Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การรับรู้ตนเอง เพื่อการพัฒนาบุคลิกภาพ - Coggle Diagram
การรับรู้ตนเอง เพื่อการพัฒนาบุคลิกภาพ
ความหมายและปัจจัย
การับรู้เกี่ยวกับตนเอง เป็นสิ่งที่บุคคลจะต้องทำ การรู้จักตนเองก่อน วิธีที่บุคคลจะรู้จักตนเอง ได้ชัดเจนคือ การสำรวจตนเอง ทำให้บุคคลสามารถมองตนเองอย่างชัดเจน ทั้งในแง่บวกแง่ลบ ทั้งในส่วนที่ดีและส่วนที่ต้องปรับปรุง รวมไปถึง ความสามารถใน การสำรวจตนเอง ว่าตนเองมีบุคลิกภาพ ส่วนใดจะต้องพัฒนาให้ดียิ่งๆ ขึ้นและ การที่บุคคลจะรู้จักตัวเองได้นั้น
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการรับรู้ของบุคคล
1.ความสมบูรณ์หรือความบกพร่องของอวัยวะรับสัมผัส
2.ประสบการณ์เดิม
3.ความต้องการที่จะรับรู้
4.คุณลักษณะของบางประการของสิ่งเร้า
5.สภาวะทางอารมณ์
6.ความคาดหวัง
7.สติปัญญา
8.การให้คุณค่า
9.การถูกชักจูง
ความรู้พื้นฐานการรับเกี่ยวกับรู้ตนเอง
1.การรับรู้เกี่ยวกับตนเอง สรีระ
2.การรับรู้ตนเองด้านสภาวะจิตใจ
รับรู้สถานภาพและบทบาทของตน
4.การรับรู้ตนเองด้านสังคม
5.การรับรู้ตัวเองด้านสติปัญญาและความสามารถ
หลักการนำไปใช้เพื่อการรับรู้ตนเอง
1.ต้องการทำความรู้จักตนเอง
ก่อนที่บุคคลจะรับรู้ตนเองได้นั้นสิ่งสำคัญประการแรกก็คือจำเป็นต้องทำความรู้จักตนเองให้ละเอียดของแท้เสียก่อนโดยการทำความรู้จักตนเองนั่นมีจุดมุ่งหมาย 3 ประการคือ
1.1 ประการคือการเรียนรู้
น้าเป็นขั้นตอนเริ่มของการทำความรู้จักตนเองว่าตัวเองมีรูปร่างหน้าตาทรงผมผู้ชายนิยมแต่งกายอย่างไร
1.2เพื่อความเข้าใจตนเอง
ในขั้นนี้จะเป็นขั้นตอนของการค้นหาสาเหตุที่ทำให้ตนเองมีลักษณะนิสัยจิตใจและเป็นผลมาจากการอบรมเลี้ยงดูหรือมาจากสาเหตุอื่นใดนอกเหนือจากนี้เพื่อจะได้วางแนวทางปรับปรุงแก้ไขและพัฒนาตัวเองต่อไป
1.3เพื่อการยอมรับตัวตน
ไม่ได้เรียนรู้และเข้าใจตัวเองดีแล้วเราควรยอมรับว่าความเป็นจริงในสิ่งที่ตัวเรานั้นและทำการแก้ไขปรับปรุงตนเองเพื่อให้เป็นที่ยอมรับของผู้อื่นต่อไป
2.ตั้งการเปิดใจยอมรับฟังความวิจารณ์ของผู้อื่น
นอกเหนือจากที่เราต้องรู้จักตนเองที่แท้จริงแล้วสิ่งสำคัญประการต่อไปไปก็คือตัวเราในมุมมองของผู้อื่นบ้าง
2.1ตัวตนตามความเป็นจริง
2.2 ต้นที่ตนรับรู้
2.3 ต้นในอุดมคติ
ขั้นดำเนินการวิเคราะห์ตนเอง
