วันเวลาในการศึกษาประวัติศาสตร์

เวลาในเอกสาร

จันทรคติ

สุริยคติ

เริ่มต้นนับเดือนจันทรคติตั้งแต่ขึ้นค่ำหนึ่ง สองค่ำ สามค่ำ ไปจนถึงขึ้น 15 ค่ำ เรียกว่า วันเพ็ญ ต่อด้วยแรมค่ำหนึ่ง สองค่ำ สามค่ำ ไปจนถึงแรม 15 ค่ำ ซึ่งเรียกว่าวันเดือนดับ รวมเป็นเดือนหนึ่ง เนื่องจากดวงจันทร์หมุนรอบโลกหนึ่งรอบเป็นเวลา 29 วันครึ่ง หรือสองรอบจะได้ประมาณ 59 วัน จึงกำหนดเดือนทางจันทรคติให้มี 29 วันในเดือนคี่ (เรียกเดือนขาด) และ 30 วัน ในเดือนคู่ (เรียกเดือนถ้วน) สองเดือน รวมเป็น 59 วันพอดี ตรงกับข้างขึ้น และข้างแรมตามจันทรคติ

เวลาตามจันทรคติในปฏิทิน 1 ปี มี 12 เดือน เท่ากับ 354 วัน ซึ่งเมื่อเทียบกับปฏิทินสากล(ซึ่งใช้วันเวลาแบบสุริยคติ คือ วันเ วลาที่โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์หนึ่งรอบเท่ากับ 365 1/4 วัน) จึงสั้นไป 11 วันเศษ ดังนั้นใน 3 ปี จึงเพิ่มเดือนพิเศษอีก 1 เดือน ที่หลังเดือน 8 เรียกว่า เดือน 8 หลังมี 30 วัน ทำให้ปีจันทรคติที่มี 13 เดือน หรือ 384 วัน เป็นปีอธิกมาส และในรอบ 19 ปีทางจันทรคติ จะเพิ่มวันพิเศษอีก 1 วัน ในเดือนเจ็ดทำให้มี 30 วัน (ปกติเดือนคี่มี 29 วัน) เรียกว่า ปีอธิกวาร ก็จะทำให้เวลาทางจันทรคติตามทันเวลาทางสุริยคติได้

ส่วนวันเวลาตามแบบสุริยคติซึ่งเป็นปีที่ตรงตามฤดูกาล ปีปกติมี 365 วัน หรือ12 เดือน ในหนึ่งเดือนมี 28 - 30- 31 วัน ในทุก 4 ปี เดือนกุมภาพันธ์มี 29 วัน เพิ่มขึ้น 1 วัน (ทุกปี ค.ศ.ที่หารด้วย 4 ลงตัว) ปีนั้นมี 366 วัน เรียกว่า ปีอธิกสุรทิน เช่น เมื่อ ค.ศ. 2000 หรือ พ.ศ. 2543

เดิมวันปีใหม่ในสมัยอยุธยา คือ วันแรม 1 ค่ำ เดือนอ้าย ในสมัยปัจจุบันวันปีใหม่ทางจันทรคติเป็นวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 (เดือนเมษายน) ซึ่งเป็นวันที่เปลี่ยนนักษัตร (ชวด ฉลู ขาล เถาะ มะโรง มะเส็ง มะเมีย มะแม วอก ระกา จอ กุน เป็นการรับวัฒนธรรมจากขอม) เมื่อ พ.ศ. 2484 เป็นต้นมา ประเทศไทยจึงได้ใช้ 1 มกราคม เป็นปีใหม่ตามแบบสากล

