Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 6 พฤติกรรมสุขภาพ (Health Behavior), นางสาวอริสรา อินตา 6104101401…
บทที่ 6 พฤติกรรมสุขภาพ (Health Behavior)
ปัจจัยทางจิตวิทยาที่มีอิทธิพลต่อสุขภาพร่างกาย
1) ผลของความเครียดโดยตรง (Direct Effect of Stress)
เป็นพื้นฐานสำคัญที่สุดเป็นการทำงานของจิตใจ
มีผลต่อสุขภาพร่างกาย
มีผลโดยตรงต่อการทำงานของสรีรวิทยา
มีผลต่อการกระตุ้นให้ร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงอันจะนำไปสู่การทำลายสุขภาพระยะต่อไป
2) นิสัยที่ไม่ดีต่อสุขภาพ (Health –Impairing Habits)
เช่น การเกิดโรคหัวใจได้รับอิทธิพลจากการสูบบุหรี่มีกิจกรรมทางร่างกายน้อย การควบคุมน้ำหนักที่ไม่ดี รูปแบบการดำเนินชีวิตที่ไม่เหมาะสม
แบบแผนนิสัยทางพฤติกรรมของบุคคล ก่อให้เกิดความเจ็บป่วยที่เพิ่มมากขึ้น
3) ปฏิกิริยาต่อความเจ็บป่วย (Reactions to Illness)
พฤติกรรมตอบสนองต่ออาการของความเจ็บป่วยเกิดจากละเลยต่อคำแนะนำของแพทย์
อัตราการเจ็บป่วยที่ร้ายแรงจึงเพิ่มขึ้น
แนวทางการส่งเสริมสุขภาพ (Health Promoting)
1) การมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย (Safe Sex)
การมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย
(2) ควรใช้ถุงยางอนามัย
(3) ลดปริมาณคู่นอนให้น้อยลง
(1) การมีเพศสัมพันธ์กับคนเดียว
การมีเพศสัมพันธ์อย่างไม่ปลอดภัยจะนำไปสู่การแพร่ระบาดของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (Sexually Transmitted Diseases)
(2) ซิฟิลิส
(3) หนองใน
(1) โรคเอดส์
(4) อื่นๆ
2) สารอาหารและสุขภาพ (Nutrition and Health)
การบริโภคเกลือที่มากเกินไปเสี่ยงต่อการเกิดโรคความดันโลหิตสูง
การเกิดโรคกระดูกพรุน มักพบภายหลังจากการหมดประจำเดือนเกิดจากการไม่ได้มีการบริโภคแคลเซียมอย่างเพียงพอ
การบริโภคอาหารที่เกินความจำเป็นจะทำให้ระดับโครเลสเตอรอลเพิ่มขึ้นเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ
การบริโภควิตามินอีจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจได้
แบบแผนการบริโภคอาหารมีบทบาทสำคัญต่อวิธีคิดและการจัดการควบคุมโรคภัยไข้เจ็บ
(1) นิ่วในถุงน้ำดี
(2) โรคไต
(3) โรคเก๊าท์
3) การออกกำลังกาย
ช่วยเพิ่มการทำงานของประสิทธิภาพของอัตราการเต้นของหัวใจออกซิเจนกระตุ้นการทำงานของปอด
ช่วยปกป้องสุขภาพกายและสุขภาพจิต
4) การควบคุมน้าหนัก (Weight Control)
เป็นการบริโภคอาหารอย่างเหมาะสม ควบคู่กับ การออกกำลังกายร่วมด้วย จะช่วยให้สามารถควบคุมน้ำหนักได้
5) การดื่มแอลกอฮอล์ (ประมาณ1แก้ว ต่อวัน)
จะช่วยลดอัตราเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจ โดยการสลายไขมันในหลอดเลือด
จะก่อให้เกิดการมีชีวิตที่ยืนยาว มากกว่า ผู้ที่ไม่ดื่มแอลกอฮอล์
6) งดสูบบุหรี่
เป็นการป้องกันสาเหตุความเจ็บป่วยของบุคคล
7) หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงด้านต่างๆ
โดยการเลือกรูปแบบการดำรงชีวิตเพื่อการมีสุขภาพที่ดี
ได้แก่ การรับรู้ข้อมูลอย่างถูกต้องในการปรับปรุงนิสัยด้านสุขภาพที่ไม่ดี
8) การดำรงชีวิตอย่างผาสุกและเต็มไปด้วยความสุข
ขึ้นอยู่กับการประเมินสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของบุคคลทั้งการคิดและการแสดงออกของอารมณ์ว่าจะมีความสุขได้อย่างไร
เช่น การมองตนเองทางบวก (Self –Esteem) ในระดับสูงการควบคุมตนเองมองโลกในแง่ดีมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลรอบข้าง
9) การตรวจสุขภาพประจำปี
ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคในระดับที่รุนแรงการมีพฤติกรรมสุขภาพด้วยความไม่ประมาท
เพื่อการป้องกันโรค ควบคุมโรค และรักษาความเจ็บป่วยในเบื้องต้น
เป็นการตรวจวิเคราะห์ความผิดปกติของสุขภาพเพื่อให้เกิดการป้องกันสุขภาพของบุคคล
ความหมายของจิตวิทยาสุขภาพ (Defining Health Psychology)
ศาสตร์ที่มุ่งศึกษาทำความเข้าใจอิทธิพลทางด้านจิตวิทยาต่อความเป็นอยู่ด้านสุขภาพการเกิดและตอบสนองต่อความเจ็บป่วย เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้บุคคลมีชีวิตและความเป็นอยู่ดี
แนวทัศน์ในเรื่องสุขภาพและความเจ็บป่วย
1) รูปแบบทางด้านชีวแพทย์ (Biomedical model)
มุ่งเน้นปัจจัยทางชีววิทยา ที่ส่งผลต่อความเจ็บป่วย โดยปราศจากพิจารณาปัจจัยทางจิตวิทยาและด้านสังคม
มุ่งเน้น การอธิบายประเด็นสุขภาพบนพื้นฐานของความเจ็บป่วย (Illness)มากกว่าสุขภาพ (Health)
2) รูปแบบชีว-จิต-สังคม (Bio psychosocial Model)
ความเจ็บป่วยและการดำรงชีวิตอยู่ถูกกำหนดจากผลรวมของปัจจัยทั้ง 3 ประการ
จิตวิทยา
สังคม
ชีววิทยา
ปัจจัยเสี่ยงทางด้านพฤติกรรม
ปัจจัยเสี่ยงทางด้านพฤติกรรม
คือ พฤติกรรมที่เพิ่มโอกาสการเกิดโรค การบาดเจ็บ หรือการเสียชีวิต
ปัจจุบันอัตราการเสียชีวิตของคนส่วนใหญ่ มักเกิดจากรูปแบบชีวิตที่ก่อให้เกิดโรค
ปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรค เช่น
(1) มีความเครียดในระดับสูง
(2) ขาดความตระหนักถึงความปลอดภัยในชีวิต เช่น การขับรถเร็ว
(3) สะสมสารพิษในร่างกาย
ความเครียด (Stress)
สัญญาณเตือนความเครียด
1) สัญญาณทางอารมณ์ เช่น ความวิตกกังวล การไม่สนใจ หงุดหงิดเหนื่อยใจ
2) สัญญาณทางพฤติกรรม เช่น ไม่สนใจตนเอง ตัดสินใจไม่ดี หลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ มีพฤติกรรมทำลายตนเอง
3) สัญญาณทางสรีระ เช่น ป่วยบ่อย ใช้ยาบ่อยๆ หมดสิ้นเรี่ยวแรง วิตกกังวลในความเจ็บป่วย เจ็บป่วยทางร่างกายและข้อเรียกร้องต่างๆ
ปัจจัยที่ก่อให้เกิดความเครียด
1) ปัจจัยทางด้านชีววิทยา (Biological Factors)
ทำให้เหนื่อยอ่อนและแตกแยกของสรีระ
การเจริญอาหารลดลงความอ่อนล้าของกล้ามเนื้อรวมถึงความสนใจต่อสิ่งแวดล้อมในโลกลดลง
