Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
Spontaneous pneumothorax ภาวะลมรั่วในช่องเยื่อหุ้มปอดซ…
Spontaneous pneumothorax ภาวะลมรั่วในช่องเยื่อหุ้มปอดซึ่งเกิดขึ้นเอง
ประวัติของผู้ป่วย
อาการสำคัญที่มาโรงพยาบาล รับย้ายมาจากโรงพยาบาลนนทเวช
ประวัติการเจ็บป่วยในปัจจุบัน 11 ชั่วโมงก่อนมาโรงพยาบาล มีอาการจุกแน่นที่ชายโครงซ้าย ไม่มีเจ็บหน้าอกไม่เหนื่อย ไอเยอะ
5 ชั่วโมงก่อนมาโรงพยาบาล มีอาการ เหนื่อย จุกแน่นตรงชายโครงซ้ายมากขึ้น
โรคประจำตัว
Systemic sclerosis คือ ภาวะที่มีการหนาและแข็งตัวขึ้นของผิวหนัง รักษามา 6-7 ปี เคยผ่าตัดเนื้องอกมดลูกประมาณ 2 ปีก่อน
ผู้ป่วยไอเรื้อรังมา 1-2 ปี
ผู้ป่วยเพศ หญิง อายุ 47 ปี เชื้อชาติ ไทย สัญชาติ ไทย ศาสนา พุทธ ระดับการศึกษา มัธยมศึกษาชั้นปีที่ 6 สถานภาพ สมรส อาชีพ พนักงานผู้ช่วย รายได้ 15,000บาท/เดือน สิทธิค่ารักษาพยาบาล ประกันสังคม โรงพยาบาลชลประทาน
พยาธิสภาพ
การเกิดลมรั่วในโพรงเยื่อหุ้มปอดที่เกิดขึ้นเองแบบปฐมภูมิ เกิดจากมีลมรั่วจากปอดเข้าไปในโพรงเยื่อหุ่มปอด เนื่องจากถุงเล็กๆ หรือถุงใหญ่ที่อยู่ใต้เยื่อหุ้มปอดในบริเวณรอบปอดแตกออกลมจะเข้าไปในโพรงเยื่อหุ่มปอดจนกระทั้งปอดแฟบและความดันในโพรงเยื่อหุ่มปอดเท่ากับความดันของบรรยากาศ
ปอดกลีบบน จะเกิดพยาธิก่อนเนื่องจากความดันในบริเวณนี้สูงกว่า บริเวณฐานปอด จากการตรวจดูพยาธิสภาพที่ปอดพบว่าที่ยอดปอดมีถุงลมพองใหญ่กว่าบริเวณปอดส่วนล่าง ผู้ป่วยบางรายอาจเกิดจากถุงซึ่งเป็นมาแต่กำเนิดหรือเยื่อหุ้มปอดบางมาก บางท่านเชื่อว่าการขาดโลหิตเฉพาะส่วนปลายยอดปอดทำให้เกิดการสึกหรอของผนังถุงลมบริเวณพื้นผิวปอด ภาวะกระทบกระแทกหรือท่อถุงลมอุดตันร่วมกับการเพิ่มความดันลมจะรั่วเซาะเข้าไปในเยื่อหุ่มปอดทำให้เกิดถุงลมเล็กๆใขึ้นใต้เยื่อหุ้มปอด เมื่อถุงลมเล็กๆโตและแตกเกิดเป็นลิ้นทางเดียวกัน ทำให้มีลมในโพรงเยื่อหุ้มปอดหรือมีลมใต้ผิวหนังได้
สาเหตุ
มะเร็งหลอดลม
เนื้อปอดตาย
หอบหืด
เยื่อหุ้มปอดอักเสบ
เนื้อปอดเป็นพังผืด
มีหนองในโพรงเยื่อหุ่มปอด
เป็นฝีใต้กระบังลม
วัณโรคปอดระยะรุนแรง
ถุงลมปอดพอง หลอดลมพองเรื้อรัง
การวินิจฉัย
การตรวจภาพถ่ายรังสีปอด
pneumothorax 50%
Empyema thoracis ภาวะมีหนองสะสมอยู่ในช่องเยื่อหุ่มปอด
การรักษา
On Lt. ICD ระบบ 3 ขวด ต่อเครื่อง Suction 20 lpm
ยาที่ผู็ป่วยได้รับ
Paracetamol (500) 1 tab po prn q 4-6 hr
Domperidone (10) 1*2 po ac เช้า,hs
Calci feel (20000 1U) 1tab po q วันเสาร์
Doxazosin (4) 1*2 po pc เช้า ,hs
