Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
เตียง 7 ตึก มภร 10/2 นศพต.เขมินทิรา ปัญจบุรี เลขที่ 9 - Coggle Diagram
เตียง 7 ตึก มภร 10/2
นศพต.เขมินทิรา ปัญจบุรี เลขที่ 9
ข้อมูลส่วนบุคคล
ผู้ป่วยหญิงไทย เตียง 7 ตึก มภร 10/2 อายุ 72 ปี สถานภาพสมรส เชื้อชาติไทย สัญชาติไทย ศาสนาพุทธ ระดับการศึกษา ป.4 อาชีพแม่บ้าน ภูมิลำเนาเดิมกรุงเทพ
วันที่รับไว้ในโรงพยาบาล 30/5/63
วันที่รับไว้ในความดูแล 4/10/63
การวินิจฉัยโรคแรกรับ bilateral acute
MCA infarction
การวินิจฉัยโรคปัจจุบัน
ACC
from
ischemic stroke
ประวัติการผ่าตัด
ทำ cabg ที่โรงพยาบาลพญาไทย เมื่อ 10 ปี ที่แล้ว
ทำ
PCI
เมื่อ 6-7 ปีที่แล้ว
ข้อมูลเกี่ยวกับการเจ็บป่วย
ประวัติการเจ็บป่วยปัจจุบัน
1 วันก่อนมาโรงพยาบาล ผู้ป่วยมีอาการซึมลง รับประทานอาหารได้น้อยลง 2 ชั่วโมงก่อนมาโรงพยาบาล ญาติพบว่าผู้ป่วยมีอาการซึมลง ปลุกไม่ตื่น ไม่มีอาการชักเกร็ง ตาค้าง ไม่มีอาเจียน หายใจเร็ว หอบเหนื่อย ญาติจึงนำส่งโรงพยาบาล
อาการสำคัญ
ซึม ปลุกไม่ตื่น 1 วันก่อนมาโรงพยาบาล
อาการแรกรับ
On ET tube no.7.5 #22 หายใจตามเครื่องได้ ไม่มีหอบเหนื่อย R/F
ประวัติการเจ็บป่วยในอดีต
HT
,
CKD
,
DLP
,
SVT
,
IHD
s/p
CABG
10 ปี,
Schizophrenia
ยาและสารน้ำที่ได้รับ
POVANIL 0.5 MG. TAB. รับประทานครั้งละ 2 เม็ด วันละ 1 ครั้ง ก่อนนอน เพื่อควบคุมอาการชัก คลายความวิตกกังวล อาการกระตุก โรคจิตเภท และอาการเจ็บปวด
MYSOVEN 200 MG. GRANULE 1 ซอง ละลายน้ำ 1 แก้ว ดื่มวันละ 3 ครั้ง หลังอาหาร เช้า กลางวัน เย็น เพื่อช่วยให้เสมหะเหนียวเหลวลดลง ขับมูก
BACLOFEN 10 MG. TAB. รับประทานครั้งละ 1 เม็ด วันละ 3 ครั้ง หลังอาหารเช้า กลางวัน เย็น เพื่อบรรเทาอาการหดรัดเกร็งของกล้ามเนื้อ
SENOLAX TAB. รับประทานครั้งละ 3 เม็ด วันละ 1 ครั้ง ก่อนนอน เพื่อรักษาผู้ป่วยที่มีภาวะท้องผูก กระตุ้นการถ่ายอุจจาระ
APRESOLINE 25 MG. TAB. รับประทานครั้งละ 1 เม็ด วันละ 4 ครั้ง หลังอาหาร เช้า กลางวัน เย็น ก่อนนอน เพื่อรักษาภาวะความดันโลหิตสูง และภาวะหัวใจวาย
METFORMIN 500 MG. TAB. (DPF) รับประทานครั้งละ 1 เม็ด วันละ 1 ครั้ง หลังอาหารเช้า เพื่อลดระดับน้ำตาลในเลือด