การตอบสนองต่อความเครียดมี 2 ทาง คือ
(1) ระบบประสาทส่วนกลางของบุคคล จะรับรู้ความเครียดจากสิ่งแวดล้อมต่างๆ
(2) ซีรีบรัมคอร์เทค (Cerebral Cortex) รับรู้ความเครียดจากสิ่งแวดล้อมและข้อมูลต่างๆผ่านมาทางไฮโปทาลามัส และต่อมใต้สมอง
2) ปัจจัยด้านบุคลิกภาพ (Personality Factors)
แบบแผนบุคลิกภาพแบบเอ (Type A) จะมีลักษณะชอบแข่งขันในระดับสูง มีความมุ่งมั่น ใจร้อน มุ่งร้าย และมีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคหัวใจ
แบบแผนบุคลิกภาพแบบบี (Type B) จะมีบุคลิกภาพแบบผ่อนคลายไร้กังวล
3) ปัจจัยด้านการคิด (Cognitive Factors)
การพิจารณาว่าเราจะเผชิญกับสิ่งแวดล้อมและการดำรงชีวิตโดยรวมได้อย่างไร
จะใช้ศักยภาพและประโยชน์ต่างๆ จัดการต่อสิ่งคุกคามนั้นอย่างไร
4) ปัจจัยสิ่งแวดล้อม (Environmental Factors)
ปริมาณงานที่มากจนเกินไปทำให้เกิดความคับข้องใจจนกลายเป็นการขาดความสุขในชีวิต
ฐานะความเป็นอยู่ที่ค่อนข้างจะยากจน
เช่น ภัยพิบัติต่างๆ สงคราม อุบัติเหตุทางรถยนต์ ไฟไหม้ หรือการเสียชีวิตของคนรัก
5) ปัจจัยทางด้านสังคมวัฒนธรรม (Sociocultural Factors)
ความเครียดจากการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรม (Acculturative Stress) เป็นผลมาจากการติดต่อระหว่างความแตกต่างของสองวัฒนธรรม
ความยากจน (Poverty) เป็นสาเหตุความเครียดของบุคคลและครอบครัว
สาเหตุของความเครียด
1) ความคับข้องใจ (Frustration)
สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ เป็นอุปสรรคทำให้บุคคลไม่สามารถบรรลุเป้าหมายตามที่ต้องการ
สิ่งแวดล้อมทางสังคม คือ อุปสรรคที่เกิดจากการมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่นในสังคม
สาเหตุจากองค์ประกอบส่วนบุคคล ได้แก่ ความบกพร่องของตนเอง
2) ความขัดแย้งใจ (Conflict)
Approach – Approach Conflict เป็นความขัดแย้งที่แก้ไขได้ง่ายที่สุด ทำให้เกิดความเครียดน้อย
Avoidance – Avoidance Conflict เป็นความขัดแย้งใจที่ตัดสินใจได้ยากต้องใช้เวลาตัดสินใจนานถ้าไม่ถูกบังคับจะไม่เลือกทั้งสองอย่าง
Approach – Avoidance Conflict ความขัดแย้งที่เกิดจากความต้องการที่ตรงกันข้ามกัน
Multiple Approach – Avoidance Conflict แต่ละเป้าหมายมีลักษณะที่ต้องการและไม่ต้องการแต่ต้องตัดสินใจเลือกเพียงเป้าหมายเดียว
3) ความกดดัน (Pressure)
ความกดดันจากการทำงาน
ความกดดันที่เกิดขึ้นจะทาให้ประสิทธิภาพในการทางานลดลง
ความกดดันเกิดจากการไม่มีเวลาที่เพียงพอ (Lack of Time) หรือ การกำหนดเวลา (Deadlines)
4) เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิต (Life Event)
ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิต และต้องปรับตัว
5) สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ (Physical Environment)
