Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
Pathology of Kidney and Urinary bladder system - Coggle Diagram
Pathology of Kidney and Urinary
bladder system
antidiuretic hormone/Vasopressin(ADH)
กระตุ้นการดูดซึมน้ำกลับสู่กระแสเลือดบริเวณท่อรวม (collecting duct) ของหน่วยไต ซึ่งช่วยรักษาสมดุลน้ำในร่างกาย
Aldosterone
เพิ่มการดูดกลับของ Na+ และเพิ่มการขับ K+ ที่หลอดไต (distal renal tubules) ทำให้ Na+ เพิ่มขึ้นในกระแสเลือดและมี K+ มากขื้นในปัสสาวะ
Function of urinary system
• กรองและขับของเสียออกจากร่างกายทางปัสสาวะ
• ควบคุมสมดุลของน้ำและ Electrolytes
• ควบคุมสมดุลกรดด่างของร่างกาย
• ควบคุมความดันโลหิตในร่างกาย
• สังเคราะห์ฮอร์โมนที่สำคัญในร่างกาย ได้แก่ erytropoitin, renin
• ช่วยกำจัดสารพิษในร่างกาย
• ผลิต active vitamin D เพื่อช่วยในการดูดซึม Ca2+ ที่ผนังลำไส้เล็ก
Renal function test
การตรวจดูสมรรถภาพการทำงานของไตได้จากการตรวจเลือดและการตรวจปัสสาวะ ซึ่งโดยหลักๆแล้วจะประกอบไปด้วยการตรวจ BUN, Creatinine และ eGFR เพื่อดูว่าไตสามารถทำหน้าที่กรองของเสียออกจากเลือดและขับทิ้งปัสสาวะได้เป็นปกติหริอไม่
Blood urea nitrogen
ระดับ BUN ในเลือดที่เพิ่มขึ้น สามารถแสดงภาวะการทำงานของไตที่ลดลง และการเพิ่มเมตาบอลิซึมของไนโตรเจนจากอาหาร เช่น รับประทานอาหารโปรตีนมาก เลือดออกจากในระบบทางเดินอาหาร ภาวะไข้ เป็นต้น พยาธิสภาพที่ไตที่มีผลให้ระดับ BUN สูงขึ้น ได้แก่ การขาดเลือดไปหล่อเลี้ยงที่ไต หรือโรคของหลอดเลือดไตขนาดเล็ก (vasculitis/glomerulonephritis) หรือการอุดกั้นทางเดินปัสสาวะอย่างเฉียบพลัน(acute obstructive uropathy)
Serum creatinine
Creatinine เป็นสารที่กล้ามเนื้อสร้างขึ้นและขับออกทางเดินปัสสาวะในอัตราที่สม่ำเสมอ ประมาณวันละ20-25 mg/kg ในผู้ชาย และวันละ 18-20 mg/kg ในผู้หญิง จึงเหลือระดับ Cr ในเลืดในภาวะปกติประมาณ 0.6–1.5 mg/dl ในผู้ชาย และ 0.6-1.1 mg/dl ในผู้หญิง
ระดับ Cr ในเลือดจะไม่เปลี่ยนแปลงจากอาหารหรือปัจจัยที่มีผลต่อการไหลเวียนเลือดเหมือนระดับ BUN จึงสามารถใช้แสดงผลการทำงานของไตได้ แต่ไม่รวดเร็วนัก
Estimated glomerular filtration rate : eGFR
การตรวจหาอัตราการกรองของไต หรืออัตราการกรองของเสียของไต: การตรวจหาค่าอัตราการไหลของเลือดผ่านตัวกรองไตในหนึ่งนาที โดยเป็นค่าที่ได้จากการคำนวณCreatinine เพศ อายุ และเชื้อชาติของผู้รับการตรวจแต่ละคน(ค่า Creatinine ยิ่ง
สูง จะยิ่งทำให้ GFR มีค่าต่ำ)
Pathology of Kidney
•ความผิดปกติของระดับสารต่างๆ ภายในเลือด
•Hypernatremia
•Hyponatremia
•Hyperkalemia
•Hypokalemia
•Uremia
•Kidney failure
Kidney failure
ภาวะที่ไตเสียหน้าที่ในการขับของเสียที่เกิดจากการเผาผลาญอาหารออกจากกระแสเลือด จึงส่งผลให้เกิดการสูญเสียความสมดุลของสารน้ำ electrolytes และกรดด่าง ในร่างกาย ไตวายแบ่งได้เป็น 2 ชนิดคือ
Acute renal failure (ARF)
ภาวะไตสูญเสียหน้าที่ทันทีทันใด ทำให้มีการคั่งของของเสียในร่างกาย ส่งผลกระทบต่อระบบประสาท หัวใจ หายใจ น้ำและ electrolytesหากได้รับการรักษาทันท่วงทีไตก็จะสามารถ กลับมาทำหน้าที่ได้อย่างเดิม
Sign & symtoms:
•ปัสสาวะน้อยลง หรือไม่ปัสสาวะเลย
•บวมที่ขาและเท้า
•เบื่ออาหาร
•คลื่นไส้ อาเจียน
•อ่อนเพลีย
•ปวดหลังบริเวณชายโครง
•หายใจถี่
•ถ้าอาการรุนแรง → ชัก
•Rx: รักษาตามสาเหตุ ร่วมกับ การฟอกไต
Complication:
• ภาวะน้ำท่วมปอด ภาวะไตวายเฉียบพลันสามารถส่งผลให้เกิดของเหลวส่วนเกินภายในร่างกายล้นเข้าไปในช่องเยื่อหุ้มปอดทำให้หายใจลำบากและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
•เจ็บหน้าอก เมื่อร่างกายไม่สามารถขับของเสียออกจากร่างกายได้ ของเสียจะคั่งอยู่ในกระแสเลือด หากของเสียเหล่านั้นเข้าสู่หัวใจ อาจทำให้เกิดภาวะเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบจนท้าให้รู้สึกเจ็บหน้าอกได้