MADIPLOT 20 MG. TAB. รับประทานครั้งละ 1 เม็ด วันละ 2 ครั้ง หลังอาหาร เช้า เย็น เพื่อใช้รักษาภาวะความดันโลหิตสูง
B-ASPIRIN EC 81 MG. TAB.(NEW) รับประทานครั้งละ 1 เม็ด วันละ 1 ครั้ง หลังอาหารเช้า เพื่อต้านการจับกลุ่มของเกร็ดเลือด
OMEPRAZOLE CAPSULES 20 MG. (GPO) รับประทานครั้งละ 1 เม็ด วันละ 1 ครั้ง ก่อนอาหาร เช้า เพื่อลดกรดในกระเพาะอาหาร รักษาแผลในลำไส้ส่วนต้น แผลในกระเพาะอาหาร หลอดอาหารอักเสบ
HEPALAC SYRUP 100 ML. รับประทานครั้งละ 30 cc. เวลาท้องผูก เพื่อกระตุ้นให้มีการถ่านอุจจาระ
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
เสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการนอนนานๆ
วัตถุประสงค์
ป้องกันภาววะแทรกซ้อนจากการนอนนาน เช่น แผลกดทับ ข้อยึดติด กล้ามเนื้อลีบ
กิจกรรมการพยาบาล
ป้องกันแผลกดทับ
2.ดูแลทำความสะอากบริเวณผิวหนัง โดยเฉพาะบริเวณหลังและก้นกบให้แห้ง และสะอาดอยู่เสมอ
3.ปูทีนอนให้สะอาดและเรียบตึงไม่ควรให้ผิวหนังของผู้ป่วยสัมผีสกับผ้ายางโดยตรง เพื่อป้องกันการอับชื้น และป้องกันการเสียดสี
1.ประเมินลักษณะของผิวหนังบริเวณที่ถูกกดทับ ดูแลบริเวณปุ้มกระดูก และเปลี่ยนท่าทุกๆ 2 ชั่วโมงเพื่อป้องกันการเกิดแผลกดทับเพิ่มเติม
4.ใช้ที่นอนลมปูรองนอนช่วยในการลดแรงกดทับที่ผิวหนังส่วนต่างๆ
5.กระตุ้นในการช่วยออกกำลังกายบนเตียงเพื่อให้อวัยวะต่างๆไม่ถูกจำกัดการเคลื่อนไหว เพื่อไม่ให้เกิดการกดทับตลอดเวลา
6.นวดบริเวณปุ้มกระดูกหรือบริเวณผิวหนังเพื่อให้มีการไหวเวียนของเลือด และทาโลชั่นให้ผิวหนังมีความชุ้มชื่น
ป้องกันการเกิดกล้ามเนื้อลีบ ข้อยึดติด
1.ช่วยบริหารข้อต่างๆตามหลัก Range of motion และทำ Passive exercise
2.ดูแลส่วนต่างๆของร่างกายให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมโดยใช้หมอนช่วยในการรองเพื่อป้องกันข้อยึดติดและเท้าตก
3.ดูแลให้มีการพลิกตัวหรือขยับตัว โดยไม่นอนอยู่ท่าเดียวนาน เพื่อให้มีการเคลื่อนไหวของร่างกาย
ข้อมูลสนับสนุน
เป็นผู้ป่วยติดเตียง
ผู้ป่วยไม่สามารถขยับร่างกายเองได้
ผู้ป่วยมีแผลกดทับบริเวณก้นกบ Stage 1 2 และ 3 โดยแผล stage 3 มีขนาด 2x3 cm. และแผล stage 2 มีขนาด 1x2 cm.
