Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ทิศทางและแนว โน้มของ รัฐประศาสน ศาสตร์…
ทิศทางและแนว
โน้มของ
รัฐประศาสน ศาสตร์
การเปลี่ยนแปลงการ
บริหารภาครัฐ
ระบบ
ราช
การ
จะเปลี่ยนแปลงจากแนวคิดดั้งเดิมที่เน้นโครงสร้างที่เป็นทางการตามทฤษฎีระบบราชการของ max weber สู่องค์การที่เน้นความยืดหยุ่นและเน้นผลลัพธ์
เทคนิคการจัดการ
จะมีความซับซ้อนและมีความเป็นระบบมากขึ้น เกิดแนวคิดวิทยาการจัดการ และ การบริหารโครงการ เพื่อใช้ในการดำเนินการบริการสาธารณะ
การรวมตัวกันเป็นสหภาพและการเจรจาต่อรองร่วม
เข้าไปมีบทบาทต่อการบริหารงานบุคคลภาครัฐ การแทรกแซงทางสังคม เศรษฐกิจ และสถานะของเจ้าหน้าที่ของรัฐ
การเน้นการประเมินผลและประสิทธิภาพการผลิต
ปรับปรุงความสามารถทางด้านการประเมินผลและการผลิต จากการดำเนินงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน
การเพิ่มระดับความชำนาญเฉพาะ
ด้านและความเป็นวิชาชีพ
ให้ความสำคัญกับผู้เชี่ยวชาญในแต่ละวิชาชีพ ตามการนำนโยบายและโครงการไปสู่การปฏิบัติ
แนวโน้มของการบริหาร
ภาครัฐ
การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและบทบาทของรัฐบาล
การทำงานแบบผู้ประกอบการและกิจการเข้าใช้ในการบริการภาครัฐ
การทำงานแบบผู้ประกอบการและกิจการเข้าใช้ในการบริการภาครัฐ
คำนึงถึงผลประโยชน์สาธารณะทั้งในระดับประเทศและต่างประเทศ ให้เชื่อมโยงกัน
การปรับเปลี่ยนกระบวนการและวิธีการทำงาน
ปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานให้เป็นแบบ มุ่งไปสู่การบริหารที่มุ่งผลสัมฤทธิ์
การปรับเปลี่ยนระบบงบประมาณ การเงิน และการพัสดุ (Refinance & Budget)
มุ่งเน้นผลงานและผลสัมฤทธิ์ มีการกำหนดเป้าหมายของงานอย่างเป็น รูปธรรม มีดัชนีชี้วัดผลสัมฤทธิ์ของงาน
การปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ วัฒนธรรมและค่านิยม (Re-paradigm)
มุ่งที่การปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมการทำงานและทัศนคติของ เจ้าหน้าที่ของรัฐ สู่การเป็นองค์การ
การปรับปรุงโครงสร้างบริหารราชการแผ่นดิน (Reorganized)
การปรับปรุงโครงสร้างกระทรวง ทบวง กรม
สร้างระบบบริหารบุคคลและค่าตอบแทน
มีการปรับเปลี่ยนระบบการกำหนดตำแหน่งและเงินเดือนจากระบบเดิม เป็นการยึดความสามารถและผลงานพัฒนารูปแบบการจ้างงานให้มีความ หลากหลาย
สร้างระบบราชการให้มีความทันสมัย
นำเทคโนโลยีมาใช้ในการทำงาน เพื่อสอดรับกับสภาพแวดล้อมที่มีความเปลี่ยนแปลงไป
เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วม
ตัดสินใจในกิจการสาธารณะและนโยบายสาธารณะ
การสร้างมาตรฐานทางจริยธรรมแก่เจ้าหน้าที่ของ