•กล้ามเนื้ออ่อนแรง ภาวะไตวายจะทำลายสมดุลของสารต่างๆ ในร่างกาย โดยเฉพาะ K+ ที่ตกค้างเพราะร่างกายไม่สามารถขับออกไปจากร่างกายได้ หากร่างกายมี K+สะสมในเลือดมากเกินไป อาจกระทบต่อการทำงานของกล้ามเนื้อทุกส่วน โดยเฉพาะกล้ามเนื้อหัวใจ และส่งผลให้หัวใจหยุดเต้นได
•ไตถูกท้าลายอย่างถาวร ในภาวะไตวายเฉียบพลัน ไตอาจยังไม่ถูกทำลาย แต่ถ้าได้รับการรักษาที่ ล่าช้าก็จะทำให้ไตถูกทำลายอย่างถาวรและกลายเป็นไตวายเรื้อรังได้
Chronic renal Failure (CRF)
ไตล้มเหลวเรือรัง เป็นภาวะที่ไตสูญเสียหน้าที่อย่างช้าๆ และเป็นไปอย่างถาวร มีการทำลายเนื้อไตติดต่อกันเป็นเวลานานไม่สามารถกลับคืนสู่สภาพปกติได
Cause:
โรคไต ที่พบบ่อยคือ การอักเสบที่ไตอย่างเรื้อรัง กรวยไตอักเสบ การอุดตันของทางเดินปัสสาวะ
โรคของระบบอื่นที่มีผลต่อไต เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ผลจากยา สารพิษ เช่น ยาฆ่าแมลง เห็ดพิษ หรือภาวะติดเชื้อ เป็นต้น
Sign & symtoms:อาการของไตวายเรื้อรังจะค่อยๆ แสดงอาการออกมาเป็นระยะแบ่งออกเป็น 5 ระยะ ตามระดับของค่าประเมินการทำงานของไต (Estimated Glomerular Filtration Rate - eGFR) คนปกติทั่วไปจะมีค่าประเมินการทำงานของไตอยู่ที่ 90-100 มิลลิลิตรต่อนาที(ml/min) โดยระยะของไตวาย มีดังนี้
•ระยะที่ 1 ในช่วงแรกของอาการไตวายเรื้อรัง จะไม่มีอาการแสดงให้เห็นชัดเจน แต่สามารถทราบได้ ด้วยวิธีการตรวจทางพยาธิวิทยา เช่น ค่า eGFR ซึ่งในะระยะแรก อยู่คงที่ประมาณ90 ml/min ขึ้นไป แต่อาจพบอาการไตอักเสบ หรือพบภาวะโปรตีนรั่วออกมาปะปนในเลือดหรือในปัสสาวะ
•ระยะที่ 2 เป็นระยะที่การทำงานของไตเริ่มลดลง แต่ยังไม่มีอาการใดๆ แสดงให้เห็นนอกจากการตรวจค่าการทำงานของไตเช่นเดียวกัน ซึ่งค่าการทำงานของไตจะเหลือเพียง 60-89 ml/min
•ระยะที่ 3 ในระยะนี้ ไม่มีอาการใดๆ แสดงให้เห็นค่าการทำงานของไต 30-59 ml/min นอกจากค่าการทำงานของไตที่ทำงานลดลงอย่างต่อเนื่อง
•ระยะที่ 4 อาการต่างๆ จะแสดงในระยะนี้ นอกจากค่าการทำงานของไตจะลดลงเหลือเพียง15-29 ml/minแล้ว ผู้ป่วยอาจจะมีอาการมึนงง เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ผิวแห้งและคัน กล้ามเนื้อเป็นตะคริวบ่อยขึ้น มีอาการบวมตามข้อ ขา และใต้เท้าคล้ำ ปวดปัสสาวะบ่อยแต่ปริมาณ ปัสสาวะน้อยลง โลหิตจาง หรือรู้สึกไม่สบายเนื้อไม่สบายตัวตลอดเวลา
•ระยะที่ 5 เป็นระยะสุดท้ายของภาวะไตวาย นอกจากอาการที่คล้ายกับระยะที่ 4 แล้ว อาจมีภาวะ โลหิตจางที่รุนแรงขึ้น และอาจมีการตรวจพบการเสียสมดุลของแคลเซียม ฟอสเฟต หรือสารต่างๆ ที่ อยู่ในเลือดนำมาสู่ภาวะกระดูกบางและเปราะหักง่าย ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีอาจเสียชีวิตได
Rx:
•ไตวายในระยะที่ 1-3 เป็นระยะไม่จำเป็นต้องท าการรักษา แต่จำเป็นที่จะต้องพบแพทย์เพื่อตรวจระบบการทำงานของไต เป็นระยะทุกๆ 3 เดือน
•ไตวายในระยะที่ 4-5 เป็นระยะที่ไตทำงานลดลงอย่างมาก จะต้องใช้การรักษาหลายๆ วิธีร่วมกัน เพื่อประคับประคองอาการให้อยู่ในระดับคงที่ เพื่อรอการผ่าตัดปลูกถ่ายไต อีกทั้งต้องมีการเฝ้าระวัง ภาวะบวมน้ำ ภาวะกระดูกเปราะบาง โรคโลหิตจาง และการติดเชื้อในไตร่วมด้วย
Complication:
•โรคหัวใจและหลอดเลือด ไตวายเรื้อรังจะส่งผลโดยตรงต่อระบบไหลเวียนเลือด และยิ่งเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดภาวะหลอดเลือดตีบแข็งมากขึ้น ซึ่งอาจท าให้ผู้ป่วยเป็นโรคหัวใจ หรือโรคหลอดเลือดสมองได
• โรคโลหิตจาง นอกจากภาวะไตวายเรื้อรังจะท าให้มีของเสียตกค้างในกระแสเลือดมากขึ้นแล้ว ยังทำให้ไตไม่สามารถผลิตฮอร์โมนที่กระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดงได้ เกิดภาวะโลหิตจาง
•โรคกระดูกพรุน เมื่อการทำงานของไตลดลงจากภาวะไตวายเรื้อรัง ฮอร์โมนที่ควบคุมปริมาณ Ca+ ในกระดูกก็จะลดลงไปด้วย ส่งผลให้เกิดภาวะกระดูกพรุนได้เร็วกว่าคนปกติ
Hypernatremia
ภาวะที่ร่างกายมีปริมาณโซเดียมในเลือดเกินค่ามาตรฐาน (Normal 135-145 mmol/L )