Ferrous fumarate (200) 1*2 po pc
fluoxetine (20) 1*1 po pc
folic acid (5) 1*1 po pc
Alum milk 1 tab po hs
hydroxychloroquine (200) 1*1 po pc q จันทร์ พฤหัส
Bromhexine (2) 1*3 po pc
Nifedipine (20) 1*2 po pc
ASA (81) 1*1 po pc
Omeprazole (20) 1*1 po ac
Tazocin 4.5 g+NSS 100 ml IV drip in 3 hrs q 6 hrs
Sildenafil (100) 0.5 tab po pc เช้า po pc hs
Plasil 10 mg IV q 8 hr with prn
Sulfasalazine (500) 1*2 po pc
Tramol 50 mg IV q 6 hr with prn
Seretide Evo (25/250) 1 puff bid
Cefdinir (100) 1*3 ทานก่อน FF 2 hr
Clindamycin (300) 1*3 O pc
ข้อวินิจฉัยการพยาบาล
4.มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนภายหลังถอดท่อระบายทรวงอก
1.ประเมินการหายใจของตนเองถ้ามีอาการแน่นอึดอัดหายใจไม่สะดวกต้องรีบแจ้งให้พยาบาลทราบทันทีอย่างไรก็ตามผู้ป่วยจะได้รับการประเมินการหายใจจากพยาบาลอย่างใกล้ชิดภายหลังได้รับการถอดท่อระบายทรวงอกด้วย
2.ประเมินอาการปวดบริเวณแผลหากมีระดับความปวดมากกว่า 2 คะแนนและร่วมกับรู้สึกไม่สุขสบายก่อนช่วงเวลาที่พยาบาลประเมินอาการปวดให้รีบแจ้งพยาบาลเพื่อจัดการอาการปวดต่อไป
3.ระวังไม่ให้แผลถูกน้ำจนกว่าแพทย์จะตัดไหมและหลีกเลี่ยงการเปิดผ้าปิดแผลเอง
4.ผู้ป่วยจะได้รับการทำแผลบริเวณรูระบายทรวงอกทุก 3 วัน
5.บริหารการหายใจและไออย่างมีประสิทธิภาพเพื่อช่วยให้ปอดขยายตัวเต็มที่
6.บริหารข้อไหล่ข้างที่เคยใส่ท่อระบายเพื่อป้องกันข้อไหล่ติดยึด
5 ไม่สุขสบายเนื่องจากปวดแผล
5.ให้การพยาบาลเบี่ยงเบนความสนใจหรือเทคนิคที่ช่วยบรรเทาอาการปวดโดยไม่ใช้ยา เช่น นวดบริเวณที่ไม่ได้ รับบาดเจ็บ การใช้สมาธิ การฟังเพลง เล่นเกม อ่านหนังสือ ทั้งนี้ต้องประเมินสนใจของผู้ป่วย
.ดูแลให้ได้รับยาบรรเทา (Tramol 50 mg IV prn q 6 hr) (Paracetamol (500) 1 tab O prn q 4-6 hr) เมื่อปวดมากกกว่าหรือเท่ากับ4 คะแนน (ปวดระดับปานกลางขึ้นไป) หรือ ตามความต้องการของผู้ป่วยแต่ไม่ขัดแย้งกับแผนการรักษา พร้อมทั้งอธิบายผลข้างเคียงของยาบรรเทาอาการ
2.ประเมิน pain score เพื่อประเมินระดับความปวดของบาดแผลและให้การพยาบาลที่เหมาะสมกับระดับความปวด ไม่ปวดถึงปวดเล็กน้อย = 0–3 คะแนน(absent to minimal)ปวดปานกลาง = 4–7 คะแนน (moderate)ปวดมากถึงมากที่สุด = 8–10 คะแนน (severe)
3.ประเมินสัญญาณชีพ ทุก 4 ชั่วโมง เพื่อประเมินความเปลี่ยนแปลงหรือความผิดปกติ
ให้การพยาบาลด้วยความนุ่มนวล ลดการกระทบหรือโดนบริเวณแผลผ่าตัดของผู้ป่วย
6.ลดสิ่งกระตุ้นที่ก่อเกิดความปวดเพิ่มขึ้น โดยการจัดบรรยากาศให้เงียบสงบ
