Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การเปลี่ยนแปลง ของมารดาใน ระยะหลังคลอด, นายพูลศักดิ์ ดวนดี เลขที่ 94…
การเปลี่ยนแปลง ของมารดาใน
ระยะหลังคลอด
จิตสังคม
Taking – hold phase
เริ่มสนใจที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับการดูแลทารก สนใจบุคคลอื่นๆ ในครอบครัวเพิ่มขึ้น
การพยาบาล
มีความอดทนในการสอนสาธิต แนะนำ และให้กำลังใจแก่มารดาหลังคลอดในการดูแลตนเองและทารกให้ถูกต้อง
การสอนและสาธิตให้สามีและญาติในการช่วยดูแลทารก เพื่อให้มารดาหลังคลอดมีเวลาพักผ่อนมากขึ้น
มารดาหลังคลอดที่ได้รับการตอบสนองในช่วง Taking - in phase อย่างครบถ้วนก็จะเริ่มเปลี่ยนจากพฤติกรรมพึ่งพาเป็นสามารถช่วยเหลือตนเองได้มากยิ่งขึ้น
ระยะเข้าสวมบทบาทการเป็นมารดา ระยะนี้จะอยู่ในช่วง 3 – 10 วันหลังคลอด
Letting - go phase
สมาชิกในครอบครัวแต่ละคนต่างก็ต้องมีพฤติกรรมพึ่งพาอาศัยกัน (Interdependent behavior)
การพยาบาล
แนะนำให้มารดาหลังคลอด สามี และสมาชิกภายในครอบครัวปรับตัวและวางแผนการดำเนินชีวิตตามพัฒนกิจของครอบครัวได้อย่างเหมาะสม ประสานความสัมพันธ์ของสมาชิกให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
เห็นอกเห็นใจ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน โดยสนับสนุนให้สมาชิกในครอบครัวได้พูดคุยทำความเข้าใจกัน
ต้องชี้แนะแนวทาง ให้มารดาหลังคลอดและสามีได้ร่วมกันวางแผนการดำเนินชีวิตการปรับตัวเข้าสู่บทบาทใหม่ และการมีสมาชิกในครอบครัวเพิ่มขึ้น
เริ่มตั้งแต่ วันที่ 10 หลังคลอดเป็นต้นไป
Taking – in phase
ร่างกายมีความอ่อนล้า ไม่สุขสบายจากการปวดมดลูก เจ็บปวดแผลฝีเย็บและคัดตึงเต้านม
ในช่วงวันแรกช่วยเหลือตนเองได้น้อย จึงต้องการพึ่งพาผู้อื่นทั้งด้านร่างกายและจิตใจ
ระยะเริ่มเข้าสู่บทบาทการเป็นมารดา เป็นระยะ 1 – 3 วันแรกหลังคลอด
อาจปวดร้าวกล้ามเนื้อบริเวณสะโพกและฝีเย็บจนกระทั่งเดินไม่ได้
การพยาบาล
ดูแลมารดาหลังคลอดทางด้านร่างกายในเรื่องการรับประทานอาหาร การพักผ่อน การรักษาความสะอาดของร่างกาย การขับถ่าย การทำกิจกรรมต่างๆ ลดภาวะไม่สุขสบายต่างๆ รวมทั้งควรประคับประคองทางด้านจิตใจ
ให้การพยาบาลด้วยท่าทีที่อบอุ่น เห็นอกเห็นใจ เข้าใจความรู้สึกด้วยความจริงใจ เพื่อให้มารดาหลังคลอดมีความรู้สึกว่ามีผู้สนใจ เอาใจใส่ตนเอง เกิดความอบอุ่นใจและคอยรับฟัง
สรีรวิทยา
ระบบทางเดินปัสสาวะท่อปัสสาวะ
และกระเพาะปัสสาวะอาหาร