ผู้ป่วยมีข้อศอกยึดติด และเท้าตก
ผู้ป่วยมีกล้ามเนื้อบริเวณขาลีบ
เป็นผู้สูงอายุ
การประเมินผล
1.ผู้ป่วยมีแผลกดทับบริเวณก้นกบ
2.ผู้ป่วยมีข้อยึดติดและเท้าตก
3.ผู้ป่วยมีกล้านเนื้อลีบบริเวณขา
เสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการใส่ ET-tube เป็นเวลานาน
ข้อมูลสนับสนุน
ผู้ป่วยใส้ ET-tube มาเป็นเวลา 5 เดือน
ผู้ป่วยมีเสมหะสีเขียวปนเหลือง เหนียวขน
ผู้ป่วยกัดท่อทำให้เกิดแผลที่บริเวณปาก
กิจกรรมการพยาบาล
4..สังเกตการทำงานของเครื่อง ventilator เช่น VT FiO2 อัตราการหายใจ mode ของ ventilation การใช้ PEEP CPAP หรือ PSV peak inspiration pressure และตั้งสัญญาณเตือน
5.วัดความดันของกระเปาะ ( cuff ) ET – tube โดยจะต้องใส่ลมในกระเปาะ (inflate cuff) ในอัตราที่พอเหมาะ เพื่อป้องกันการรั่วของอากาศออกรอบๆกระเปาะและป้องกันการสำลัก
3.ดูดเสมหะทุกครั้งที่ได้ยินเสียงเสมหะ โดยใช้เทคนิคป้องกันการเกิด VAP โดยดูดเสมหะในปากก่อน แล้วถึงจะดูดในท่อเป็นลำดับถัดไป ในการดูดเสมหะ จะต้องเพิ่มออกซิเจนก่อนและหลังดูดเสมหะทุกครั้ง
6.กระตุ้นและช่วยเหลือผู้ป่วยเปลี่ยนท่านอนทุก 1-2 ชม. จัดให้นอนศีรษะสูง 30-45 องศา เพื่อให้ปอดขยายตัวได้ดี
2.ประเมินสภาพการหายใจทุก 4 ชั่วโมง เช่น การฟังเสียงการหายใจ สังเกตการณ์ขยายของทรวงอก สังเกตภาวะพร่องออกซิเจน อาการหายใจเร็วหรือหายใจเหนื่อยหอบ และหายใจตามเครื่องได้หรือไม่
7.ล้างมือให้สะอาดทุกครั้ง ก่อนและหลังให้การพยาบาล
1.ดูแลท่อช่วยหายใจ ET – tube ให้คงอยู่ โดยการผูกท่อด้วยการติดพลาสเตอร์ไว้ ให้มั่นคงไม่เลื่อนหลุด และให้ท้ออยู่ในตำแหน่งที่ตั้งไว้
8.ทำความสะอาดปากฟันทุก 4 ชม.
9.สังเกตลักษณะ จำนวน สีและกลิ่นของเสมหะ
10.ให้ยาลดการเหนียวขนของเสมหะ ได้แก่ ยา MYSOVEN และพ่นยา INHALEX FORTE ตามแผนการรักษา และสังเกตภาวะแทรกซ้อนจากการให้ยา
การประเมินผล
1.ผู้ป่วยไม่มีแผลกดทับบริเวณที่ใส่ tube
2.ผู้ป่วยมีเสมหะเหนียวขนลดลง
มีการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ เนื่องจากไม่สามารถดูแลสุขลักษณะของตนเองได้
ข้อมูลสนับสนุน
ผู้ป่วยปัสสาวะมีลักษณะสีเหลืองเขียวปนหนอง และมีกลิ่นเหม็น
ค่า NEWS score = 5
จุดประสงค์
เพื่อลดการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ
กิจกรรมการพยาบาล
2.วัดอุณหภูมิร่างกาย เพื่อประเมินการติดเชื้อในร่างกาย
3.ดูแลทำความสะอาดบริเวณ Perineum อยู่เสมอ ให้สะอาดเเละไม่อับชื้น
1.ประเมินการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ โดยดูลักษณะของปัสสาวะ สี กลิ่น จำนวน
4.ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับน้ำอย่างเพียงพอ อย่างน้อย 2000 cc ต่อวัน