Cause:
•รับประทาน Na2+
เกิน
•ขาดน้ำ (dehydration)
•สูญเสียน้ำ เช่น vomit, diarrhea, burn เป็นต้น
Effect:ความผิดปกติเหล่านี้ส่งผลทำให้เลือดที่ไหลเวียนผ่านไตมีความเข้มข้นสูง ไตจึงสร้างปัสสาวะมากขึ้นจากการเพิ่มความเข้มข้นของปัสสาวะ (osmotic diuresis) ทำให้ความเข้มข้นเลือดสูงขึ้น จึงมักแสดงอาการขาดน้ำ (dehydration) ร่วมด้วย
Hyponatremia
ที่่ร่างกายมีปริมาณโซเดียมในเลือดต่ำกว่าค่ามาตรฐาน (Normal 135-145 mmol/L )
Cause: เกิดจากความผิดปกติที่ไตขับน้ำออกจากร่างกายลดลง
• มีการเพิ่มการสร้างและหลั่ง ADH
•ลดการดูดซึมโซเดียมและคลอไรด์ ที่ thick ascending limb of Henle’s loop ทำให้ collecting duct ดูดน้ำกลับภายใต้อิทธิพล ADH ลดลง
• ภาวะไตวาย ภาวะโซเดียมในเลือดต่ำทำให้เกินอาการน้ำเกิน เช่น N/Vระดับความรู้สึกเปลี่ยนแปลง เป็นต้น
Hyperkalemia
ภาวะที่มีปริมาณโพแทสเซียมในเลือดสูงเกินเกณฑ์มาตรฐาน (Normal 3.5-5.0 mmol/l)
Cause:
•ลด RBF หลอดเลือดฝอยส่วนต้นและห่วง Henle’s loop จึงปรับตัวดูดซึม Na2+ กลับมากขึ้น ทำให้ปริมาณสารที่ถูกกรองผ่านทางหลอดฝอยไตรวมบริเวณผิวไตด้านนอก มีการขับ K+ ทางปัสสาวะลดลง ทำให้ระดับ K+ในเลือดสูงขึ้น
•ความบกพร่องของระบบ RAAS ทำให้ปริมาณ Aldersterone ลดลง เกิดการดูด Na+ กลับ ขับ K+ออกจากร่างกาย จึงทำให้มีระดับ K+ เลือดสูงขึ้น
•ความผิดปกติของหลอดเลือดฝอยในไตรวมบริเวณผิวนอกของไต
•ภาวะไตวาย
Hypokalemia
•ภาวะที่มีปริมาณโพแทสเซียมในเลือดต่ำเกินเกณฑ์มาตรฐาน(Normal 3.5-5.0 mmol/l)
•Cause:
•การเพิ่มการทำงานของระบบ RAAS
• ปริมาณ HCO3- ในปัสสาวะเพิ่มขึ้น จึงมีผลให้ไตขับ K+ ออกจากร่างกายเพิ่มขึ้น
•ภาวะ Mg 2+ในเลือดต่ำ (hypermagnesemia) จึงปิดช่องทางการดูดกลับ K+เข้าสู่ร่างกายที่ Henle’s ส่วนหนาที่ทอดขึ้น และกระตุ้นให้ต่อมหมวกไตหลั่ง aldosterone เพิ่มขึ้น
•ภาวะ Ca2+ในเลือดสูง (hypercalcium) ทำให้เกิดการทำลายเซลล์เยื่อบุหลอดฝอยไต
Uremia
อาการเป็นพิษในเลือดที่เกิดจากสาร อันได้แก่ Urea/Creatinine ตกค้างอยู่ในเลือดโดยเฉพาะอย่างยิ่ง Urea อาการเป็นพิษดังกล่าวมักเป็นผลสืบเนื่องมาจากการป่วยเป็นโรคไตในขั้นร้ายแรง ทำให้ร่างกายไม่สามารถขับ Urea ออกได้ นอกจากนั้นยังส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการผิดปกติทางสมอง ร่างกสยอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ กระสับกระส่าย กล้ามเนื้อกระตุกและอาจชักหมดสติได้
Renal Failure
Hemodialysis: การบำบัดไตโดยใช้เครื่องไตเทียมมาฟอกเลือดขจัดของเสียเพื่อรักษาสมดุลของน้ำและกรดด่างในร่างกาย
Continuous ambulatory peritoneal dialysis (CAPD): การทำ dialysis วิธีหนึ่งที่ผู้ป่วยทำด้วยตนเองที่บ้านได้ โดยใช้ผนังเยื่อบุช่องท้องเป็นตัวกรองของเสีย น้ำและเกลือแร่
Renal transplantation: การผ่าตัดเปลี่ยนถ่ายไต เป็นวิธีการรักษาที่ดีที่สุดเพราะสามารถสังเคราะห์วิตามินดี และฮอร์โมน Erythropoietin ได้ แต่ผู้ป่วยจะต้องมีชีวิตอยู่ได้โดยได้รับยากด
ภูมิคุ้มกันภายหลังผ่าตัดเพื่อป้องกันภาวะ Rejection ส่งผลให้ติดเชื้อ
Pathology of Kidney
ความผิดปกติของสารต่างๆ ภายในปัสสาวะ
• Hematuria
ปัสสาวะเป็นเลือด คือ การมีเม็ดเลือดแดงปนออกมากับปัสสาวะ > 8000 cell/ml อาจเห็นชัดเป็นเลือดสดๆ (Gross hematuria) หรือเห็นเมื่อดูจากกล้องจุลทรรศน์ (Microscopic hematuria)
Cause:
• มีการบาดเจ็บที่ระบบทางเดินปัสสาวะ
• การอักเสบ
• มะเร็งในระบบทางเดินปัสสาวะ
• การตายของ basement membrane ของ glomerulus ทำให้ RBC ถูกกรองผ่านมาทางปัสสาวะได้
เลือดที่ออกจะมีความสัมพันธ์กับตำแหน่งพยาธิสภาพ
• เลือดออกเมื่อถ่ายปัสสาวะตอนแรก: Urethra ส่วนหน้า
• เลือดออกชัดตลอดการถ่ายปัสสาวะ: Kidney, Ureter
• เลือดออกตอนสุดท้ายของปัสสาวะ: Bladder, Urethra ส่วนหลัง
• เลือดออกเมื่อถ่ายปัสสาวะตอนแรกและตอนหลัง: Urethra ส่วนหน้าและส่วนหลัง