7.ติดตามประเมินความปวดซ้ำภายหลังให้การพยาบาล (ประเมิน 30 นาทีหลังให้การพยาบาลถ้ามาการปวดไม่ หายแจ้งพยาบาลหรือแพทย์)
2 ติดเชื้อในร่างกายเนื่องจากมีช่องทางเปิดของผิวหนัง
2.บันทึกและทำการตรวจสอบสัญญาณชีพอย่างสม่ำเสมอทุก 4 ชั่วโมง เพื่อประเมินอาการสังเกตอาการผิดปกติ และและเมินการเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วย
ดูแลทำความสะอาดแผลโดยใช้เทคนิคสะอาดปราศจากเชื้อ (Aseptic Technique) ล้างมือก่อนและหลังหลังให้การพยาบาล
1.ประเมินอาการและอาการแสดงของภาวะติดเชื้อ เช่น มีไข้ไอ มีน้ำมูก ท้องเสีย ปวดท้อง สับสน ซึม ชัก เพื่อติดตามประเมินภาวะติดเชื้อ
4..ให้การพยาบาลโดยยึดหลัก Aseptic technique และ Sterile technique ล้างมือก่อนให้การพยาบาลและหลังให้การพยาบาล เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ
5.ลดปัจจัยจะส่งเสริมให้ผู้ป่วยเกิดภาวะการติดเชื้อเพิ่มขึ้นใช้ เทคนิคในการพยาบาลอย่างมีมาตรฐานเทคนิคปลอดเชื้อต่างๆ
6.ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาปฎิชีวนะ ตามแผนการรักษาของแพทย์ คือ Tazocin 4.5 g + NSS 100 ml IV drip in 3 hrs q 6 hrs,.Clindamycin (300) 1
3 O pc,Cefdinir (100) 1
3 ทานก่อน FF 2 hr และเฝ้าสังเกตอาการแพ้ยาหลังการให้ยา
7.ติดตามอาการของการติดเชื้อ ได้แก่ อุณหภูมิทุก 4 ชั่วโมง และผลทางห้องปฏิบัติการ เสมหะ เลือด และติดตามผลตรวจทางรังสี CXR เพื่อประเมินการติดเชื้อของผู้ป่วย
6 วิตกกังวลเนื่องจากการเจ็บป่วย
สร้างสัมพันธภาพกับผู้ป่วยและญาติ ปลอบโยนและให้กำลังใจเพื่อสร้างสัมพันธภาพและความไว้วางใจ
เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยและญาติได้ซักถามข้อสงสัยระบายความรู้สึกเพื่อช่วยให้คลายความเครียดที่อยู่ในใจและทราบถึงปัญหาที่แท้จริงว่าสาเหตุที่มีผลทำให้วิตกกังวลคืออะไร เพื่อจะได้ให้การพยาบาลได้ตรงจุดและช่วยลดความวิตกกังวลได้มากที่สุด
3.ให้ความรู้เกี่ยวกับโรค แนวทางการรักษา การปฏิบัติตัวของผู้ป่วยและญาติ โดยพิจารณาจากระดับความรับรู้ของผู้ป่วย และให้ข้อมูลเป็นลำดับขั้นตอนไม่ใช่ข้อมูลทั้งหมดในครั้งเดียว รวมทั้งประเมินการรับรู้ข้อมูลของผู้ป่วยและญาติว่าถูกต้องหรือไม่
หลังการให้คำแนะนำกระตุ้นให้ญาติคอยดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด เพื่อลดความเครียดและความวิตกกังวลของญาติและผู้ป่วยแนะนำให้ทำกิจกรรมร่วมกันเพื่อ สร้างสัมพันธภาพที่ดีภายในครอบครัวและเป็นการให้กำลังซึ่งกันและกัน
ติดตามความรู้สึกของผู้ป่วยและญาติเป็นระยะๆ