5.บันทึกปริมาณสารน้ำ ที่เข้า-ออกร่างกายทุกๆ 8 ชั่วโมง
6.ดูแลให้ได้รับยาปฏิชีวณะตามแผนการรักษา ได้แก่ ยา CIPROXYL
7.ให้การพยาบาลต่อผู้ป่วยโดยยึดหลักปราศจากเชื้อ
การประเมินผล
1.ปัสสาวะมีกลิ่นลดลง ไม่พบหนองปน
2.บริเวณ perineum สะอาดไม่อับชื้น
ผู้ป่วยเข้าสู่ระยะสุดท้ายของชีวิต
ข้อมูลสนับสนุน
เป็นผู้ป่วยที่ญาติยินยอมเซ็น NR
ญาติบอกว่าผู้ป่วยไม่อยากทรมาณและเจ็บปวด
กิจกรรมการพยาบาล
ด้านร่างกาย
3.ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ป่วยและญาติอย่างเต็มใจเมื่อมีความต้องการ
4.ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับ Feed BD สูตร 1.5:1 200x4F TV 1200 Tc 1500 น้ำตาม 100 ml. อย่างเพียงพอตามแผนการรักษา
2.แจ้งผู้ป่วยทุกครั้งก่อนทำกิจกรรมการพยาบาล และทำกิจกรรมการพยาบาลด้วยความนุ่มนวล
5.ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาตามแผนการรักษา
1.ดูแล personal hygiene และ unit care ผู้ป่วยให้สะอาดอยู่เสมอ จัดสภาพแวดล้อมให้สะอาด สงบ เพื่อให้ผู้ป่วยสุขสบายที่สุด
ด้านจิตใจ
3.สร้างสัมพันธภาพและความเชื่อมั่นในการรักษาของแพทย์และพยาบาลให้แก่ญาติ
4.แนะนำและให้ความรู้กับญาติในการเจ็บป่วยในครั้งนี้และผลที่จะตามมาในอนาคต
2.ส่งเสริมและแนะนำให้ญาติได้มีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมกับผู้ป่วย
5.ดูแลแบบประคับประคองตามแผนการรักษา
1.ทำความเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้ป่วยและญาติ
6.บอกข้อมูลต่างๆให้ญาติทราบ เพื่อให้ทราบถึงความก้าวหน้าของโรคและการดูแลรักษา
การประเมินผล
1.ญาติสามารถยอมรับเกี่ยวกับความเป็นไปของผู้ป่วย
2.ผู้ป่วยสุขสบายไม่เจ็บปวด
พยาธิสรีรวิทยา
โรคหลอดเลือดสมองที่เกิดจากการขาดเลือด (ischemic stroke) สามารถแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะ คือ เกิดการตีบตันของหลอดเลือดขนาดใหญ่และหลอดเลือดขนาดเล็กในสมอง และเกิด จากการอุดตันของลิ่มเลือดที่ไหลเวียนอยู่ในกระแสเลือด
2.การอุดตันของหลอดเลือดสมองที่เกิดจากลิ่มเลือดที่ไหลเวียนอยู่ในกระแสเลือด ต้นกำเนิดของลิ่มเลือด มักเกิดจากหัวใจ ภาวะหรือโรคหัวใจที่ทำ ให้เกิดลิ่มเลือดในกระแสเลือด ได้แก่ ภาวะหัวใจเต้นพลิ้ว (atrial fibrillation) โรคลิ้นหัวใจ (vulvular heart disease) หรือจาก การใส่ลิ้นหัวใจเทียม และภายหลังการผ่าตัดหัวใจ การอุดตันของหลอดเลือดสมองที่เกิดจากสิ่งอุดกั้น อื่น ๆ ที่ลอยในกระแสเลือด เช่น ฟองอากาศ ชิ้นส่วนของไขมันที่เกิดภายหลังจากการได้รับบาดเจ็บ หรือกระดูกหัก
