Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

เตียง 7 ตึก มภร 10/2 นศพต.นฤพร พรหมเพชร เลขที่ 31 - Coggle Diagram

- - - - ผู้ป่วย on Prolong ET tube No.7.5 mark 22 cm
        ตั้งแต่ 30 พ.ค. 2563
      - ผู้ป่วยมีเสมหะเหนียวข้นในปากและลำคอเป็นจำนวนมากและไม่สามารถขับเสมหะออกมาเองได้
      - ผล MRI Brain+MRA(05/06/63) พบ Hemorrhage transformation
        at left basal ganglion
    - - ผู้ป่วยไม่มีภาวะพร่องออกซิเจนและสามารถหายใจตามเครื่อง Ventilator ได้
    - - -ผู้ป่วยหายใจตามเครื่อง ventilator ได้ ไม่หายใจต้านเครื่อง ventilator
        -สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ
        -ผู้ป่วยไม่มีอาการและอาการแสดงของภาวะพร่องออกซิเจนคือ หายใจเร็วและลึกขึ้น เขียวคล้ำ(cyanosis) สับสน(confusion) ตัวเย็น
    - - -ประเมินวัดสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง เพื่อประเมินอาการผิดปกติ
        -ติดตามการทำงานของเครื่องช่วยหายใจให้ทำงานตามคำสั่งการรักษาและสังเกตลักษณะการหายใจของผู้ป่วยว่าสัมพันธ์กับเครื่อง Ventilator หรือไม่
        -ประเมินอาการพร่องออกซิเจน คือ เหงื่อออก ตัวเย็น หายใจเร็วและลึกขึ้น เขียวคล้ำ สับสน
        -ดูดเสมหะทุก 2 ชม.โดยเทคนิคปราศจากเชื้อและเพิ่มปริมาณออกซิเจนก่อนและหลังดูดเสมหะทุกครั้ง โดยบีบ ambu bag ให้ผู้ป่วยระหว่างดูดเสมหะ
        -ดูแลเปลี่ยนสายและตำแหน่งการผูกรัดตึง ET tube เพื่อป้องกันการเกิดแผลกดทับบริเวณมุมปากตรวจสอบระดับและขนาดของท่อหลอดลมที่คอ ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม (No.7.5 mark 22 cm)และวัด intracuff pressure (20-30 เซนติเมตรน้ำ)
        -ดูแลจัดท่านอนศีรษะสูง 30 องศา และเปลี่ยนท่านอนทุก 2 ชั่วโมง เพื่อให้ปอดขยายตัว
        -ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาขยายหลอดลมตามแผนการรักษา คือ ให้ยาพ่น Inhalex forte 4 ml.พ่นทางเครื่องพ่นยา(Nebulizer)ครั้งละ1หลอด ทุก 8 ชั่วโมง
        -ดูแลให้ได้รับยาละลายเสมหะ เพื่อป้องกันภาวะอุดกั้นทางระบบทางเดินหายใจ คือยา Acetylcystenine 200 mg.granule 1:1 ดื่มวันละ2ครั้ง หลังอาหารเช้า-เย็น และสังเกตอาการข้างเคียงของยา เช่น แน่นหน้าอก หายใจติดขัด ปากบวม ลิ้นบวม มีผื่นลมพิษขึ้นที่ผิวหนัง เป็นต้น
    - - -ผู้ป่วยหายใจตามเครื่องได้ ไม่หายใจต้านเครื่อง
        -สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ
        -ผู้ป่วยไม่มีภาวะCyanosis คือเหงื่อออก ตัวเย็น กระสับกระส่าย ผิวเขียวคล้ำ
  - - - ผู้ป่วยนอนติดเตียง(Bed ridden)ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้
      - ผู้ป่วยมีแผลกดทับบริเวณกระดูกก้นกบ 5x4 cm.stage 2 ขอบแผลสีแดง ชมพู มี discharge ซึมที่guaze
      - แบบประเมินความเสี่ยงของการเกิดแผลกดทับ Braden scale = 8 คะแนน (มีความเสี่ยงสูงมากต่อการเกิดแผลกดทับ)
      - แบบประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดแผล IAD PAT score = 9 คะแนน (มีความเสี่ยงสูง)
      - ผู้ป่วยเริ่มมีภาวะข้อติดแข็ง
    - - รักษาแผลกดทับเดิมและป้องกันไม่ให้เกิดแผลกดทับใหม่และข้อติดแข็งเพิ่มมากขึ้น
    - - -แผลกดทับบริเวณกระดูกก้นกบ stage และขนาดแผลลดลง แผลแดงดี ไม่มีdischarge ซึม
      - Braden scale มีคะแนนเพิ่มขึ้น (ความเสี่ยงต่อการเกิดแผลกดทับน้อยลง)
      - PAT score มีคะแนนลดลง(ความเสี่ยงต่อการเกิดแผลIADลดลง)
      - ผู้ป่วยไม่มีภาวะข้อติดแข็งเพิ่มมากขึ้น
