Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ทฤษฎีชีวภาพทางการแพทย์ (Biological Theories or Biomedical Model) - Coggle…
ทฤษฎีชีวภาพทางการแพทย์
(Biological Theories or Biomedical Model)
กำเนิดขึ้นปลายศตวรรษที่ 18 (ประมาณ ค.ศ. 1900)
โดยอดอล์ฟ ไมเออร์ (Adolf Meyer: 1866-1950)
ซึ่งได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับการเจ็บป่วยทางจิตเวชว่า
มีสาเหตุมาจากร่างกายและจิตใจ และอธิบายว่า
บุคคลเป็นหน่วยรวมขององค์ประกอบด้านชีวภาพ
และจิตใจ การเจ็บป่วยทางจิตเป็นผลมาจากการมี
พยาธิสภาพทางด้านชีวภาพและความล้มเหลวของ
การปรับตัวกับสิ่งแวดล้อม
แนวคิดหลักของทฤษฎีชีวภาพทางการแพทย์
1) บุคคลมีความแปรปรวนทางด้านอารมณ์และจิตใจ คือ ผู้ที่เจ็บป่วยเช่นเดียวกับ ผู้ป่วยทางกายโรคอื่นๆ เช่น โรคเบาหวาน หรือโรคความดันโลหิตสูง
2) สาเหตุการเจ็บป่วย เช่ือว่าเกิดจากความผิดปกติของการทำงานของสมอง โดยเฉพาะ Limbic system และ Synapse ในระบบประสาทส่วนกลาง
3) ความเจ็บป่วยจะมีลักษณะของโรคและมีอาการแสดงที่สามารถนำมาใช้เป็นข้อมูล ในการวินิจฉัยและจาแนกโรคได้
4) โรคทางจิตเวชมีการดาเนินโรคท่ีแน่นอนและสามารถพยากรณ์โรคได้
5) โรคทางจิตเวชสามารถรักษาได้โดยการรักษาแบบฝ่ายกาย เช่น การรักษาด้วยยา
6) แนวความคิดที่ว่าโรคจิตมีสาเหตุมาจากปัจจัยทางชีวภาพ ช่วยลดความรู้สึกเป็นตราบาป (Stigma) ของผู้ป่วยและครอบครัว
สาเหตุของความผิดปกติทางจิต
พันธุกรรม (Genetic)
จากการศึกษาที่ผ่านมาพบว่าความชุกของการเกิดความผิดปกติทางจิตเวช
มี ความสัมพันธ์กับประวัติการเจ็บป่วยทางจิตเวชของบุคคลในครอบครัว
โดยเฉพาะโรคจิตเภท (Schizophrenia) โรคอารมณ์สองขั้ว
(Bipolar disorder) และโรคซึมเศร้า (Major depressive disorder)
สารสื่อประสาท (Neurotransmitters)
1) Monoamines สารสื่อประสาทสาคัญ คือ Dopamine มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับ การเคลื่อนไหวและการประสานงานของกล้ามเนื้อ และด้านอารมณ์ Norepinephrine มีผลต่อระบบ ประสาทอัตโนมัติของบุคคล และ Serotonin โดย Dopamine และ Norepinephrine ที่มีมาก เกินไปจะสัมพันธ์กับการเกิดโรคจิตเภท (Schizophrenia) และแมเนีย (Mania) แต่หากมีน้อยเกินไป
จะเก่ียวข้องกับการเกิดโรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease) และภาวะซึมเศร้า (Depression) ขณะที่ Serotonin ที่มากเกินไปจะกระตุ้นให้เกิดความวิตกกังวล แต่หากมีน้อยเกินไปจะสัมพันธ์กับการเกิดโรคซึมเศร้า
2) Amino acid สารสื่อประสาทสาคัญ คือ GABA (Gamma-aminobytyric acid) ซึ่งทาหน้าที่ลดความตื่นเต้น ลดความวิตกกังวล หากพบว่ามีสารน้ีน้อยจะสัมพันธ์กับการเกิด โรคจิตเภทและแมเนีย