• Proteinuria
Proteinuria: ภาวะที่มีโปรตีนในปัสสาวะมากกว่า 150 มิลลิกรัมต่อวัน โดยปกติสามารถตรวจพบโปรตีนได้ ประมาณวันละ 40-80 mg
•Transient proteinuria: การพบโปรตีนในปัสสาวะชั่วคราว ในขณะที่ผู้ป่วยมีภาวะอื่นๆอยู่ เช่น ไข้,หลังออกกำลังกาย, หลังการชัก, หรือเกิดตามหลัง ภาวะหัวใจล้มเหลว ฯลฯ ซึ่งภาวะนี้ไม่มีความผิดปกติในไต
•Persistent proteinuria: การพบโปรตีนในปัสสาวะทุกครั้งที่มีการตรวจปัสสาวะ
Cause:
•ระดับโปรตีนในพลาสมามาก: โดยเฉพาะโปรตีนโมเลกุลเล็กๆ โปรตีนจะผ่านการกรองของโกลเมอรูลัสได้มาก จนเกินกำลังของหลอดเลือดฝอยส่วนต้นที่จะดูดกลับได้หมด เช่น โรคไทฟอยด์, กาฬโรค, ซิฟิลิสโดยกำเนิดและการได้รับเลือดผิดหมู่
•โปรตีนผ่านโกลเมอรูลัสเพิ่มขึ้น: โปรตีนจากกระแสเลือดสามารถกรองผ่าน Glomerulus เพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงหรือทำลายเยื่อบุผนังหลอดเลือดฝอยไต เกิดเป็นช่องที่ใหญ่ขึ้นร่วมกับเซลล์เยื่อบุในหลอดเลือดบวมหรือถูกทำลาย หรือปัจจุบันเชื่อว่าเกิดจากกลไกการอักเสบที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
•ลดการดูดกลับที่หลอดเลือดฝอยไต: มักเกิดจากการขาดเลือดมาหล่อเลี้ยงไต เช่น เสียเลือดมาก หรือความดันโลหิตสูงชนิดรุนแรง
•Pathophysiology: เมื่อปริมาณเลือดลดลงเซลล์หลอดเลือดฝอยส่วนต้น ซึ่งต้องอาศัยออกซิเจนและสารอาหารจากเลือด เพื่อสร้างพลังงานในการดึงโปรตีนจากสารที่ผ่านการกรองกลับสู่ร่างกายทำงานได้ลดลงจึงสูญเสียโปรตีนออกมาทางปัสสาวะ
• Glucosuria
การมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกินระดับที่ไตสามารถกรองได้ > 160 mg/dl ในเลือดดำ ทำให้ปริมาณน้ำตาลผ่านการกรองมากเกินกว่าที่หลอดเลือดฝอยไตจะสามารถดูดกลับได้หมด เช่น เบาหวาน กลุ่มอาการ cushing syndrome หรือเกิดจากหลอดเลือดฝอยไตส่วนต้นในการดูดน้ำตาลกลับเข้าสู่ร่างกาย เช่น การขาดเลือด ได้รับสารพิษหือความผิดปกติแต่กำเนิด
• Ketonuria
การตรวจพบคีโตนในปัสสาวะ > 20 mg/dl เนื่องจากการเผาผลาญพลังงานจากคาร์โบไฮเดรตในร่างกายไม่สมบูรณ์ หรือไม่เพียงพอ จึงเกิดการใช้พลังงานจากไขมันและโปรตีนในร่างกายขึ้น และเนื่องจากโมเลกุลคีโตนมีคุณสมบัติเป็นกรด เมื่อเพิ่มปริมาณคีโตนในเลือดจะมีผลลดระดับบัฟเฟอร์ในเลือด จึงเกิดภาวะกรดจากการคั่งของคีโตน (ketoacidosis) พบในผู้ป่วยเบาหวานหรือผู้ที่อดอาหาร (Stravation)หรือผู้ที่รับประทานโปรตีนมากๆ (high protein diet) เมื่อปริมาณคีโตนเกินระดับที่ไตสามารถกรองไต →Ketonuria
• Polyuria
ภาวะที่มีการขับถ่ายปัสสาวะมากกว่าวันละ 1,500 ml โดยไม่ได้เกิดจากการดื่มน้ำมาก
Cause:
ปัสสาวะมากจากการเพิ่มปริมาณน้ำในร่างกาย
•การผลิตและหลั่ง ADH ลดลง เช่น เบาจืด
•หลอดเลือดฝอยไตไม่ตอบสนองต่อ ADH เช่น ไตวายเรื้อรัง การอักเสบที่กรวยไตและไต
ปัสสาวะมากจากการเพิ่มความเข้มข้นของปัสสาวะ เช่น น้ำตาล ยูเรีย
• Oliguria
ภาวะปัสสาวะน้อยกว่าปกติ (< 20 ml/hr) < 400 ml/day ถ้า < 100 ml/day→ “Anuria”
Cause:
•ไตวาย
•ดื่มน้ำน้อยมาก
• Anuria
Voiding dysfunction
•Nocturia
อาการที่ตื่นในตอนกลางคืนเพื่อปัสสาวะมากกว่า 1 ครั้ง โดยเกิดจากร่างกายผลิตปัสสาวะมากเกินไป หรือกระเพาะปัสสาวะไม่สามารถรองรับน้ำปัสสาวะได้นานเพียงพอ บางครั้งอาจเกิดจากหลายปัจจัย ซึ่งอาจรบกวนการนอนหลับและส่งผลให้ไม่สามารถนอนหลับได้อย่างต่อเนื่อง ส่วนใหญ่มักเกิดกับผู้สูงอายุ แต่กสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกช่วงวัยเช่นกัน
Cause:
• พฤติกรรมการใช้ชีวิต
• อายุ
• การใช้ยา
• การเจ็บป่วยหรือภาวะต่าง ๆ
• การตั้งครรภ
•Dysuria
ปัสสาวะลำบาก ปวดขณะถ่ายปัสสาวะ ปัสสาวะบ่อย (frequency) และอยากถ่ายปัสสาวะทันทีทันใด (urgency) อาการปวดมัก สัมพันธ์กับการบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะ
Cause:
• การอักเสบของกระเพาะปัสสาวะ