ปีนักษัตร

เริ่มต้นจากต้นตอของการนับ ๑๒ นักษัตรก่อน อันว่านักษัตรทั้ง ๑๒ นั้น เป็นที่นับลำดับตรงกันทั่วไป ตั้งแต่จีน ก็เชื่อว่าคงจะเป็นต้นตอเริ่มนับนักษัตรทั้ง ๑๒ ก่อนผู้ใดในโลก แล้วจากจีนก็แพร่ลงมาสู่ชาวไทยทั้งหลาย เรื่อยลงมาสู่ดินแดนอุษาคเนย์ ที่ต่างก็นับปีนักษัตรเป็นที่เสมอกันทั่วทั้งภูมิภาค อารยธรรมจีนนั้น มีปฏิทินจันทรคติใช้เป็นของตัวเอง มีเดือนตั้งแต่เดือน ๑ ถึงเดือน ๑๒ เดือน ๑ เริ่มตั้งแต่ช่วงปลายฤดูหนาวต่อต้นฤดูใบไม้ผลิ ตกราว ๆ เดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ เมื่อขึ้นวันที่ ๑ เดือน ๑ คือวันตรุษจีน ก็นับขึ้นเป็นปีนักษัตรใหม่ สรุปคือถ้านับตามแบบจีน ก็ยึดเอาวันตรุษจีนเป็นหลัก

จักรราศี

จักรราศี เป็นแถบสมมติบนท้องฟ้าที่มีขอบเขตประมาณ 8 องศา ค่อนไปทางเหนือและใต้ของแนวเส้นทางที่ดวงอาทิตย์ปรากฏเคลื่อนผ่าน (สุริยวิถี) ซึ่งครอบคลุมแนวเส้นทางปรากฏของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวเคราะห์ในระบบสุริยจักรวาลอีก 7 ดวง คือ ดาวพุธ ดาวศุกร์ ดาวอังคาร ดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส และดาวเนปจูน ส่วนดาวพลูโตนั้น ความเอียงของวงโคจรมีค่ามาก ดาวพลูโตจึงมีเส้นทางปรากฏห่างจากสุริยวิถีดสยาเดเด

ชวด

ฉลู

ขาล

เถาะ

มะโรง

มะเส็ง

มะเมีย

มะแม

วอก

ระกา

จอ

กุน

ราศีเมษ

ราศีพฤษภ

ราศีเมถุน

ราศีกรกฏ

ราศีสิงห์

ราศีกันย์

ราศีตุลย์

ราศีพิจิก

ราศีธนู

ราศีมังกร

ราศีกุมภ์

ราศีมีน

แกะ

วัว

คนคู่

ปู

สิงโต

หญิงสาว

คันชั่ง

แมงป่อง

คนยิงธนู

แพะทะเล

คนแบกหม้อน้ำ

ปลา

คำนวณศักราช

การนับปีศักราช
1) คริสต์ศักราช หรือ ค.ศ. โดยใช้เหตุการณ์สำคัญทางคริสต์ศาสนาเป็นจุดเริ่มต้น เริ่มนับตั้งแต่ปีที่พระเยซูประสูติเป็นปี ค.ศ. 1 สำหรับช่วงเวลาก่อนพระเยซูประสูติให้เรียกเป็น ก่อนคริสต์ศักราช (ก่อน ค.ศ. หรือ B.C = Before Christ)
2) ฮิจเราะห์ศักราช หรือ ฮ.ศ. ฮิจเราะห์มาจากภาษาอาหรับ แปลว่า การอพยพเป็นการนับศักราชใน
ประเทศที่มีการนับถือศาสนาอิสลามโดยเริ่มนับ ฮ.ศ. 1 เมื่อท่านนบีมูฮัมหมัดนำเหล่าสาวกอพยพจากเมืองเมกกะไปยังเมืองเมดินา ตรงกับพุทธศักราช 1165 หากจะเทียบ ปีฮิจเราะห์ศักราชเป็นปีพุทธศักราช จะต้องบวกด้วย 1122 เพราะการเทียบรอบปีของฮิจเราะห์ศักราชและพุทธศักราช จะมีความคลาดเคลื่อนทุก ๆ 32 ปีครึ่งของ ฮิจเราะห์
ศักราชจะเพิ่มขึ้นอีก 1 ปี เมื่อเทียบกับพุทธศักราช