1.การตีบตันของหลอดเลือดในสมองส่วนใหญ่มักจะมีความสัมพันธ์กับภาวะหลอดเลือด แข็งตัว (atherosclerosis) และความดันโลหิตสูง (hypertension) เป็นเวลานาน โดยภาวะหลอดเลือดแข็งตัวจะทำให้รูของหลอดเลือดแดงในสมองมีขนาดเล็กลง จนเลือดไม่สามารถไหลเวียนไปเลี้ยงสมองได้อย่างเพียงพอ การตีบตันหลอดเลือดสามารถเกิดขึ้นได้ทุกแห่งของหลอดเลือดสมอง โดยจะพบมากที่บริเวณหลอดเลือดแดงส่วนกลาง (middle cerebral arteries)
อาการและอาการแสดง
หน้าเบี้ยว ปากเบี้ยว ลิ้นแข็ง ควบคุมลิ้นไม่ได้
อ่อนแรงหรือสูญเสียการเคลื่อนไหว แขนขาชีคใดชีกหนึ่ง
เวียนศีรษะเฉียบพลัน ปวดศีรษะรุนแรง
พูดไม่ได้ พูดไชัด ไม่เข้าใจภาษาอย่างเฉียบพลัน ไม่เข้าใจคำพูดของผู้อื่น
ควบคุมการขับถ่ายอุจจาระและปัสสาวะไม่ได้
สูญเสียความรู้สึกทางประสาทสัมผัส เช่นไม่รู้เจ็บปวด ร้อน เย็น
สาเหตุ
ความดันโลหิตสูง เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุดของการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง ควรควบคุมความดันโลหิตให้น้อยกว่า 140/90 mmHg ในผู้ที่อายุน้อยกว่า 60 ปี, เป็นเบาหวาน หรือเป็นโรคไตวายเรื้อรัง และควรควบคุมความดันโลหิตให้น้อยกว่า 150/90 mmHg ในผู้ที่อายุมากกว่า 60 ปี
โรคเบาหวาน สำหรับผู้ป่วยเบาหวานควรควบคุมระดับน้ำตาลก่อนอาหารให้อยู่ระหว่าง 80 - 130 mg/dl หรือ น้ำตาลสะสม (HbA1C) ให้น้อยกว่า 7 เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดในร่างกาย
คอเลสเตอรอลในเลือดสูง การรับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง จะทำให้ร่างกายมีค่าไขมันไม่ดี (LDL) ในเลือดสูงซึ่งเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง
โรคอ้วน ควรควบคุมน้ำหนักให้มีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) อยู่ในช่วง 18.5 - 25 ซึ่งคำนวณโดยวัดน้ำหนักเป็นกิโลกรัมหารด้วยความสูงเป็นเมตรยกกำลังสอง
การขาดการออกกำลังกาย ควรออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30 - 40 นาที เป็นจำนวน 3 - 4 ครั้ง/ สัปดาห์
การสูบบุหรี่จัดและการดื่มสุราเป็นประจำ ผู้ชายที่ดื่มแอลกอฮอล์เกิน 2 หน่วย ( standard drink)/ วัน หรือมากกว่า 14 หน่วย/ สัปดาห์ ผู้หญิงที่ดื่มแอลกอฮอล์เกิน 1 หน่วย ( standard drink)/ วัน หรือมากกว่า 7 หน่วย / สัปดาห์ จะเพิ่มโอกาสเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง โดยที่ 1 standard drink มีค่าเท่ากับ 10-12 กรัมของ ethanol alcohol เช่น 1 standard drink ของเบียร์ที่มีแอลกอฮอล์ 4% จะมีปริมาณเท่ากับ 300 ml เป็นต้น
การใช้สารเสพติด
การหยุดหายใจขณะนอนหลับตอนกลางคืน ผู้ที่มีประวัติหยุดหายใจขณะนอนหลับตอนกลางคืน ซึ่งพบได้บ่อยในคนที่นอนกรนดังๆ หรือมีน้ำหนักตัวมากๆ ควรมาพบแพทย์เพื่อทำ sleep test ดูว่ามีออกซิเจนในเลือดต่ำในช่วงนอนหลับหรือไม่ ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดสมองตามมาได้
หลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงสมองบริเวณคอตีบ พบในผู้ที่มีอายุมาก มีความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมอง เช่น เป็นความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง สูบบุหรี่ สามารถตรวจคัดกรองได้โดยการทำอัลตร้าซาวนด์ดูหลอดเลือดบริเวณคอ
หัวใจเต้นผิดจังหวะหรือมีลิ้นหัวใจผิดปกติ สามารถทำให้เกิดลิ่มเลือดไปอุดตันในหลอดเลือดสมองได้ สามารถตรวจคัดกรองได้โดยการตรวจร่างกาย ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ หรือการตรวจหัวใจด้วยคลื่นความถี่สูง (echocardiogram)
สัญญาณเตือน
ชาหรืออ่อนแรงใบหน้าซีกใดซีกหนึ่งอย่างฉับพลัน ทำให้มุมปากตก ปากเบี้ยว อมน้ำไม่อยู่ น้ำไหลออกจากมุมปาก
ชาหรืออ่อนแรงที่แขนขาซีกใดซีกหนึ่งอย่างฉับพลัน สูญเสียการทรงตัว
พูดไม่ชัด พูดไม่ออก สับสน นึกคำพูดไม่ออก
การมองเห็นมีปัญหาฉับพลัน อาจมองเห็นภาพซ้อน มองเห็นภาพครึ่งเดียว ตาบอดหนึ่งหรือสองข้าง
มีอาการปวดศีรษะรุนแรงฉับพลัน
agenesis ของ Corpus callosum
พยาธิวิทยา
การศึกษาผลความเสียหายต่อ ACC ช่วยให้เข้าใจหน้าที่ของ ACC ในสมองปกติ พฤติกรรมที่สัมพันธ์กับรอยโรคใน ACC รวมทั้ง ความไม่สามารถตรวจจับควา,ผิดพลาด, ความยากลำบากอย่างรุนแรงในการแก้ความขัดแย้งในงาน Stroop task, ความอ่อนไหวทางอารมณ์, การขาดความใส่ใจ, และสภาวะไม่พูดและเสียการเคลื่อนไหว (akinetic mutism) มีหลักฐานว่าคนไข้โรคจิตเภทอาจมีความเสียหายใน ACC คืองานทดลองแสดงว่า คนไข้มีปัญหาในการแก้ความขัดแย้งกันทางปริภูมิในงานคล้าย ๆ กับ Stroop task และมี ERN ที่ผิดปกติ ผู้ร่วมการทดลองที่มีสมาธิสั้น มีการทำงานใน dACC ที่ต่ำกว่าเมื่อต้องทำงาน Stroop task รวม ๆ กันแล้ว สิ่งที่ค้นพบเหล่านี้กับผลที่ได้กับงานที่ใช้ MRI และ EEG ยืนยันว่า ACC มีหน้าที่การงานหลายอย่าง
นอกจากนั้นแล้ว ยังมีหลักฐานด้วยว่า ACC อาจมีบทบาทในโรคย้ำคิดย้ำทำ (obsessive-compulsive disorder, ตัวย่อ OCD) เพราะว่า คนไข้มีระดับการทำงานของสารสื่อประสาทกลูตาเมตที่ต่ำกว่าธรรมชาติ เทียบกับเขตสมองอื่น ๆ ที่เชื่อว่า มีระดับการทำงานของกลูตาเมตเกินกว่าปกติในคนไข้ งานวิเคราะห์อภิมานในปี ค.ศ. 2009 ที่ใช้วิธีวิเคราะห์ทางสถิติแบบ Signed differential mapping ของงานศึกษาที่ใช้เทคนิค voxel-based morphometry ซึ่งเปรียบเทียบคนไข้ OCD กับคนปกติ พบว่า คนไข้มีปริมาณเนื้อเทามากขึ้นใน lenticular nucleus ในสมองทั้งสองซีก ขยายไปจนถึง caudate nuclei และมีปริมาณเนื้อเทาที่ลดลงใน medial frontal cortex/anterior cingulate cortex ทางด้านล่าง (dorsal) ในสมองทั้งสองซีก เปรียบเทียบกับคนไข้ที่มีโรควิตกกังวลอื่น ๆ ซึ่งมักจะมีปริมาณเนื้อเทาใน lenticular nucleus ที่ลดลง (แทนที่จะเพิ่มขึ้น) แต่ก็จะมีปริมาณเนื้อเทาใน medial frontal cortex/anterior cingulate cortex ทางด้านล่าง (dorsal) ที่ลดลงด้วย