• การอักเสบของท่อปัสสาวะ
• ท่อปัสสาวะได้รับอันตราย
•อาจเกิดขึ้นชั่วคราวภายหลังร่วมเพศ
•Retention of urine
การที่มีปัสสาวะคั่งอยู่ใน กระเพาะปัสสาวะ ไม่สามารถทำให้กระเพาะปัสสาวะว่างหรือภาวะที่ไม่มีการถ่ายปัสสาวะ ภายใน 8 - 10 ชั่วโมงของการถ่ายปัสสาวะครั้งสุดท้าย
Cause:
• การบวมบริเวณท่อปัสสาวะ
• ต่อมลูกหมากโต
• กระเพาะปัสสาวะอักเสบ
•ระบบประสาทเสียหน้าที่ (เช่น ได้รับบาดเจ็บบริเวณไขสันหลัง)
•เกิดชั่วคราวในผู้ป่วยหลังทำผ่าตัด ดมยาสลบ/ฉีดยาเข้าเส้นประสาทไข สันหลัง หญิงหลังคลอดบุตร
•Urinary incontinence
สภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่: ภาวะที่มีปัสสาวะออกมาจากท่อปัสสาวะโดยไม่สามารถควบคุมได้มักพบได้บ่อยในผู้หญิงวัยผู้ใหญ่เกือบร้อยละ 50 และมีเพียงร้อยละ 25 ถึง 61 เท่านั้นที่มาพบแพทย์ เนื่องจากผู้ที่มีอาการมักจะอาย ไม่มีความรู้เกี่ยวกับทางเลือกในการรักษาหรือกลัวการผ่าตัด ซึ่งอาการที่เกิดขึ้นมักจะส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย มีผลต่อการมีเพศสัมพันธตลอดจนเป็นการเพิ่มภาระให้แก่ผู้ดูแล
การแบ่งประเภทของภาวะปัสสาวะเล็ด
ปัสสาวะเล็ดขณะออกแรง (stress incontinence)
ภาวะที่มีปัสสาวะเล็ดออกมาขณะที่มีการเพิ่มของความดันในช่องท้อง เช่น การเบ่ง, การจาม, การไอ, การหัวเราะ เป็นต้น โดยไม่มีการหดรัดตัวของกระเพราะปัสสาวะร่วมด้วย ภาวะนี้เป็นภาวะปัสสาวะเล็ดชนิดที่พบได้มากที่สุดในผู้หญิงอายุน้อยและอุบัติการณ์เพิ่มสูงขึ้นในผู้หญิงช่วงอายุ 45-49 ปี
ปัสสาวะเล็ดทันทีเมื่อปวดปัสสาวะ (urgency incontinence)
เป็นภาวะที่เมื่อผู้สูงอายุเกิดอาการปวดปัสสาวะอย่างทันทีทันใด จะมีปัสสาวะราดออก มาทันทีโดยไม่สามารถไปเข้าห้องน้ำได้ทัน เกิดขึ้นเนื่องจากกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวกว่าปกติ (OAB: over active bladder) คือ กระเพาะปัสสาวะบีบตัวขึ้นมาเองทั้งที่ปัสสาวะยังไม่เต็ม
• Cause: เนื่องมาจากมีความผิดปกติของระบบประสาท เช่น โรคเบาหวาน โรคพาร์กินสัน ซึ่งมักพบร่วมกับปัญหาอื่น เช่น กระเพาะปัสสาวะ อักเสบ ท่อปัสสาวะอักเสบ เนื้องอก หรือนิ่วกระเพาะปัสสาวะ เป็นต้น
ปัสสาวะเล็ดตลอดเวลาเนื่องจากมีปัสสาวะค้างในกระเพาะปัสสาวะ (overflow incontinece)
ภาวะที่เกิดจากกล้ามเนื้อเรียบของกระเพาะปัสสาวะสูญเสียความสามารถในการบีบตัว เช่น ในผู้ป่วยเบาหวานที่มีพยาธิสภาพของเส้นประสาท ที่มาเลี้ยงกระเพาะปัสสาวะ หรือเกิดจากการอุดกั้นทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง (bladder outlet obstruction) เช่น ต่อมลูกหมากโตทำให้ภายหลังการปัสสาวะยังคงเหลือน้ำปัสสาวะค้างอยู่ในกระเพาะปัสสาวะเป็นจำนวนมาก
เมื่อไตผลิตน้ำปัสสาวะในอัตราคงที่ สักพักหนึ่งกระเพาะปัสสาวะก็จะเต็ม ทำให้ผู้ป่วยปวดัสสาวะบ่อย หรือมีปัสสาวะส่วนที่เกินความจุของกระเพาะปัสสาวะ อาจเล็ดออกมาเองในปริมาณน้อยๆ แต่ออกมาเรื่อยๆ โดยที่ผู้ป่วย ไม่มีอาการปวดปัสสาวะได้
ปัสสาวะเล็ดจากภาวะหรือโรคทางกาย ที่ ไม่ใช่ความผิดปกติของทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง(functional incontinence)
ภาวะที่เกิดจากความผิดปกติที่นอกเหนือจากสาเหตุที่เกิดจากการควบคุมการถ่ายปัสสาวะไม่ได้ แต่เกิดจากมีปัญหาทางสมอง หรืออยู่ในภาวะที่ไม่สามารถไปเข้าห้องน ้าได้ ได้แก่ ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับสติปัญญา (cognition) เช่น ผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมึ่งบางรายไม่ทราบว่าเมื่อไรตนต้องไปเข้าห้องน้ำ หรือบางรายจดจำวิธีการใช้ห้องน้ำไม่ได้ เป็นต้น
Sign & symptoms:
•ปวดปัสสาวะรุนแรงแล้วราดออกมา
•ไอ จาม ปัสสาวะเล็ด
•ปัสสาวะไหลรินออกมาโดยไม่รู้ตัว
•ปัสสาวะเล็ดราดหลังการถ่ายปัสสาวะสุด
Rx:
•lifestyle intervention
• pelvic floor exercise หรือ kegel exercise
•การรักษาด้วยยา: การใช้ครีมเอสโตเจน ยากลุ่ม alfa-2 agonist และ duloxetine เป็นต้น