กระเพาะปัสสาวะจะบวม และมักมีอาการบวมและช้ำรอบๆ รูเปิดของท่อปัสสาวะความตึงตัวของกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะลดลง ทำให้มีความจุมากขึ้น แต่ความไวต่อแรงกดจะลดลง
ภายใน 12 ชั่วโมงหลังคลอด มารดาจะเริ่มถ่ายปัสสาวะมาก ปัสสาวะที่ออกจากร่างกายรวมกับน้ำที่สูญเสียทางเหงื่อจะทำให้น้ำหนักของมารดาลดลงในระยะแรกหลังคลอดประมาณ 2 – 2.5 กิโลกรัม หลังจากนั้นน้ำหนักจะลดลงอีกเนื่องจากมีการขับน้ำและอิเล็คโทรไลต์ที่สะสม
ระบบผิวหนังและอุณหภูมิ
ฝ้าบริเวณใบหน้า (Chloasma gravidarum) จะหายไป แต่สีที่เข้มของลานนม เส้นกลางหน้าท้อง (Linea nigra) และรอยแตกของผิวหนังบริเวณ ผนังหน้าท้อง (Striae gravidarum) จะไม่หายไปแต่สีอาจจางลง
หลังคลอดร่างกายจะขับน้ำออกทางผิวหนังจำนวนมาก (Diaphoresis) มารดาหลังคลอดจึงมีเหงื่อออกมา
Febile Fever
เกิดจากการติดเชื้อในระบบใดระบบหนึ่งของร่างกายมารดา อุณหภูมิจะสูงกว่า 38 องศาเซลเซียส ติดต่อกัน 2 วัน หรือมากกว่า (ไม่นับ 24 ชั่วโมงแรกหลังคลอด)
Milk Fever
เกิดจากนมคัด (Breast engorement) จะพบในวันที่ 3 – 4 หลังคลอดอุณหภูมิจะสูงกว่า 38 องศาเซลเซียส และจะหายใน 24 ชั่วโมง หรือเมื่อลดการคัดตึงของเต้านม
Reactionary Fever
เกิดจากการขาดน้ำ เสียพลังงานในการคลอด หรือได้รับการชอกช้ำ (Trauma) ในขณะคลอดจะมีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของร่างกายสูงขึ้นเล็กน้อย โดยประมาณ 37.8 องศาเซลเซียส แต่ไม่เกิน 38 องศาเซลเซียส แล้วจะลดลงสู่ปกติใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด
ระบบทางเดินอาหาร
มีแนวโน้มที่จะท้องผูก จากการที่สูญเสียแรงดันภายในช่องท้องทันที อาหาร 2 – 3 วันแรก มารดามักมีความอยากอาหารและดื่มน้ำมาก เพราะสูญเสียน้ำจากการคลอด
ระบบกล้ามเนื้อและโครงกระดูก
โครงกระดูก
ในช่วงตั้งครรภ์ฮอร์โมน relaxin ทำให้บริเวณข้อต่อต่างๆ ของร่างกายมีการยืดขยาย มีการเคลื่อนไหวของข้อต่อมากเกินไป
หลังคลอด 2 – 3 วันแรก ยังคงเจ็บปวดบริเวณสะโพกและข้อต่อ ซึ่งจะขัดขวางการเริ่มเคลื่อนไหว (Ambulation) และการบริหารร่างกาย
เข้าสู่สภาพปกติต้องใช้เวลาประมาณ 6 – 8 สัปดาห์หลังคลอด
กล้ามเนื้อ
ในช่วง 1 – 2 วันแรก หญิงระยะหลังคลอด มีอาการเมื่อยและปวดกล้ามเนื้อโดยเฉพาะบริเวณแขน ขา ไหล่ และคอ
กล้ามเนื้อหน้าท้องจะนุ่มหยุ่นไม่แข็งแรง และจะหนาขึ้นบริเวณกลางท้อง
เยื่อบุโพรงมดลูกและบริเวณรก
Decidua ที่เหลืออยู่ในโพรงมดลูกจะแบ่งตัวเป็น 2 ชั้น คือ