nursing care plan
ผู้ป่วย NR on Prolong ET-tube No.7.5 #22 ต่อ Ventilator P-CMV mode keep PC 14 PEEP 5 FiO2 0.25 RR 5 FT 2 Pressure cuff 30 หายใจตามเครื่องได้ มีหายใจเร็วบางครั้งเมื่อทำหัตถการ ทำการเปลี่ยนสายยึด tube และตรวจดูตำแหน่งของ tube ให้ fix ที่ 22 ทุกวัน ไม่พบแผลกดทับบริเวณที่ใส่ tube
ผู้ป่วย on NG tube ที่บริเวณจมูกด้านขวา ตำแหน่ง 2 ขีดครึ่ง ได้รับ Feed BD สูตร 1.5:1 200x4F TV 1200 Tc 1500 น้ำตาม 100 ml. Feed รับได้หมด ไม่มคลื่นไส้ อาเจียน
ได้ทำการ suction clear airway โดยยึดหลักป้องกันการเกิด VAB โดยได้ดูดเสมหะที่ปากก่อน แล้วจึงไปดูดในคอในลำดับถัดไป เสมหะมีลักษณะสีใส เหนียวขนลดลง ได้ 4 สาย ได้ทำการให้ยาพ่น Inhalex forte หลังจากนั้น เมื่อมาดูดเสมหะพบว่าเสมหะมีลักษะณะเหลวใสขึ้น ได้ 4 สาย
ผู้ป่วยมีแผลกดทับบริเวณก้นกบ แผล Stage 2 มีขนาด 3x3 cm. ทำแผลปิดด้วย duoderm ทับด้วยก๊อซและท๊อปก๊อซและปิดป้องกันด้วย fixumoll
ผู้ป่วยสามารถอุจจาระและปัสสารวะได้เอง โดยได้ปัสสาวะไป 2 ครั้ง ครั้ง ครั้งแรกปัสสาวะมีลักษณะสีเหลืองเข้ม มีกลิ่นเหม็นลดลง ได้ทำการทำความสะอาด perineum care ไม่ให้อับชื้น ป้องกันการติดเชื้อ
ผู้ป่วยไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้เอง เริ่มมีข้อยึดติดและกล้ามเนื้อขาลีบได้พยายามทำ passive exercise เพื่อป้องกับข้อยึดติดและกล้ามเนื้อลีบ ได้ทำการเปลี่ยนท่า ทุกๆ 2 ชั่วโมง
Problem list
ผู้ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจเป็นเวลานาน
ผู้ป่วยมีภาวะติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
ผู้ป่วยมีภาวะแทรกซ้อนจากการนอนนาน เช่น แผลกดทับ ข้อยึดติด
ประเด็น ethic
ผู้ป่วยหญิงไทย มาโรงพยาบาลด้วยอาการซึม ปลุกไม่ตื่น 1 วันก่อนมาโรงพยาบาล วินิจฉัยเป็น ACC frome ischemic stroke ผู้ป่วยไม่รู้สึกตัว ลืมตาได้เเต่ไม่ตอบสนอง on prolong ET-tube ใส่ tube มาเป็นเวลา 5 เดือน ซึ่งโดยปกติจะใส่ไม่เกิน 2 สัปดาห์ และแนะนำให้ทำการเจาะคอเพื่อจะได้ไปรักษาต่อที่บ้านต่อได้ง่ายขึ้น แต่ด้สนญาติของผู้ป่วยได้บอกว่ากลัวว่าถ้าหากเจาะคอและนำกลับบ้านจะอยู่ได้ไม่ถึง 2 อาทิตย์ เนื่องจากจะต้องทำการ suction บ่อยครั้ง และต้องเช่าเครื่องซึ่งมีราคาแพงไม่ค้ม จึงให้ผู้ป่วยใส่ ET-tube ต่อไป