•การผ่าตัด: เป็นการรักษาที่ทำให้หายขาดได้ จะพิจารณาทำเมื่อการรักษาด้วยการรักษาข้างต้นไม่ได้ผล
Other of disease in KUB
•Kidney Stones
นิ่วในไต: โรคที่เกิดจากแร่ธาตุแข็งชนิดต่างๆ ที่รวมตัวกันเป็นก้อน ก้อนนิ่วมีชนิดและขนาดที่แตกต่างกันไป โดยมักเกิดขึ้นบริเวณไต แต่พบได้ตลอดระบบทางเดินปัสสาวะ และมีโอกาสเกิดได้สูงหากปัสสาวะมีความเข้มข้นจนแร่ธาตุต่างๆ ตกตะกอนจับตัวเป็นนิ่วหินปูนที่อยู่ในเนื้อไตแต่ไม่ได้อยู่ในกรวยไตหรือ calyces เรียกว่า “nephrocalcinosis” สามารถจำแนกได้เป็น 2 ชนิด ตามตำแหน่งที่พบในทางเดินปัสสาวะ ดังนี้
1.โรคนิ่วทางเดินปัสสาวะส่วนบน คือ นิ่วที่พบบริเวณ กลีบกรวยไต (renal calyces) กรวยไต (renal pelvis) และท่อไต (ureter
โรคนิ่วทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง คือ นิ่วที่พบบริเวณ กระเพาะปัสสาวะ (bladder) และบริเวณท่อปัสสาวะ (urethra)
Cause: เกิดขึ้นได้จากปริมาณของเกลือ แร่ธาตุ และสสารต่าง ๆ เช่น แคลเซียม กรดออกซาลิก และกรดยูริกในปัสสาวะที่เปลี่ยนแปลงไป โดยมีปริมาณมากเกินกว่าของเหลวในปัสสาวะจะละลายหรือทำให้เข้มข้นน้อยลงได้ จนเกิดการเกาะตัวเป็นก้อนนิ่วในที่สุด
•แคลเซียม ก้อนนิ่วจากแคลเซียมเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด พบประมาณ 75% และส่วนมากมักเป็นก้อนนิ่วจากแคลเซียมที่รวมกับออกซาเลต ซึ่งเป็นสารที่มักพบในอาหารและเครื่องดื่มที่นิยมดื่มกัน เช่น สตรอว์เบอร์รี่ ส้ม ผักใบเขียว ถั่ว เต้าหู้ น้ำนมเต้าหู้ โซดา ชา เบียร์ กาแฟ เป็นต้น ส่วนก้อนนิ่วชนิดอื่นที่มารวมกับแคลเซียม อาจเป็นฟอสเฟต หรือกรดมาลิกก็ได้
•กรดยูริก พบประมาณ 10% ก้อนนิ่วชนิดที่พบได้ในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง หรือพบในผู้ป่วยโรคเกาท์หรือผู้ป่วยที่กำลังเข้ารับการเคมีบำบัด (Chemotherapy) โดยก้อนนิ่วจากกรดยูริกนี้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อปัสสาวะมีความเป็นกรดมากเกินไป
•สตรูไวท์ พบประมาณ 14% เป็นนิ่วที่ส่วนใหญ่พบในผู้หญิงที่มีการติดเชื้อที่ระบบทางเดินปัสสาวะก้อนนิ่วชนิดนี้เป็นก้อนนิ่วที่เกิดจากการติดเชื้อที่ไต (Kidney Infection)และอาจมีขนาดใหญ่จนไปขัดขวางทำให้การขับปัสสาวะถูกปิดกั้น (Urinary Obstruction)
• ซีสทีน พบประมาณ 1% นิ่วชนิดนี้พบได้ไม่บ่อย เกิดขึ้นได้ทั้งกับเพศชายและเพศหญิงที่มีความิดปกติทางพันธุกรรมของซีสทีน ซึ่งเป็นกรดที่เกิดขึ้นในร่างกายโดยธรรมชาติ และรั่วจากไตมายังปัสสาวะ
Sign & symptom:
•ปวดบริเวณหลังหรือช่องท้องด้านล่างข้างใดข้างหนึ่ง อาจปวดร้าวลงไปถึงบริเวณขาหนีบ
•มีอาการปวดบีบเป็นระยะ และปวดรุนแรงเป็นช่วง ๆ ที่บริเวณดังกล่าว
•ปัสสาวะเป็นเลือด หรืออาจมีสีแดง ชมพู และน้ำตาล
•ปัสสาวะแล้วเจ็บ
•ปวดปัสสาวะบ่อย
•ปัสสาวะน้อย
•ปัสสาวะขุ่นหรือมีกลิ่นแรง
•คลื่นไส้ อาเจียน
•หนาวสั่น เป็นไข้
Rx:
❑นิ่ว ø < 5mm.:
•ดื่มน้ำมากๆ
•ยาแก้ปวด: Ibuprofen, Naproxen
•ยาขับนิ่ว: Alpha Blocker
❑นิ่ว ø > 5 mm.: ทำให้มีเลือดออก เกิดแผลที่ท่อไตหรือการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
•การใช้คลื่นเสียงแตกตัวก้อนนิ่ว: ใช้เครื่อง Extracorporeal Shock Wave Lithotripsy (ESWL)
•การผ่าตัดก้อนนิ่วออก (Percutaneous Nephrolithotomy)
•การส่องกล้อง: ใช้กล้อง Ureteroscope เพื่อฉายลำแสงแคบผ่านหลอดปัสสาวะและกระเพาะปัสสาวะ แล้วใช้เครื่องมือชนิดพิเศษจับหรือทำให้ก้อนนิ่วแตกตัวเป็นชิ้นเล็กจนสามารถถูกขับออกมาทางเดินปัสสาวะได้
Complication:
• Hematuria
• UTI
• Kidney failure
•Urinary tract infections
การติดเชื้อของระบบทางเดินปัสสาวะ (UTI): การตอบสนองของการอักเสบของเยื่อบุผิวระบบทางเดินปัสสาวะต่อการบุกเข้าของแบคทีเรีย เนื่องจากเยื่อบุผิวระบบปัสสาวะทั้งหมดเชื่อมต่อกันทั้งหมด ทำให้ทั้งระบบของทางเดินปัสสาวะมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อทั้งหมด
