Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
หญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อซิฟิลิส, จัดทำโดย นางสาวรักษ์ชนนี โกษาวัง…
หญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อซิฟิลิส
สาเหตุ
เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Spirochete bacterium Treponema pallidum (ทรีโพนีมา แพลลิดัม) โดยจะเริ่มแสดงอาการ 3-4 สัปดาห์ หลังจากได้รับเชื้อ
ลักษณะทางคลินิก
ระยะที่ 2 (Secondary syphilis)
เกิดจากเชื้อแพร่กระจายไปยังอวัยวะต่างๆ ลักษณะที่พบ เช่น ผื่น (Macular rash) กระจายทั่วไป พบได้ร้อยละ 90 , ผื่น (Targeted lesion) ที่ฝ่ามือฝ่าเท้า , ผมร่วงเป็นหย่อม , ตุ่มนูน (Condyloma lata) ที่บริเวณอวัยะเพศ
นอกจากนี้อาจมีไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อร่วมด้วยได้ อาการเหล่านี้จะพบ 4-10 สัปดาห์ หลังจากพบแผลริมแข็ง (Chancre)
ระยะแฝง (Latent syphilis)
เกิดขึ้นเมื่อ Primary หรือ Secondary syphilis ไม่ได้รับการรักษา แต่อาการต่างๆ ดังกล่าวข้างต้นสามารถหายไปได้เอง อย่างไรก็ตามยังคงตรวจพบการติดเชื้อได้จากการตรวจเลือด หากเกิดภายใน 12 เดือน หลังจากมีอาการทางคลินิก เรียก Earty latent แต่หากนานกว่า 12 เดือน หรือไม่ทราบระยะเวลาที่แน่นอน เรียก Late latent ซึ่งมักจะเป็นระยะที่ตรวจพบในสตรีตั้งครรภ์
ระยะที่ 1 (Primary syphilis)
พบแผลริมแข็ง (Chancre) ที่อวัยวะเพศมักจะเป็นแผลสะอาด พื้นสีแดง แผลเดียว ขอบแข็งยกนูน อาจตรวจพบต่อมน้ำเหลืองโตได้ แผลสามารถหายเองได้ใน 2-8 สัปดาห์
ระยะที่ 3 (Tertiary syphilis)
เป็นระยะที่โรคดำเนินไปอย่างช้าๆ เกิดขึ้นที่อวัยวะใดก็ได้ อย่างไรก็ตามไม่ค่อยพบในสตรีวัยเจริญพันธุ์
ผลกระทบต่อการตั้งครรภ์
หากสตรีตั้งครรภ์ไม่ได้รับการตรวจคัดกรองหรือไม่ได้รับการรักษา จะส่งผลเสียต่อการตั้งครรภ์ ดังนี้
ทารกโตช้าในครรภ์
คลอดก่อนกำหนด
ทารกติดเชื้อซิฟิลิส
ทารกเสียชีวิตในครรภ์หรือตายคลอด
ทารกที่ติดเชื้อมักแสดงอาการในช่วงครึ่งหลังของการตั้งครรภ์ เช่น ซีด เกร็ดเลือดต่ำ มีน้ำในช่องท้อง หรือบวมน้ำได้ ทารกที่คลอดออกมาอาจมีภาวะตัวเหลือง จุดเลือดออกตามผิวหนัง ต่อมน้ำเหลืองโต เยื่อบุโพรงจมูกอักเสบ ปอดอักเสบ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ โปรตีนรั่วทางไต หรือพบความผิดปกติที่กระดูก
การวินิจฉัย
หากมีอาการควรมาพบแพทย์เพื่อให้ได้รับการวินิจฉัยโดยเร็ว
รายที่สตรีตั้งครรภ์ได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อ ควรจะได้รับการตรวจคลื่นเสียงความถี่สูงหลังอายุครรภ์ 20 สัปดาห์ เพื่อตรวจหาความผิดปกติของทารกในครรภ์ เช่น ตับโต รกหนา น้ำในช่องท้อง ทารกบวมน้ำ น้ำคร่ำมาก ทารกซีด อย่างไรก็ตามจากการศึกษาของ Rac และคณะ คลื่นเสียงความถี่สูงสามารถตรวจพบความผิดปกติได้เพียง 1 ใน 3 ของทารกที่ติดเชื้อในครรภ์เท่านั้น ดังนั้น การตรวจคลื่นเสียงที่ไม่พบความผิดปกติ อาจไม่สามารถรับประกันได้ว่าทารกไม่ติดเชื้อ
สตรีตั้งครรภ์ทุกรายควรได้รับการตรวจคัดกรอง เมื่อมาฝากครรภ์ครั้งแรก กรณีมีความเสี่ยงสูงหรืออยู่ในพื้นที่ที่มีความชุกของโรคมาก จะได้รับการตรวจคัดกรองซ้ำในไตรมาสที่สามด้วย
หากมีประวัติสัมผัสคนที่ติดเชื้อภายใน 90 วัน ควรแจ้งให้แพทย์ผู้รักษาทราบเพื่อทำการรักษาต่อไป
การรักษา
ยาที่เลือกใช้คือ Benzathine penicillin G (เบนซาทีน เพนิซิลลิน) ขนาดและปริมาณขึ้นกับดุลพินิจของแพทย์ผู้รักษา เพื่อกำจัดเชื้อในมารดาและป้องกันไม่ให้ทารกเป็นโรค หลังจากได้ยารักษาจะมีการตรวจติดตามระดับการติดเชื้อจากการตรวจเลือด เป็นระยะทุก 3 ถึง 6 เดือน
จัดทำโดย นางสาวรักษ์ชนนี โกษาวัง 6001211375 section A ปี 4