โดยทั่วไปมนุษย์เรามาจะมีมุมมองรับรู้ตนเองอยู่ด้วยกันทั้งหมด 3 ลักษณะคือลักษณะแรกนั้นจะมองตนเอง ลักษณะคือลักษณะแรกนั้นจะมองตนเองสู่ความ ลักษณะคือลักษณะแรกนั้นจะมองตนเองสู่ความเป็น จริง
ลักษณะที่สองก็คือมองตนเองในทางต้อยต่ำด้อยค่าและสติปัญญาและความสามารถ
แนวทางในการปรับปรุงบุคลิกภาพของบุคคล
บุคลิกภาพที่ดีช่วยสร้างความมั่นใจให้กับบุคคล เกิดความประทับใจ น่าเชื่อถือ แก่ผู้พบเห็น ทำให้
สามารถสร้างสัมพันธภาพอันดีให้เกิดขึ้นได้ในสังคม บุคลิกภาพสามารถปรับปรุงได้ตลอดเวลา เพื่อให้เหมาะสม
เข้ากับยุคสมัย และสภาพแวดล้อมในสังคม เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
บุคลิกภาพบางส่วนกำหนดโดยพันธุกรรม เช่น รูปร่าง หน้าตา ผิวพรรณ แต่บุคลิกภาพบางส่วนสามารถปรับแต่งและพัฒนาได้
เช่น การพูดจา การแต่งกาย อารมณ์ ซึ่งจะมีผลต่อบุคลิกภาพของบุคคลที่แสดงออกให้ผู้อื่นเห็น ซึ่งคนเราสามารถปรับปรุงและพัฒนาสิ่งเหล่านี้
ให้ตนเองดูดี เหมาะสมตามบทบาท หน้าที่ ให้เป็นที่ประทับใจแก่กันและกันได้
แนวทางการปรับปรุงบุคลิกภายใน
๑. การยอมรับความจริงเกี่ยวกับตนเอง คือ การยอมรับว่าตนมีสภาพ เช่นนั้นไม่ว่าจะ เป็นที่นิยม
ชมชอบของบุคคลอื่นหรือไม่ บุคคลย่อมมีโอกาสแสวงหา ความสุขความสำเร็จ ได้จากสิ่งที่ตนมี เช่น หน้าตาไม่สวย แต่เป็นคนร่าเริง ลักษณะเช่นนี้เรียกว่า สวยข้างใน
๒. การปรับปรุงในส่วนที่จะปรับปรุงได้ ดังได้กล่าวแล้วว่า องค์ประกอบของบุคลิกภาพ หลายอย่างย่อมอยู่ในวิสัย ที่แต่ละคน จะปรับปรุงให้ดีขึ้นได้ ถ้าได้ วิเคราะห์ตนเอง โดยละเอียดแล้วก็จะมองเห็นสิ่งที่ควรปรับปรุงอยู่หลายประการ เมื่อเราทราบความจริงเช่นนั้น บุคคลควรพยายามปรับปรุง ในสิ่งที่ทำได้และ ข้อสำคัญจะต้อง กระทำด้วยตนเอง จะให้คนอื่น ทำแทนไม่ได้ และที่ควรเริ่มปรับปรุงก่อนคือ การปรับจิตปรับใจ ให้ยอมรับได้ อภัยได้ หลังจากนั้นจะปรับเรื่องใดๆ ก็ง่ายแล้ว
๓. การใช้สิ่งอื่นๆ
เพื่อส่งเสริมบุคลิกภาพ เป็นธรรมดาคนที่หน้าตาผิวพรรณดี ย่อมจะมี กำไรได้เปรียบผู้อื่น แต่กิริยามารยาท และ การวางตัวในสังคม ย่อมเป็นส่วนประกอบอันสำคัญ ที่ทำให้บุคลิกภาพของคนแตกต่างกัน คนสวยที่ขาดมารยาทอันดีงามอาจเป็น คนที่น่ารังเกียจ ของสังคม คนหน้าตาไม่สวย แต่ประพฤติดี ย่อมเป็นที่นิยมชมชอบ ของคนทั่วไป คนรูปหล่อนิสัยเลว