แบ่งตามตำแหน่งการติดเชื้อ
•ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง (Lower urinary tract infection): Irritative lower urinary symptom ได้แก่ ปัสสาวะแสบขัด ปัสสาวะบ่อยโดยไม่มีไข้หนาวสั่น หรือ อาการปวดหลังอาการเหล่านี้แสดงถึง cystitis, urethritis หรือ prostatitis
•ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะส่วนบน (Upper urinary tract infection) มีไข้ ปวดหลัง ปวดสีข้าง อาการทาง systemic, leukocytosis แสดงถึง acute pyelonephritis intrarenal abscess หรือ perinephric abscess
แบ่งการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะตามสภาวะผู้ป่วย
Uncomplicated UTI: การติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะแบบไม่ซับซ้อน คือ การติดเชื้อในผู้ป่วยที่มีสุขภาพแข็งแรงโดยมีโครงสร้างหรือหน้าที่ของระบบทางเดินปัสสาวะปกติ ส่วนใหญ่ของผู้ป่วยเหล่านี้จะเป็นผู้หญิงซึ่งมีกระเพาะปัสสาวะติดเชื้อ หรือกรวยไตอักเสบ เชื้อโรคที่เป็นสาเหตุมักจะไวและถูกกำจัดได้ โดยการรับประทานยาปฏิชีวนะระยะสั้นและราคาไม่แพง
Complicated UTI: การติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะแบบซับซ้อน คือ การติดเชื้อในผู้ป่วยที่อ่อนแอหรือมีโครงสร้างและหน้าที่ของระบบทางเดินปัสสาวะผิดปกติที่ทำให้มีโอกาสติดเชื้อเพิ่มขึ้น หรือลดประสิทธิภาพในการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ
เชื้อแบคทีเรียสามารถเข้าสู่ทางเดินปัสสาวะได้ 3 ทาง
• ทางกระแสเลือด (hematogenous route)
• ทางน้ำเหลือง (lymphatic route)
• แพร่กระจายขึ้นโดยตรง (ascending route)
Significant Bacteriuria: การพบปริมาณเชื้อแบคทีเรีย ≥ 10 ยกกำลัง 5 cfu /ml หรือพบเชื้อตั้งแต่10 ยกกำลัง 2 -10 ยกกำลัง 4 cfu/ml ร่วมกับมีอาการและอาการแสดงที่ชัดเจน หรือพบปริมาณเชื้อดังกล่าวในเพศชาย โดยสาเหตุของ UTI ที่พบปริมาณเชื้อน้อย ได้แก่ ผู้ป่วยดื่มน้ำมากจึงไปเจือจาง หรือเป็นเชื้อที่เจริญเติบโตช้า เช่น Staphylocooccus saprophyticus หรือเคยได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะหรือยาขับปัสสาวะมาก่อน
Asymptomatic bacteriuria: การพบเชื้อแบคทีเรียในปัสสาวะ > 10 ยกกำลัง 5 cfu/ml จากการเก็บปัสสาวะอย่างสะอาด2 ครั้งติดต่อกัน สำหรับเชื้อที่เจริญเติบโตยาก เช่น Staphylococcus saprophyticus และ Candida species อาจใช้คำจำกัดความที่ 10 ยกกำลัง 4 cfu/ml และจะพบภาวะนี้มากขึ้น ในผู้ป่วยสูงอายุ ใส่สายสวนปัสสาวะ เบาหวาน ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังโดยปกติแล้ว ไม่จำเป็นต้องรักษาภาวะนี้ ยกเว้นในผู้ที่ตั้งครรภ์และเด็กเล็ก เนื่องจากภาวะตั้งครรภ์ จะมีการขยายตัวของทางเดินปัสสาวะอยู่แล้ว เชื้อโรคอาจจะแพร่ขึ้นไปถึงกรวยไตได้ง่ายขึ้น โอกาสเกิดเป็นกรวยไตอักเสบ (acute pyelonephritis) ได้สูง และ ทำให้แท้งได้
Pyuria: การตรวจพบว่ามีเม็ดเลือดขาว (WBCs) ในปัสสาวะและโดยทั่วไปเป็นข้อบ่งชี้ของการตอบสนองต่อการอักเสบของเยื่อบุผิวของระบบทางเดินปัสสาวะจากเชื้อแบคทีเรียบุกเข้าการมีแบคทีเรียในปัสสาวะโดยปราศจากปัสสาวะเป็นหนอง บ่งบอกการรวมตัวของแบคทีเรียมากกว่าการติดเชื้อปัสสาวะเป็นหนองโดยปราศจากเชื้อแบคทีเรียในปัสสาวะ สามารถบอกการวินิจฉัยจากวัณโรค นิ่ว หรือ มะเร็ง
Acute pyelonephritis: กรวยไตอักเสบแบบเฉียบพลัน เป็นกลุ่มอาการของไข้หนาวสั่น และปวด บริเวณเอว ซึ่งพบร่วมกับการมีแบคทีเรียในปัสสาวะเป็นหนอง การรวมอาการดังกล่าวข้างต้น จะเป็นเหตุผล บ่งชี้สำหรับการติดเชื้อของแบคทีเรียโดยเฉียบพลันของไต
Chronic pyelonephritis: กรวยไตอักเสบแบบเรื้อรัง บ่งบอกถึงการหดตัวของเนื้อเยื่อไตและเกิดพังผืดของไต ซึ่งสามารถวินิจฉัยได้จากกายวิภาค ภาพทางรังสีวิทยา หรือ หลักฐานของหน้าที่ของโรคไตที่ เกิดขึ้นหลังการติดเชื้อ เมื่อพิจารณาร่วมกับโรคปัสสาวะไหลย้อนกลับจากกระเพาะปัสสาวะและหลอดไต (vesico-ureteral reflux: คำย่อ VUR ) จะบ่งบอกได้จากการเปลี่ยนแปลงทางรังสีวิทยาและเรียกว่า “Reflux Nephropathy”