1 เสี่ยงต่อการเกิดภาวะพร่องออกซิเจนเนื่องจากพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนก๊าซ
1.ประเมินอาการและอาการแสดงของภาวะพร่อง ออกซิเจน เช่น O2 Sat, ผิวกายซีด เล็บซีด Conjuncgtiva ซีด ปาก เขียว เหงื่อออก หายใจหอบ หัวใจเต้นเร็ว เพื่อให้ทราบถึงภาวะพร่องออกซิเจนและให้การพยาบาลได้ทันท่วงที
2.ตรวจวัดสัญญาณชีพ ทุก 4 ชม. โดยเฉพาะ อัตราการหายใจ และ อัตราชีพจร เพื่อประเมินภาวะพร่องออกซิเจน
3.ดูแลจัดท่า Fowler Position เพื่อให้ปอดขยายตัวได้มากขึ้น และแลกเปลี่ยนออกซิเจนได้มากขึ้น
4.ดูแลผู้ป่วยให้พักผ่อนให้เพียงพอ งดจำกัดกิจกรรมในช่วงที่มี อาการหอบเหนื่อย ช่วยเหลือในการเปลี่ยนท่าที่เหมาะสมตามที่ผู้ป่วยต้องการ เพื่อลดการใช้ออกซิเจน
5.ดูแลท่อระบายทรวงอก โดยให้ขวดรองรับสิ่งคัดหลั่งเป็น สุญญากาศตลอดเวลา รูดสายระบายสิ่งคัดหลั่ง และกระตุ่น ไอทุก 1-2 ชม.
6.ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อประเมินค่าออกซิเจนจากการเปลี่ยนแปลงเม็ดเลือด
7.ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาตามแผนการรักษาของแพทย์
3 เสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการใส่สายระบายของเหลวในช่องเยื่อหุ้มปอด
ข้อมูลสนับสนุน
S : ผู้ป่วยบอกว่ามีอาการ ไอ เป็นบางครั้งตอนนี้
O : ผู้ป่วย On Lt. ICD ระบบ 3 ขวด ต่อเครื่อง Suction 20 lpm
O: สัญญาณชีพ T=37.8 C BP=113/62 mmHg P=110/min R=20/min 14.00น. (18/10/63)
ประเมินอาการและอาการแสดงของการติดเชื้อบริเวณแผล ใส่ท่อระบายทรวงอก ได้แก่ อาการแผลมีลักษณะ บวม แดง ร้อน ปวด แผลมีหนอง หรือสารคัดหลั่งมีสีผิดปกติและมีกลิ่น เหม็น
2.วัดสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง เพื่อประเมินอาการติดเชื้อ
3.ดูแลทำความสะอาดแผลโดยใช้เทคนิคสะอาดปราศจากเชื้อ (Aseptic Technique) ล้างมือก่อนและหลังหลังให้การพยาบาล
4.ดูแลให้ระบบระบายทรวงอกเป็นระบบปิดตลอดเวลาห้ามเปิดรอยต่อต่างๆโดยไม่จำเป็นถ้าหากมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นหรือ ขวด ICD ไม่ได้อยู่ในระบบปิด เช่น ขวดรองรับสิ่งคัดหลั่งล้มหรือแตก ให้ camp สาย ICD ทันทีโดยใช้กรรไกร artery clamp หากไม่มีใช้การหักสาย ICD แทน
5.บีบรูดสายยางทุก 2 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการอุดตันของสายยาง
6.จัดวางขวดรองรับสิ่งระบายให้อยู่ในระดับต่ำกว่าทรวงอก ประมาณ 1 ½ - 3 ฟุต
7.เปลี่ยนท่อระบายชุดใหม่เข้ากับท่อระบายทรวงอกโดยใช้เทคนิคปราศจากเชื้อ
1 more item...