กับคนขี้เหล่นิสัยดี เราจะเลือกใคร ความสวยเป็นคุณสมบัติเบื้องต้น ซึ่งถ้าบุคคลส่งเสริม ด้วยวิธีการอันถูกต้อง จึงจะเกิดประโยชน์ ถ้าส่งเสริมไม่ดี ก็จะเป็นผลร้ายแก่ตนเอง สิ่งที่จะนำมาใช้ หรือส่งเสริมรูปธรรมของตนนั้นมีอยู่เป็นอันมากเช่น มารยาทอันดี น้ำใจที่กว้างขวาง การยึดมั่นในศีลธรรมที่ถูกต้อง การวางตัวที่ถูกที่ควร ไมตรีจิตที่มีต่อคนอื่น ความรับผิดชอบ ความโอบอ้อมอารีล้วน แต่เป็นคุณสมบัติ ที่ดีใน การส่งเสริมบุคลิกภาพ พฤติกรรมเหล่านี้ เป็นส่วนหนึ่งของบุคลิกภาพทั้งสิ้น
๔. การรู้สึกความท้อถอย บุคลิกภาพที่ไม่สร้างสรรค์และอยู่ภายในตัวตนแล้ว ทำให้ความเป็นคนๆ นั้นไม่สมบูรณ์ ได้แก่ ความท้อถอย
แม้ว่า เป็นประโยคสั้นๆ แต่ถ้าอาการนี้ ถ้าเกิดขึ้นกับใครแล้ว อาการนี้จะเข้ามาทำลายความสมดุลในตัวเรา เข้ามาแทรกในความรู้สึกนึกคิด
ทำให้พลัง และศักยภาพของเราลดน้อยลงกว่าครึ่ง ในชีวิตประจำวันของเราแต่ละคนมีหลายเรื่องที่เราสมหวัง และก็มีอีกหลายเรื่องเหมือนกัน
ที่เรารู้สึกเสียใจพูดไม่ออก บอกกับใครก็ไม่ได้ หรือถ้าบอกไปแล้ว อาจทำให้ความทุกข์ที่มีอยู่ มีมากกว่าเดิม อาการที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูก บางครั้งเหนื่อย เบื่อ อ่อนล้า มีความคับข้องใจ ตัดสินปัญหาง่ายๆที่น่าจะทำได้ แต่ก็ทำไม่ได้ และในทางจิตวิทยาเราเรียกว่า อาการท้อ หรือถ้าพูดให้เป็นวิชาการ เราเรียกอาการเช่นนี้ว่า ความท้อถอย
ภายนอก
๑. การปรับปรุงรูปร่างหน้าตา เป็นรูปลักษณะภายนอก เป็นสิ่งที่จะสร้างความประทับใจในครั้งแรกให้แก่ผู้พบเห็น การปรับปรุงรูปร่างหน้าตา เราทุกคนสามารถทำได้โดยยึดหลัก คือ
สุขภาพ ผู้มีสุขภาพดี รูปร่างหน้าตาก็จะสดชื่นทำให้เป็นคนร่าเริงอยู่เสมอ
ความสะอาด ผู้ที่รักษาความสะอาดทั้งร่างกายและใบหน้าอยู่เสมอ ทำให้แลดูสดใสและเกิดความาประทับใจแก่ผู้พบเห็น
การยิ้ม การมีใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสแสดงถึงการเป็นคนอารมณ์ดี และแสดงถึงการมีมนุษย์สัมพันธ์
หน้าตา การมีหน้าตาที่สวย หล่อ ก็มีประโยชน์เหมือนกัน แต่ใช่ว่าคนที่ไม่สวย หล่อ จะดูไม่ดี ขอแค่มีองประกอบ ที่ผ่านมาทั้งสามข้อก็ถือว่าใช้ได้แล้ว