ชั้นผิวใน (Superficial layer) จะหลุดออกมาเป็นส่วนของน้ำคาวปลา ส่วนชั้นใน (Functional layer) ซึ่งอยู่ติดกับเนื้อมดลูก มีต่อมเยื่อบุโพรงมดลูก Connective tissue จำนวนเล็กน้อยจะงอกขึ้นมาใหม่
ระบบภูมิคุ้มกัน
พบว่าร้อยละ 20 ของหญิงตั้งครรภ์ที่มีเลือดหมู่ O จะมีทารกที่มีเลือดหมู่ A หมู่ B หรือหมู่ AB ซึ่งร้อยละ 5 ของทารกเหล่านี้ จะมีภาวะเลือดไม่เข้ากันจนทำให้เกิดเม็ดเลือดแดงแตกในระดับเล็กน้อยจนถึงปานกลาง ทารกจะแสดงอาการตัวเหลืองภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด และต้องได้รับการส่องไฟรักษา (Phototherapy)
ระบบอวัยวะสืบพันธุ์
ฝีเย็บ (Perineum)
มีอาการปวดบริเวณฝีเย็บ ฝีเย็บจะมีลักษณะบวม ฝีเย็บจะหายเป็นปกติภายใน 5 – 7 วัน
การพยาบาล ทำความสะอาดด้วยน้ำสะอาด หากมีความผิดปกติ รายงานแพทย์ทันที
มดลูก (Uterus)
อยู่ที่ระดับสะดือ ภายหลัง 24 ชั่วโมง มดลูกจะลอยอยู่เหนือระดับสะดือ มดลูกจะกลับเข้าสู่สภาพเดิมภายใน 2–3 สัปดาห์ หลังคลอด
การพยาบาล จับดูว่าก้อนนุ่มใช้นิ้วมือคลึงจนเป็นก้อนกลมแข็ง จะหายไปใน7-14 วัน ลดลงวันละ 0.5-1 นิ้ว
การนวดมดลูกหลังรกคลอดทันที เป็นการพยาบาลที่สำคัญในการป้องกันการตกเลือดหลังคลอด การนวดมดลูกต้องนวดจนกว่ามดลูกจะแข็งตัว ซึ่งใช้เวลาประมาณ 5-10นาที และนวดต่อไปเรื่อยๆทุกๆ 15 นาที จบครบ 2ชั่วโมงแรกหลังคลอด พร้อมทั้งสอนมารดาหลังคลอดและญาติให้นวดมดลูกเอง
น้ำคาวปลา (Lochia)
Lochia rubra น้ำคาวปลาที่ออกมาในระยะ 2 – 3 วันแรก จะเป็นสีแดง คล้ำ หลังคลอด
Lochia serosa วันที่ 4 – 9 น้ำคาวปลาจะเป็นสีชมพูจนถึงสีน้ำตาล
Lochia alba มีประมาณวันที่ 10- 21 หลังคลอด น้ำคาวปลาจะค่อยๆ น้อยลงเป็นสีเหลืองจางๆ หรือสีขาว
เต้านม
น้ำนมแม่ (true milk หรือ mature milk)
เริ่มประมาณ 2 สัปดาห์หลังคลอดไปแล้ว มีส่วนประกอบของน้ำมากถึงร้อยละ 87 โดยร่างกายจะนำไปใช้ในกระบวนการเผาผลาญต่างๆ ซึ่งหลังจากผ่านการย่อยแล้วของเสียที่มาจากนมแม่ จะต้องขับถ่ายทางไต (renalsolute load)
หัวน้ำนม (colostrum)
จะเริ่มผลิตใน 2 – 3 วันแรกหลังคลอด มีสีเหลืองข้น ซึ่งเกิดจากสารเบตาแคโรทีน ที่สามารถเปลี่ยนแปลงไปเป็นวิตามินเอได้ หัวน้ำนมจะมีโปรตีน วิตามินที่ละลายในไขมัน เกลือแร่ ซึ่งรวมถึงสังกะสี โซเดียมโพแทสเซียมและคลอไรด์
น้ำนมระยะปรับเปลี่ยน (transitional milk)
เริ่มตั้งแต่วันที่ 7 – 10 หลังคลอด ไปจนถึง 2 สัปดาห์หลังคลอด ปริมาณของอิมมูโนโกลบูลิน โปรตีน และวิตามินที่ละลายในไขมันจะลดต่ำลง ส่วนปริมาณของน้ำตาลแลคโทส ไขมัน วิตามินที่ละลายในน้ำ และพลังงานรวมจะเพิ่มขึ้น