2.3) Neuropeptide สารสื่อประสาทสาคัญ คือ Somatostatin Neurotensin และ Substance P ซึ่งเกี่ยวข้องกับการควบคุมอารมณ์และความเจ็บปวด
2.4) Cholinergics สารสื่อประสาทสาคัญ คือ Acetylcholine มีบทบาทเกี่ยวข้อง กับการเรียนรู้ การจา การควบคุมอารมณ์ การนอนหลับ และการตื่นตัว
ความผิดปกติของโครงสร้างและการทำงานของสมอง
(Structure and functional of brain)
1) Cerebrum เป็นสมองส่วนท่ีมีขนาดใหญ่ที่สุด ทาหน้าท่ีสำคัญเกี่ยวกับการ รู้สึกตัว การคิด การเคลื่อนไหว และการเรียนรู้
2) Brainstem ประกอบด้วย midbrain, pons และ medulla oblongata หากมีความผิดปกติของสมองส่วนน้ีอาจพบอาการมือสั่นในผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน
3) Cerebellum เป็นศูนย์กลางในการทางานท่ีเก่ียวข้องกับการเคลื่อนไหวและ การทรงตัว รับข้อมูลจากส่วนของร่างกาย เช่น กล้ามเน้ือ ข้อต่อ อวัยวะ และส่วนประกอบอ่ืนๆ ของ ระบบประสาทส่วนกลาง
3.4) Limbic system ประกอบด้วย thalamus, hypothalamus, hippocampus และ amygdala โดย thalamus จะควบคุมการกระทำ ความรู้สึก และอารมณ์ hypothalamus จะเก่ียวข้องกับการทาให้ร่างกายอยู่ในภาวะสมดุลเช่นอุณหภูมิของร่างกาย ควบคุมความอยากอาหาร การทำงานของต่อมไร้ท่อ ความต้องการทางเพศ เป็นต้น ส่วน hippocampus และ amygdala ทาหน้าท่ีเกี่ยวข้องกับการควบคุมสภาวะทางอารมณ์และความจำ หากมีความผิดปกติของสมองระบบนี้อาจเกี่ยวข้องกับการเจ็บป่วยทางจิต
พัฒนาการของเซลล์ประสาท (Neural development)
ความผิดปกติของโครงสร้างสมองอาจมาจากการพัฒนาโครงสร้างระบบประสาท ขณะอยู่ในครรภ์ โดยเฉพาะช่วง 20 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ ซึ่งความผิดปกติน้ีอาจเกิดจากการ ติดเชื้อหรือจากภาวะแทรกซ้อนในระหว่างที่มารดาต้ังครรภ์หรือมารดาเสพสารเสพติด เช่น แอลกอฮอล์ จะทาให้เกิดภาวะทารกติดแอลกอฮอล์ (Fetal alcohol syndrome) และนาไปสู่การมี ภาวะปัญญาอ่อน (Mental retardation) ได้
การประยุกต์ใช้ในการพยาบาลสุขภาพจิตและจิตเวช
พยาบาลจะให้การดูแลทางด้านร่างกายแก่ผู้ป่วยจิตเวช เช่น ดูแลให้รับประทานยาตาม แผนการรักษาของแพทย์ ติดตามการนอนหลับพักผ่อน การทากิจกรรม การรับประทานอาหาร ภาวะโภชนาการ และการขับถ่าย ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง ครบถ้วน รวมทั้งเตรียมความ พร้อมของผู้ป่วยสำหรับการบาบัดรักษาทางด้านร่างกายอื่นๆ เช่น
การรักษาด้วยไฟฟ้า (Halter, 2014) แต่การพยาบาลตามแนวคิดทฤษฎีชีวภาพทางการแพทย์ ไม่สามารถให้การดูแลผู้ป่วยได้อย่าง เป็นองค์รวม ดังนั้นพยาบาลจะต้องประยุกต์ใช้กระบวนการพยาบาลโดยบูรณาการทฤษฎีชีวภาพทาง การแพทย์ร่วมกับแนวคิดทฤษฎีอื่นๆ
เพื่อให้การพยาบาลอย่างครอบคลุมและมีประสิทธิภาพสูงสุด