๒. การปรับปรุงการแต่งกาย การแต่งกายที่ดีย่อมก่อให้เกิดเอกลักษณ์ที่เด่น และมีค่าต่อบุคลิกภาพของบุคคล การแต่งกายที่ดีนั้นก็คือ การรู้จักใช้เสื้อผ้าที่สะอาด ตัดเย็บด้วยความประณีตเรียบร้อย ไม่จำเป็นต้องใช้สินค้าที่มีราคาแพง ควรรีดให้เรียบร้อย ใส่สีที่เข้าชุดกันการแต่งกายสามารถช่วยพัฒนาบุคลิกภาพของเราได้ เพราะสามารถช่วยปกปิดข้อบกพร่องของร่างกาย และช่วยเสริมจุดเด่นของรูปร่างหน้าตาให้ดูดี มีสง่ามากขึ้น อาจสรุปหลักการแต่งกายที่ดีที่ช่วยเสริมบุคลิกภาพได้ 4 ประการ ดังนี้
ความสุภาพ หมายถึง การแต่งกายสุภาพทั้งสีและแบบ
ความประณีต หมายถึง เสื้อผ้าที่ตัดเย็บด้วยความประณีตเหมาะสมกับรูปร่างของผู้สวมใส่
ความสะอาด หมายถึง ความสะอาดทั้งเสื้อผ้าและอุปกรณ์ที่ใช้กับผ้า
ความประหยัด หมายถึง การใช้เสื้อผ้าที่มีราคาประหยัด โดยไม่ทำให้เสียบุคลิกภาพ
๓. การปรับปรุงในเรื่องการติดต่อสื่อสาร บุคคลจะประสบความสำเร็จด้วยดีต้องอาศัยการติดต่อสื่อสารที่ดี การที่จะชักจูงให้คนอื่นยอมรับความคิดเรา เราต้องมีความสามารในการติดต่อสื่อสารให้ผู้ฟังทราบถึงจุดประสงค์ของเรา การติดต่อสื่อสารที่ดีต้องเป็น กระบวนการสองทางคือ ซึ่งหมายถึงการพูดและการฟัง ทักษะในเรื่องนี้สามารถเรียนรู้กันได้ เพื่อทำให้เราประสบผลสำเร็จในการทำงาน
๔. การปรับปรุงการพูด การที่เราจะต้องติดต่อกับบุคคลมากหน้าหลายตา หรือการทำงานอยู่กับคนเกือบทุกประเภทและทุกอาชีพ จะต้องพูดให้ผู้ฟังเข้าใจจุดมุ่งหมายของเรานั้นเราจะต้องเป็นคนที่พูดเก่งซึ่งหมายถึง สามารถพูดให้ผู้ฟังเข้าใจในเรื่องที่เราพูดได้อย่างชัดเจน และเกิดความคิดคล้อยตามในที่สุด นอกจากนี้กิริยาท่าทางของผู้พูด การวางสีหน้า และการแสดงออกของเราต้องแสดงความเชื่อมั่นในตนเอง การพูดตามสบายตามธรรมชาติจะช่วยให้การพูดน่าฟังยิ่งขึ้น ข้อควรระวังในการพูด
อย่าพูดมากเกินไป
ใช้คำพูดหรือภาษาให้ถูกต้อง
เสียงพูดที่น่าฟัง
การวางกิริยาท่าทาง การยิ้ม สีหน้าให้เป็นธรรมชาติ
๕. การปรับปรุงการฟัง ผู้ฟังส่วนใหญ่เมื่อต้องฟังเรื่องเล่า หรือการสนทนา ในบางครั้งหากยาวนาน
อาจเกิดความเบื่อหน่าย ใจลอย มีความคิดอื่นเข้ามาแทรกในขณะที่ฟัง ทำให้อาจไม่เข้าใจในสิ่งที่พูดต้องการ
สื่อสารได้ ข้อควรระวังในการฟัง
แสดงสีหน้าทางทางสนใจผู้พูด
ระงับสติอารมณ์เมื่อได้รับฟังในสิ่งที่ไม่สบอารมณ์
จับความคิดเห็นของผู้พูดให้ได้
ไม่ควรให้ความสนใจต่อสิ่งรอบข้างที่รบกวน
คิดคาดคะเนความรู้สึกนึกคิดของผู้พูดให้ได้