รัฐ
ยึดประโยชน์สาธารณะ มีทักษะและความรับผิดชอบในการให้บริการ
รูปแบบองค์การหลังสมัย
ระบบราชการ
นำ ทฤษฎีที่ไม่มีลำดับขั้นการบังคับบัญชา แต่มีโครงสร้าง (theory of structured non-hierarchy) ของ Thayer
สายการบังคับบัญชาถูกยกเลิก
ยึดหลักความสามารถในการบริหารมากกว่าอำนาจ
ใช้วิธีการบังคับบัญชาแบบประชาธิปไตย
เน้นการปรับตัวกับสถานการณ์
องค์การมีโครงสร้างสร้างแบนราบ
เน้นการทำงานแบบเป็นทีมและการตัดสินใจแบบกลุ่ม
องค์การมีหลักการปฏิบัติของตนเอง
มีการติดต่อสื่อสารอย่างเปิดเผย
การเปลี่ยนแปลงของรัฐ ประศาสนศาสตร์ในฐานะ
สาขาวิชา
การเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านของแนวคิดและการปฏิบัติ ซึ่งส่งผลให้ศาสตร์สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์มีการเปลี่ยนแปลง
เน้นการศึกษาที่ประยุกต์กับการปฏิบัติมากขึ้น และใช้การศึกษาแบบสหวิทยาการ
รปศ. แยกตัวออกจาก รัฐศาสตร์ โดยมุ่งเน้นสร้างแนวทางการศึกษาแบบสหวิทยาการ ไม่มุ่งเน้นการศึกษาในเชิงพฤติกรรม
เกิดสาขาใหม่ที่มีการศึกษาแบบบูรณาการ
เกิดหลักสูตรการจัดการภาครัฐ ที่มุ่งศึกษาวิธีการทำงานของภาครัฐ
เกิดแนวทางการศึกษาที่มีความยืดหยุ่นและความหลากหลาย
แนวคิดรัฐประศาสนศาสตร์แนวใหม่ (NPA) เข้ามามีอิทธิพลต่อการบริหารงานภาครัฐมากขึ้น
ให้ความสำคัญกับการพัฒนาแนวคิดมนุษยนิยมในองค์การและการพัฒนาองค์การ
วิกฤตเอกลักษณ์และรัฐ
ประ
ศาสนศาสตร์ในอนาคต
รัฐประศาสนศาสตร์ในความหมายใหม่ (NPA) ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลาย แต่ยังพบข้อวิพากษ์ในเชิงแนวคิด
การกระจายอำนาจแก่ท้องถิ่นและประชาชนมีความขัดแย้งกับหลักการให้ความสำคัญของชาติ
การมีส่วนร่วมของประชาชนในทางปฏิบัติมีข้อจำกัด
การแยกการเมืองกับการบริหารออกจากกัน ย้อนเข้าสู่กระบวนทัศน์ดั้งเดิม
ค่านิยมประสิทธิภาพ ถูกกลับนำมาใช้ในประเมินผลการทำงานตามแนวคิดการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ซึ่งเดิมปฏิเสธแนวคิดดังกล่าว
การสร้างมาตรฐานทางวิชาชีพนำไปสู่การทำลายความหลากหลายของรัฐประศาสนศาสตร์
อนาคต นักรปศ. จึงต้องการทักษะที่หลากหลายตามการเปลี่ยนแปลงของการบริหารภาครัฐในแต่ละระยะ ซึ่งควรพัฒนาบทบาทสำคัญ
เป็นนักจัดการองค์การ
เป็นผู้นำที่เข้าใจพฤติกรรมการบริหาร
เป็นผู้วิเคราะห์ปัญหาขององค์การและหาหนทางแก้ไข
เป็นนักการเมือง ที่รู้วิธีการสร้างความสนับทางการเมืองแก่ตนเองและกลุ่มผลประโยชน์
เป็นผู้ตัดสินใจอย่างเป็นวิทยาศาสตร์และนำมาใช้ในการบริหารการเปลี่ยนแปลง
เป็นนักปฏิรูป ที่สามารถพยากรณ์ปัญหาในอนาคตและหาหนทางในการรับมือ