรียนเพื่อให้ผู้เรียนทํางานให้สําเร็จสมบูรณ์
5.4 แจ้งผลการเรียน (เกรด) ทันที อย่างถ่วงงานเอาไว้ 5.5 แจ้งผู้ปกครอง ถ้าหากผู้เรียนคนใดไม่ทํางาน/แบบฝึกหัดให้เสร็จอย่าผลักภาวะเรื่องนี้ให้ครู Homeroom ๆ
การสอนที่ผู้เรียนต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ (Working With Special Needs Student)
ผู้เรียนที่มีความบกพร่องเรื่องการเรียน (Learning Disabled Student )
ผู้เรียนที่มีปัญหาทางอารมณ์ (Ermotionality Disturbed Student)
ผู้เรียนที่มีความสนใจระยะสั้นและอยู่นิ่งไม่ได้ (Attention-Deficit Hyperactive Disorder Student)
ผู้เรียนหูตึง (Hearing Impaired Student)
ผู้เรียนที่มีข้อจํากัดทางภาษาอังกฤษ (Student with Limited English Proficiency)
การสอนผู้เรียนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำ (The Teaching Lower Achieving Students)
การสอนโดยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วม (Active Instruction)
การจัดและการดําเนินการสอน (Organizing and Pacing Instruction)
การสอนซ่อมเสริม (Remedial Instruction)
การสร้างเจตคติที่ดี (Building Positive Attitudes)
การสอนพิเศษ (Supplementary or Pull-out Program)
Special Education :
Chapter 1 Program :
Enrichment Program :
3.1. เวลาที่ประสานสอดคล้องกันกับครูคนอื่นๆ (Coordinating Times with Other Teachers)
3.2. การดําเนินการตามกําหนดการ (Staying on Schedule)
3.3 เตรียมกิจกรรมสําหรับผู้เรียนที่เข้ามา ขณะกําลังรอการสอนของครู (Having Something for Drop-in Students to Do While waiting for Instruction)
3.4. การให้ผู้เรียนที่กลับมาทํางานต่อเนื่อง (Getting Returning Students Involved Again)
3.5. การจัดกิจกรรมเมื่อไม่มีการสอนพิเศษ (Activities When Supplementary)
3.6. ผู้ช่วยในห้องเรียน (In-Class Aides)
การสอนผู้เรียนที่มีความสามารถสูง (Working with Higher Ability Students)
ผู้เรียนที่มีความสามารถสูงอาจจะแสดงการท้าท้ายพิเศษในชั้นที่มีผู้เรียนที่มีความหลากหลาย ครูควร ส่งเสริมผู้เรียนที่มีความสูงให้มีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ ครูต้องจัดจํานวนกิจกรรมและ ระดับความยากที่เหมาะสมมิฉะนั้นผู้เรียนจะเกิดความเบื่อหน่ายและอาจจะก่อกวนชั้นเรียนได้
การปรับการสอนผู้เรียนทั้งห้อง (Modifying Whole-Class Instruction)
การสอนแบบให้ผู้เรียนมีส่วนร่วม (Interactive Instruction)
การจัดที่นั่งผู้เรียน (Seating Arrangement)
คําแนะนํา (Directions)
การให้งานแก่ผู้เรียน (Assignments)
การสอนเป็นรายบุคคล (Individualized Instruction)
การเปลี่ยนกิจกรรม (Transition)
การเดินไปมาของผู้เรียน (Student Movement)
การควบคุมดูแลพฤติกรรมผู้เรียน (Monitoring Student Behavior)
• 3.1 ต้องรู้ว่าผู้เรียนทุกคนต้องทําอะไรในเวลาที่กําหนด เพื่อที่ครูจะได้สนับสนุนให้ผู้เรียนได้ใช้ ความสามารถ และหาทางป้องกันปัญหา
• 3.2 ครูต้องแน่ใจว่าผู้เรียนทุกคนรู้ว่าตนต้องทําอะไรและต้องปฏิบัติตัวอย่างไรในการทํา
กิจกรรมต่าง ๆ
• 3.3 ครูต้องดูแลผู้เรียนที่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร หรือจะทํางานให้เสร็จอย่างไร เพื่อช่วยเหลือ ครูต้องไม่ช่วยเหลือผู้เรียนคนใดหรือกลุ่มใดมากเกินไป และต้องไม่รอจนกว่าผู้เรียนผู้เรียนเริ่มก่อปัญหา หรือ เริ่มรบกวนคนอื่น แล้วจึงเข้าไปช่วยเหลือ
• 3.4 ครูเดินไปดูทั่วๆ ห้องและดูผลการทํางานของผู้เรียนเป็นระยะ ๆ สายตาของครูต้องกวาดไป ทั่วห้องบ่อย ๆ เพื่อดูว่าผู้เรียนคนใดเกิดความสับสนหรือไม่ทํางาน
• 3.5 โดยปกติจะมีผู้เรียน 2-3 คนที่ต้องการแนะนําช่วยเหลือมากว่าคนอื่นถ้าเป็นไปได้ ครูต้อง ให้ผู้เรียนเหล่านี้นั่งในที่ผู้สอนเห็นง่ายและช่วยเหลือได้ทันที
การให้กําลังใจแก่ผู้เรียนเพื่อให้มีความรับผิดชอบต่องาน (Encouraging Student Responsibility)
สัญญา (Contracts)
ความร่วมมือของผู้เรียน: ความช่วยเหลือจากเพื่อน (Student Cooperation: Help from Peers)
.......
• 6.1 ให้ผู้เรียนจับคู่กันทํางาน ผลัดกันอ่านและฟังซึ่งกันและกัน “การอ่านกับเพื่อน” สามารถที่จะ เป็นส่วนหนึ่งของสัญญา
• 6.2 แต่งตั้งให้ผู้เรียนที่มีความสามารถเป็นผู้ช่วยเหลือผู้เรียนคนอื่น ๆ เมื่อครูไม่ว่าง คือสอน ผู้เรียนคนอื่นเป็นรายบุคคลหรือสอนผู้เรียนบางกลุ่ม
• 6.3 เมื่อครูสอนกลุ่มย่อย ให้ผู้เรียนที่ต้องการความช่วยเหลือไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนคน อื่นก่อน
• 6.4 แต่งตั้งหรือกําหนดหัวหน้ากลุ่มสําหรับศูนย์การเรียนรู้ที่จะตอบคําถามและจัดเอกสารการ เรียน
• 6.5 กําหนดหรือแต่งตั้งผู้เรียนคนเก่งไว้ช่วยเหลือผู้เรียนอ่อนประจําตัว ในกรณีที่ผู้เรียนอ่อน ต้องการความช่วยเหลือบ่อย ๆ ผู้ช่วยดังกล่าวจะช่วยตอบคําถามและอธิบายวิธีการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
• 6.6 อนุญาตให้ผู้เรียนช่วยเหลือผู้อื่น หรือขอความช่วยเหลือจากเพื่อน ๆ ในการทําแบบฝึกหัด
ความร่วมมือในการทํางานเป็นกลุ่ม (Cooperative work Groups)
เพื่อนสอนเพื่อน (Peer Tutoring)