๖. การปรับปรุงกิริยาท่าทาง กิริยาท่าทาง เป็นส่วนที่สำคัญอย่างหนึ่งที่สร้างความมั่นใจหรือความนับถือให้เกิดแก่ผู้อื่น เราอาจสร้างความประทับใจแก่ผู้พบเห็นได้ง่าย หากกิริยาท่าทางของเราทำให้เขาเกิดความศรัทธาและเชื่อถือกิริยาซ้ำซาก เช่นลูบศีรษะ เคาะเท้า ประสานข้อมือเข้า ๆ ออก ๆ ดึงเสื้อขยับหัวเข็มขัด ฯลฯ กิริยาเหล่านี้ทำให้บุคลิกภาพเสียไป ทำให้ผู้พบเห็นเกิดความรำคาญและเกิดความประทับใจในทางลบ หากมีผู้คอยท้วงติงและเจ้าตัวพยายามสังเกตตนเอง และฝึกฝนตนเองย่อมสามารถปรับปรุงภาพลักษณ์ไม่ดีเหล่านี้ได้
๗. มารยาท หมายถึง กิริยางดงามและอัธยาศัยไมตรี ที่บุคคลมีต่อบุคคลอื่นดี มารยาทเป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่า เราเป็นคนที่ใส่ใจต่อ ความรู้สึกของผู้อื่น ให้ความรู้สึกที่ดีแก่คนอื่น เช่น การแสดงความเคารพ การให้เกียรติคนที่อาวุโสกว่า เป็นต้น การที่บุคคลมีมารยาทดี ถือเป็นก้าวแรก ที่จำเป็นที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในชีวิต ในงานในอาชีพและการอยู่ร่วมกับคนอื่นในสังคม ซึ่งบุคคลจะต้องรู้จัก การแนะนำคนหลายคนให้รู้จักกันได้อย่างถูกต้องและไม่สับสน รู้จักการพูดคุยอย่างสุภาพ และรู้จักกฎระเบียบพื้นฐาน ในการอยู่ร่วมกับคนอื่น รวมถึงการสามารถแสดง
อัธยาศัยที่ดี
ต่อผู้อื่น
การมีมารยาทที่ดีจะช่วยให้บุคคลรู้สึกมั่นใจในการพบปะผู้คนได้เกือบทุกสถานการณ์ การรู้ว่าอะไรควรและอะไรที่ไม่ควร การรู้จักวิธีการที่จะวางตัวให้เหมาะสมกับกาละโอกาส ไม่แสดงกิริยามารยาทที่ดูหมิ่นหยาบคาย ไม่ให้เกียรติผู้อื่น หรือทำร้าย ความรู้สึกของผู้อื่น แม้กฎเกณฑ์และมารยาทในสังคมปัจจุบันจะเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่หลักการพื้นฐานทั่วไป เรื่องมารยาทยัง คงเหมือนเดิมเช่น ความเป็นผู้มีน้ำใจดี การระลึกถึงผู้อื่น และอัธยาศัยอันดีที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเลย ดังนั้นจึงกล่าวสรุปได้ว่า มารยาทที่เหมาะสมในสังคม เป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างมาก สำหรับบุคคลทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่ผู้บริหารและผู้นำทุกระดับชั้น จนถึงคนระดับล่างๆ ก็ควรจะได้รับรู้และศึกษา เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติตน ให้ถูกต้องตามหลักสากล