    - - 1.ประเมินผิวหนังทุกครั้งที่พลิกตะแคงตัว สังเกตรอยแดง แผลพุพอง หรือความผิดปกติของผิวหนัง โดยเฉพาะบริเวณปุ่มกระดูกที่ถูกกดทับและสังเกตเกี่ยวกับการไหลเวียนโลหิตบริเวณแขน ขา เนื่องจากหากเกิดลิ่มเลือดอุดตันจะแก้ไขได้ทัน
      - 2.ประเมิน stage และขนาดของแผลกดทับที่บริเวณกระดูกก้นกบ และทำความสะอาดแผลด้วย NSS+Cavilon ปิดทับด้วย duoderm ตามด้วย guaze และปิดแผลด้วย fixumoll
      - 3.ประเมิน Braden scale (ความเสี่ยงต่อการเกิดแผลกดทับ)และPAT score (ความเสี่ยงต่อการเกิดแผล IAD)
      - 4.ดูแลความสะอาดร่างกายของผู้ป่วยโดยเฉพาะบริเวณปุ่มกระดูก ไม่ให้เปียกชื้นจากเหงื่อ ปัสสาวะ และอุจจาระ หลังจากทำความสะอาดผิวหนัง ซับผิวหนังให้แห้ง
      - 5.ดูแลพลิกตะแคงตัวผู้ป่วยอย่างน้อยทุก 2 ชม.และใช้หมอนช่วยในการจัดท่านอนตะแคง 30 องศา เพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนบริเวณนั้นได้ดีขึ้น ช่วยป้องกันการเกิดแผลกดทับ
      - 6.หลีกเลี่ยงไม่ให้ผิวหนังได้รับการเสียดสีโดยไม่ดึงหรือกระชากผ้าปูที่นอนหรือผ้าขวางเตียงอย่างรุนแรง เพราะจะทำให้ผิวหนังถลอก ควรใช้วิธีการเลื่อนตัวหรือพลิกตัวผู้ป่วยเป็นหลักและอาจจัดหาที่นอนลมหรือฟองน้ำช่วยลดแรงกดของผิวหนังกับที่นอน
      - 7.ดูแลความสะอาดบริเวณที่นอน ปูเตียงให้เรียบตึง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดรอยย่น บริเวณที่นอน ซึ่งหากผู้ป่วยนอนทับจะทำให้เกิดแผลได้ง่าย
      - 8.ประเมินกำลัง อาการอ่อนแรงของแขนขาและเปรียบเทียบทั้ง2ข้าง
      - 9.แนะนำญาติเกี่ยวกับการจัดและเปลี่ยนท่าอย่างเหมาะสม ควรเปลี่ยนท่าทุก 2 ชม.โดยใช้หมอนเล็กๆรองใต้ศีรษะ สะโพก และไหล่ให้อยู่ในแนวตรง
      - 10.ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับการทำกายภาพบำบัดบริหารกล้ามเนื้อและข้อต่างๆ รวมทั้งสอนญาติและครอบครัวให้มีส่วนร่วมในการทำ Passive exercise เพื่อป้องกันการเกิดข้อยึดติด
    - - แบบประเมินความเสี่ยงของการเกิดแผลกดทับ Braden scale = 9 คะแนน (มีความเสี่ยงสูงมากต่อการเกิดแผลกดทับสูงมาก)
      - แผลกดทับบริเวณกระดูกก้นกบ stage และขนาดแผลลดลง แผลแดงดี ไม่มีdischarge ซึม
      - ผู้ป่วยเริ่มมีภาวะข้อติดแข็ง
      - แบบประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดแผล IAD PAT score = 9 คะแนน (มีความเสี่ยงสูง)
  - - - -ผู้ป่วย On Prolong ET Tube
        -ผู้ป่วยนอนติดเตียง ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้
        -ญาติมักจะถามเกี่ยวกับขนาด ลักษณะของแผลกดทับว่าเป็นอย่างไร ถ้าปัสสาวะ จะไหลไปโดนแผลหรือไม่
    - - -ญาติมีสีหน้าดีขึ้น คลายความวิตกกังวลได้บ้าง
        -ญาติมีความเข้าใจการดูแลและป้องกันการเกิดแผลกดทับมากขึ้น
    - - -สร้างสัมพันธภาพที่ดีกับญาติผู้ป่วย
        -อธิบายการดำเนินโรคและแผนการพยาบาลในแต่ละวันให้ญาติเข้าใจ
        -เปิดโอกาสให้ญาติได้ระบายความรู้สึก ความวิตกกังวลเพื่อลดความกดดันทางอารมณ์ และเปิดโอกาสให้ได้ซักถามข้อสงสัย พร้อมอธิบายให้เข้าใจ
        -ให้ญาติมีส่วนร่วมในการดูแลรักษาผู้ป่วยในการดูแลและป้องกันการเกิดแผลกดทับที่เพิ่มมากขึ้น โดยการหมั่นสังเกตการขับถ่ายปัสสาวะ อุจจาระของคนไข้และทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ทุกครั้งหลังการขับถ่ายเพื่อลดการสะสมของเชื้อโรคและช่วยส่งเสริมการหายของแผล และหมั่นพลิกตะแคงตัวทุก2ชั่วโมง
        -แจ้งและอธิบายให้ญาติทราบทุกครั้งทั้งก่อนและหลังการพยาบาล
    - - -ญาติมีความเข้าใจการดูแลและป้องกันการเกิดแผลกดทับที่เพิ่มมากขึ้น
        -ญาติมีสีหน้าดีขึ้น เข้าใจแผนการรักษาและการพยาบาล