ทฤษฎีผู้สูงอายุ
ทฤษฎีความเสื่อมโทรม (Wear and Tear Theory) เชื่อว่าความแก่เป็นกระบวนการเกิดขึ้นเองเมื่ออวัยวะมีการใช้งานมากย่อมเสื่อมได้ง่ายและเร็วขึ้นอวัยวะต่างๆในร่างกายที่มีความเสื่อมเร็วเช่นตับกระเพาะอาหารไตและผิวหนังข้อต่างๆเกิดจากการบริโภคอาหารเช่นพวกไขมันน้ำตาลกาแฟการดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่และจากสิ่งแวดล้อมเช่นรังสีอัลตร้าไวโอเลตจากความเครียดกิจกรรมในชีวิตประจำวันที่ไม่เหมาะสมเป็นต้นเมื่ออายุมากขึ้นของเสียจะถูกสะสมมากขึ้นทำให้ cell เสื่อมและตายเพิ่มขึ้นสารที่พบ ได้แก่ Lipofuscin ซึ่งเป็นสารเหลืองอมน้ำตาลไม่ละลายน้ำเป็นสารประกอบจำพวก Lipoprotein สารนี้ทำงานได้และมีการเสื่อมถอย
ทฤษฎีการสะสมของเสียไว้ภายในเซลล์ (The Accumulation Theory)) ทฤษฎีนี้เชื่อว่าเมื่อเรามีอายุมากขึ้นจะมีการสะสมของ lipofuscin ที่มีลักษณะสีเหลืองอมน้ำตาลเกาะกลุ่มอยู่ในนิวเคลียสของเนื้อเยื่อหลายแห่งโดยเฉพาะในกล้ามเนื้อหัวใจกล้ามเนื้อลายและในสมองซึ่งเกิดจากการเสื่อมสภาพของสิ่งมีชีวิตเล็กภายในเซลล์ (Intracellular Organel) หากมีการสะสมของเสียเหล่านี้มากขึ้นแผ่ขยายไปทั่วทุกเซลล์ก็จะส่งผลให้การควบคุมระบบการทำงานภายในเซลล์แต่ละเซลล์มีอาการผิดปกติและเซลล์ก็จะถูกทำลายไปในที่สุดมีหลายปัจจัยที่มีผลต่ออัตราการสะสมของ ipofuscin กระบวนการใดก็ตามที่ช่วยเพิ่มการเกิดอนุมูลอิสระหรือทำให้ระบบต้านอนุมูลอิสระบกพร่องจะช่วยเพิ่มการสะสมของ lipofascin โดยปัจจัยหลักนี้ก็ ได้แก่ ความเครียดซึ่งจะช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญในระบบประสาทกล้ามเนื้อหัวใจและกล้ามเนื้อลายและทำให้เกิดอนุมูลอิสระเป็นจำนวนมากจากการทดลองในหนู โดยให้อยู่ในภาวะเครียดเป็นเวลา 24 และ 48 ชั่วโมงพบว่ามีปริมาณของ lipofuscin เพิ่มในเซลล์ประสาทมากถึง 29% และ 38% ตามลำดับ