ทศวรรษ สตวรรษ สหัสวรรษ

  1. ศตวรรษ คือ ช่วงเวลาในรอบ 100 ปี เริ่มนับที่ 1 จบด้วย 100 ซึ่งร่วมระยะเวลา 100 ปี จะบอกศักราชได้ทั้ง พุทธศักราช และ คริสต์ศักราช ตัวอย่าง พุทธศตวรรษที่ 21 นับตั้งแต่ ช่วงเวลา พุทธศักราช 2001 - 2100 คริสต์ศตวรรษที่ 21 นับตั้งแต่ ช่วงเวลา คริสต์ศักราช 2001 – 2100
  1. สหัสวรรษ คือ ช่วงเวลาในรอบ 1000 ปี เริ่มนับที่ 1 จบด้วย 1000 ซึ่งร่วมระยะเวลา 1000 ปี สหัสวรรษเพิ่งเริ่มใช้เมื่อตอนเปลี่ยนสหัสวรรษที่ 2 เป็นสหัสวรรษที่ 3 เพิ่งเริ่มใช้เมื่อพุทธศักราช 2543และ คริสต์ศักราช 2000 จะบอกศักราชได้ทั้ง พุทธศักราช และ คริสต์ศักราช ตัวอย่าง สหัสวรรษที่ 2 นับตั้งแต่ ช่วงเวลา พุทธศักราช 1001 - 2000 สหัสวรรษที่ 2 นับตั้งแต่ ช่วงเวลา คริสต์ศักราช 1001 - 2000
  1. ทศวรรษ คือ ช่วงเวลาในรอบ 10 ปี เริ่มนับที่ 0 จบด้วย 9 ซึ่งร่วมระยะเวลา 10 ปี จะนิยมบอกศักราช
    เป็นคริสต์ศักราช ตัวอย่าง ทศวรรษที่ 60 นับตั้งแต่ ช่วงระหว่าง คริสต์ศักราช 1960 – 1969

หลักเกณฑ์การเทียบศักราช โดยคำนวณหาเกณฑ์บวกลบเฉพาะพุทธศักราช (พ.ศ.) มีดังนี้

การเทียบศักราชในระบบต่างๆสามารถนำมาเปรียบเทียบให้เป็นศักราชแบบเดียวกันได้ดังนี้

พุทธศักราช มากกว่า คริสต์ศักราช 543 ปี
พุทธศักราช มากกว่า มหาศักราช 621 ปี
พุทธศักราช มากกว่า จุลศักราช 1181 ปี
พุทธศักราช มากกว่า รัตนโกสินทร์ศก 2324 ปี พุทธศักราช มากกว่า ฮิจเราะห์ศักราช 1122 ปี

ม.ศ. + 621 = พ.ศ. พ.ศ. – 621 = ม.ศ.
จ.ศ. + 1181 = พ.ศ. พ.ศ. – 1181 = จ.ศ.
ร.ศ. + 2324 = พ.ศ. พ.ศ. – 2324 = ร.ศ.
ค.ศ. + 543 = พ.ศ. พ.ศ. – 543 = ค.ศ. ฮ
ฮ.ศ. + 1122 = พ.ศ. พ.ศ. – 1122 = ฮ.ศ.

ประโยชน์ของการศึกษา

การศึกษาประวัติศาสตร์มีความเกี่ยวข้องกับเวลา เพราะประวัติศาสตร์เป็นการศึกษาเรื่องราวในอดีตของมนุษย์ที่มีผลกระทบต่อพัฒนาการของมนุษย์ในอดีตและปัจจุบัน กล่าวได้ว่า การดำรงชีวิตของมนุษย์มีความเกี่ยวข้องกับเวลา ดังนั้น จึงมีการกำหนดระบบการบอกเวลา เช่น เช้า สาย บ่าย เย็น วัน เดือน ปี ฤดู เป็นต้น เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกัน เวลามีความสำคัญต่อมนุษย์มาก เช่น ใช้ในการนัดหมาย การดำเนินชีวิต การเริ่มเพาะปลูก การเก็บเกี่ยว ถ้าการนับเวลาผิดพลาด อาจทำให้เกิดความเสียหายได้ เช่น การนัดผิดเวลา อาจส่งผลให้การค้าเสียหาย การเริ่มเพาะปลูก การทำนาช้าไป เร็วไป ก็ทำให้พืชผลเสียหาย หรือไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร ดังนั้น การนับเวลาที่ถูกต้องจึงมีความสำคัญมาก