Cystitis: กระเพาะปัสสาวะอักเสบ เป็นการอักเสบของกระเพาะปัสสาวะซึ่งใช้ในการอธิบายทาง พยาธิวิทยา จุลชีววิทยา หรือจากการส่องกล้องตรวจกระเพาะปัสสาวะหรือกลุ่มอาการที่ประกอบด้วย ปัสสาวะขัดที่เกิดทันที ปัสสาวะบ่อย ปวดปัสสาวะต้องรีบปัสสาวะ (urgency) และปวดบริเวณท้องน้อย (suprapubic pain)
Urethritis: ท่อปัสสาวะอักเสบ เป็นการอักเสบของท่อปัสสาวะ ในผู้หญิงอาการที่เกิดจากท่อ ปัสสาวะอักเสบ มักจะแยกยากจากกระเพาะปัสสาวะอักเสบ และพบน้อยมาก ซึ่งไม่เหมือนกับการอักเสบ ของท่อปัสสาวะในผู้ชาย เช่น nongonococcal urethritis
Sign & symptom:
• Asymtomatic
•ไข้สูง
• ปวดหลังใต้กระดูกซี่โครง
• Dysuria
• N/V
Rx:
❑รักษาตามอาการ
•บรรเทาไข้
•ดื่มน้ำ 8 -10 แก้ว/วัน
•ไม่กลั้นปัสสาวะ
•นอนพักผ่อนให้เพียงพอ
•รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน
❑รักษาด้วยยาปฏิชีวนะ
•fluoroquinolone: Norfloxacin
•Horseshoe kidney
การเชื่อมกันของไตสองข้างตั้งแต่ก าเนิด โดยมากมักเป็นขั้วล่างเชื่อมกัน ส่วนใหญ่ไม่มีอาการ มักพบโดยบังเอิญในรายที่ทำการผ่าชันสูตรศพอาจทำให้เกิดการติดเชื้อได้บ่อยหรือทำให้เกิดนิ่วได้ง่าย อาจพบความผิดปกติอื่นร่วมได้เช่น double ureter
•Renal cell carcinoma
มะเร็งไต
•พบในเพศชาย > หญิง (2:1)
ปัจจัยเสี่ยง
การสูบบุหรี่
กลุ่มโรคบางโรค เช่น von Hippel-Lindau,Tuberous sclerosis
โลหะหนัก เช่น แคดเมียม, ตะกั่ว
รังสีจากสาร Thoratrast
Sign & symptom:
•ปัสสาวะเป็นเลือด (56%),
•ปวด (38%), คล าได้ก้อน (36%),น้ำหนักลด และอ่อนเพลีย (27%),
•ไข้ (11%),
•พบโดยบังเอิญจากการตรวจเนื่องจากสาเหตุอื่น ๆ (6%)
•Paraneoplastic syndrome: anemia, erythrocytosis, thrombocytosis, hypertension, hypercalcemia, gynecomastia, Cushing’s nephrotic syndrome, syndrome,
•Urinary bladder carcinoma
บางรายมีการลุกลามของมะเร็งลงไปยังชั้นกล้ามเนื้อชั้นกลาง เยื่อหุ้มชั้นนอก ชั้นไขมันรอบกระเพาะปัสสาวะ รวมถึงอวัยวะข้างเคียง เช่น ต่อมลูกหมาก ถุงพักน้ำอสุจิในเพศชาย มดลูก ช่องคลอดในเพศหญิง ท่อปัสสาวะ หรือทวารหนักที่อยู่ด้านหลัง ในผู้ป่วยกลุ่มนี้บางรายมีการแพร่กระจายของมะเร็งไปยังอวัยวะอื่น ได้ แก่ ต่อมน้ำเหลือง ปอด ตับ กระดูก เป็นต้น
Sign & symptoms:
•ปัสสาวะปนเลือด
•อาการผิดปกติของการถ่ายปัสสาวะ: ปัสสาวะบ่อย กลั้นปัสสาวะไม่ได้ หรือปัสสาวะแสบขัด
•อาการอันเนื่องจากการแพร่กระจายของมะเร็ง ได้แก่ ปวดกระดูกเนื่องจากการกระจายไปที่กระดูก ปวดเอวเนื่องจากการอุดตันของท่อไต เป็นต้น
•Rhabdomyolysis
ภาวะกล้ามเนื้อลายสลาย: ภาวะที่กล้ามเนื้อลายส่วนที่เสียหายสลายตัวแล้วปล่อยสารที่อยู่ภายในเซลล์เข้าสู่กระแสเลือดจนอาจทำให้ไตวายได
Cause:
•ความผิดปกติทางพันธุกรรมของกล้ามเนื้อ
•ความผิดปกติเกี่ยวกับระบบการเผาผลาญอาหาร
•ภาวะขาดน้ำอย่างรุนแรงกล้ามเนื้อขาดเลือด หรือตาย
•การออกกำลังกายที่ต้องออกแรงมาก หรือการออกกำลังกายต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานอย่างวิ่งมาราธอน
•การติดเชื้อแบคทีเรีย หรือการติดเชื้อไวรัส เช่น ไข้หวัดใหญ่ เริม และเอชไอวี เป็นต้น
•การได้รับสารพิษ เช่น พิษงูกัด เป็นต้น
•การใช้ยาบางชนิดอย่างยากลุ่ม Statin
Sign & symptoms:
•กล้ามเนื้ออ่อนแรง โดยเฉพาะกล้ามเนื้อมัดใหญ่ที่บริเวณแขนขา และเคลื่อนไหวล าบาก
• ปวดกล้ามเนื้อบริเวณหัวไหล่ หลังส่วนล่าง หรือต้นขา
• ปัสสาวะเป็นสีน้ าตาลแดงหรือสีเหมือนน้ำโคล่า
•กระหายน้ำ ปัสสาวะน้อย
• หัวใจเต้นเร็ว
•ชัก หมดสติ
Rx:
•รักษาด้วยยา: ยาไบคาร์บอเนตหรือยาขับปัสสาวะบางชนิดเพื่อช่วยให้ไตทำงานเป็นปกติ
•รักษาด้วยการผ่าตัด: ความตึงหรือแรงกดที่ทำให้เกิดภาวะขาดการไหลเวียนของเลือดในกล้ามเนื้อ
•Intervention: การฟอกไต