ปากมดลูก
ประมาณ 18 ชั่วโมงหลังคลอด ปากมดลูกจะสั้นลง แข็งขึ้น และกลับคืนสู่รูปเดิม
ปลายสัปดาห์ที่ 1 จะกลับคืนเหมือนสภาพเดิมเกือบสมบูรณ์ แต่อย่างไรก็ตามปากมดลูกจะไม่คืนสู่สภาพเดิมเหมือนก่อนตั้งครรภ์
การมีประจำเดือน
มารดาที่ไม่ได้เลี้ยงทารกด้วยนมตนเองจะมีการตกไข่ครั้งแรก เมื่อสัปดาห์ที่ 10 – 11 หลังคลอด และเริ่มมีประจำเดือน เมื่อสัปดาห์ที่ 7 – 9 หลังคลอด
มารดาที่เลี้ยงทารกด้วยนมตนเองนาน 3 เดือน จะมีการตกไข่ครั้งแรกเมื่อสัปดาห์ที่ 17 หลังคลอด
ถ้าเลี้ยงด้วยนมตนเองนาน 6 เดือน จะมีการตกไข่เมื่อสัปดาห์ที่ 28 หลังคลอด และจะเริ่มมีประจำเดือน เมื่อสัปดาห์ที่ 30 –36 หลังคลอด
ระบบ
ต่อมไร้ท่อ
รก (Placental hormone)
วันที่ 3 หลังคลอดหลัง จากสัปดาห์แรกของการคลอดจะไม่สามารถตรวจพบโปรเจสเตอโรนในซีรัมได้ และจะเริ่มมีการผลิตโปรเจสเตอโรนอีกครั้งเมื่อมีการตกไข่ครั้งแรกหลังคลอดภายใน 3 ชั่วโมงหลังคลอด
การเจริญเติบโต (Growth hormone)
อยู่ในระดับต่ำตั้งแต่ระยะตั้งครรภ์ตอนท้ายๆ ไปจนถึง 1 สัปดาห์หลังคลอด ประกอบกับการลดลงอย่างรวดเร็วของฮอร์โมน Human Placental Lactogen (HPL) ฮอร์โมนเอสโตรเจน ฮอร์โมนคอร์ติชอล เอนไซม์จากรก และน้ำย่อย Insulinase
ต่อมใต้สมอง (Pituitary hormone)
มารดาที่ไม่เลี้ยงบุตรด้วยน้ำนมตนเองระดับโพรแลคทินจะลดลงจนเท่ากับระดับก่อนตั้งครรภ์ภายใน 2 สัปดาห์
ระบบเลือด
3 วันแรกหลังคลอดค่า Hematocrit อาจสูงขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากมีการลดระดับของปริมาณน้ำเหลือง (Plasma) มากกว่าจำนวนของเม็ดเลือดและจะลดลงสู่สภาพปกติเหมือนก่อนคลอดภายใน 4 – 5 สัปดาห์หลังคลอด
การไหลเวียนเลือดใน 2–3 วันแรกหลังคลอด จะเพิ่มขึ้นประมาณ 15–30 เปอร์เซ็นต์ จากการไหลกลับของเลือด
ปริมาณเลือด (Blood volume) จะลดลงทันทีจากการสูญเสียเลือดภายหลังคลอด โดยปริมาณเลือดจะลดลงจากระดับ 5 – 6 ลิตร ในระยะก่อนคลอด จนถึงระดับ 4 ลิตรเท่าคนปกติใน 4 สัปดาห์
ความดันเลือดและชีพจร
อาจมีค่าความดันโลหิตต่ำได้จากการเสียเลือดมากกว่าปกติ จนทำให้ปริมาณเลือดน้อยเกินไป (Hypovolemia)
อัตราการเต้นของชีพจรลดลงเป็นผลจากภายหลังคลอดรก เข้าสู่ระดับปกติภายใน 7 – 10 วันหลังคลอด
ระบบหายใจ
ขนาดของช่องท้องและช่องทรวงอกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ในระยะหลังคลอด ทำให้ความจุภายในช่องท้องและกะบังลมลดลง ปอดขยายได้ดีขึ้น การหายใจสะดวกขึ้น
นายพูลศักดิ์ ดวนดี
เลขที่ 94 รหัส 60118301099 ปี 3B รุ่น 27