การทำงานในสภาพแวดล้อมที่ไม่มีความปลอดภัย
ทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีสารเคมีเป็นพิษ หรือ อาศัยอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่แออัด ไม่ถูกสุขลักษณะ
6) สิ่งแวดล้อมทางสังคม (Social Environment)
แรงกระตุ้นทางสังคมที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างรวดเร็วมีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต
พฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนแปลง กระตุ้นให้คนเราต้องปรับตัวอยู่ตลอดเวลา
แหล่งของความเครียด
1) แหล่งของความเครียดจากภายนอก
การเปลี่ยนแปลงในชีวิต (Life Changes) เช่น การสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก
การรบกวนจากชีวิตประจำวัน (everyday hassles) จากการบีบคั้นกดดัน หรือความรู้สึกขัดแย้
เหตุการณ์ หรือ สิ่งแวดล้อม (Stressors) ส่งผลต่อระดับความเครียดที่เพิ่มสูงขึ้นจากจุดเริ่มต้นในระดับที่เบาบาง เช่น สภาพเศรษฐกิจ
มหันตภัย (Catastrophes) เช่น ภัยธรรมชาติ การใช้สารพิษ
2) แหล่งของความเครียดจากภายใน
รูปแบบเหตุผล
ลักษณะของบุคลิกภาพ
การควบคุมการรับรู้
ความคับข้องใจ
ความเชื่อที่ไร้เหตุผล
ความขัดแย้ง
การกำหนดความเครียดด้วยตนเอง
การจัดการกับความเครียด
1) การจัดการโดยตรงเป็นการปรับตัวในระดับจิตสำนึก (Conscious Level)
การเผชิญหน้า (Confrontation) เอาชนะอุปสรรคที่ขัดขวางโดยไม่ย่อท้อ (สร้างสรรค์-ทำลาย)
การประนีประนอม (Compromise) คล้อยตามหรือเจรจาต่อรองข้อตกลงร่วมกัน (สร้างสรรค์)
การถอนตัว (Withdraw) การหลีกหนีหรือหลีกเลี่ยงออกจากสถานการณ์ ป้องกันไม่ให้ต้องประสบกับความไม่สบายใจ
2) การจัดการโดยใช้กลไกป้องกันตนเองเป็นการปรับตัวในระดับจิตไร้สำนึก (Unconscious Level)
การจัดการทางอารมณ์ (Emotion – Focused Forms of Coping) การเปลี่ยนแปลงการรับรู้ ปกป้องอีโก้ (Ego) และหลีกเลี่ยงความวิตกกังวลโดยการบิดเบือนความเป็นจริง
การจัดการปัญหา (Problem – Focused Forms of Coping) ลดความเครียดหรือขจัดให้น้อยลง
3) การแสวงหาแหล่งจัดการความเครียดอย่างมีประสิทธิภาพ
สุขภาพและพลังงาน มีความสามารถในการจัดการและมีระยะเวลาในขั้นต่อต้าน
ความเชื่อทางบวก (Self –Esteem)จะช่วยลดปริมาณความวิตกกังวล
ทักษะทางสังคม ช่วยให้บุคคลมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
แรงสนับสนุนจากสังคม จะช่วยเหลือในการเปลี่ยนแปลงชีวิต
แหล่งสนับสนุนวัสดุต่างๆ ปริมาณเงินที่เพิ่มขึ้นจะช่วยขจัดแหล่งความเครียด
การควบคุมของบุคคล
กลวิธีการจัดการโดยการกระทำต่อต้านความเครียด เช่น การออกกำลัง (ลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ)
การเบี่ยงเบนความสนใจ ช่วยลดการตอบสนองต่อความทุกข์ทรมานจากความเครียดได้
นางสาวอริสรา อินตา 6104101401 เซค5