Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

Hyperglycemia - Coggle Diagram

- - - - ง่วงซึม แพ้ยา เช่น มีผื่น บวม เป็นแผลที่เยื่อบุช่องปาก มีไข้
      - คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย อาการดีซ่าน ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ อาจมีเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
  - - - ปวดตามข้อ ท้องเสีย มีอาการอักเสบที่คอและจมูก
      - อาจมีอาการติดเชื้อที่ทางเดินปัสสาวะ นอนไม่หลับ ปวดขา ปวดกล้ามเนื้อแขนและขา กล้ามเนื้อเกร็ง และคลื่นไส้
  - - - มีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ เกิดภาวะการเผาผลาญเป็นด่าง(Metabolic alkalosis)ความไม่สมดุลของเกลือแร่ เกลือโซเดียมมากเกินไป ระดับแคลเซียมและโปแตสเซียมต่ำ
  - - - ปวดศีรษะ ท้องร่วง ท้องผูก ง่วงซึม รู้สึกไม่สบาย ป่วย ปวดท้องหรือมีอาการท้องบิด ปากแห้ง คลื่นไส้หรืออาเจียน
  - - - ระคายเคืองกระเพาะอาหาร ทำให้เลือดออกในกระเพาะอาหาร ทำลายหน้าที่ของเกล็ดเลือด อาจมีเลือดกำเดาออก เลือดแข็งตัวช้า หูอื้อ เวียนศีรษะ
        ผื่นแดง ลมพิษ แพ้ได้ซึ่งจะมีอาการบวม ผื่นคัน ผิวหนังลอก
- - - - ระดับน้ำตาลในเลือดสูงมาก
        
        DTX วันที่ 4/10/2563 ได้ 258 mg% วันที่5/10/2563 ได้ 292 mg% วันที่ 6/10/2563 ได้ 226 mg% วันที่ 7/10/2563 ได้ 112mg%
      - ผู้ป่วยบอกว่า "บิดามารดามีโรคประจำตัวเป็นโรคเบาหวาน"
      - ผู้ป่วยมีอาการง่วงเหงาหาวนอน ตลอดเวลา
      - Vital sign T=37.7 องศาเซลเซียส , P= 74ครั้ง/นาที , R=18ครั้ง/นาที BP=154/68 mmHg
    - - ผู้ป่วยไม่เกิดภาวะ hyperglycemia
    - - Observeอาการ Hyperglycemia เช่น กระสับกระส่าย หน้าแดง คลื่นไส้อาเจียน กระหายน้ำ ปัสสาวะมาก ซึม ไม่รู้สึกตัว ชีพจรเต้นเร็ว เพื่อประเมินภาวะสภาพร่างกายของผู้ป่วยและให้การพยาบาลได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
      - ดูแล check vital sign ทุก 4 ชั่วโมง เพื่อประเมินสภาพร่างกายของผู้ป่วยถ้าระดับน้ำตาลในเลือดสูงจะพบว่ามีอุณหภูมิสูงขึ้น ชีพจรเต้นเร็ว ความดันโลหิตสูง
      - แนะนำญาติให้คอยสังเกตอาการน้ำตาลในเลือดสูงของผู้ป่วย เช่น หน้าแดง ตัวร้อน ปัสสาวะออกมากหากพบอาการผิดปกติตามที่ได้ให้คำแนะนำให้ญาติรีบแจ้งพยาบาลทันทีเพื่อให้ญาติได้มีส่วนร่วมในการดูแลผู้ป่วย
      - ติดตามผลการตรวจทางห้องปฎิบัติการอย่างต่อเนื่อง เช่น การตรวจ urine examination เพื่อประเมินระดับน้ำตาลในปัสสาวะไหลเวียนให้ดีขึ้น
      - เจาะ DTX ตามแผนการรักษาของแพทย์ เวลา 6.00 น. 11.00 น. 15.00 น.และ 20.00 น. เพื่อประเมินภาวะน้ำตาลในเลือดสูงและเพื่อให้การพยาบาลได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
      - ดูแลให้ Regular insulin 8-10 unit sc ตามแผนการรักษาของแพทย์และสังเกตอาการภาวะน้ำตาลในเลือด เช่น หน้ามืด ใจสั่น เหงื่อออก ตาพร่า ชาตามปลายมือปลายเท้าเพื่อลดระดับน้ำตาลในเลือดที่มีค่าสูงเป็นชนิดอ่อนถึงปานกลางและแนะนำญาติสังเกตอาการข้างเคียงของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เช่น หน้ามืด ใจสั่น เหงื่อออก ตาพร่าให้แจ้งพยาบาล
      - ดูแลให้ insulin neutral soluble 2unit วันละ3ครั้ง ก่อนอาหารเช้า กลางวัน เย็น ตามแผนการรักษาของแพทย์และสังเกตอาการภาวะน้ำตาลในเลือด เช่น หน้ามืด ใจสั่น เหงื่อออก ตาพร่า ชาตามปลายมือปลายเท้าเพื่อลดระดับน้ำตาลในเลือดที่มีค่าสูงเป็นชนิดอ่อนถึงปานกลางและแนะนำญาติสังเกตอาการข้างเคียงของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เช่น หน้ามืด ใจสั่น เหงื่อออก ตาพร่าให้แจ้งพยาบาล
      - 8.Record I/O เพื่อประเมินความสมดุลของปริมาณสารน้ำเข้า-ออกร่างกาย
    - - ระดับกลูโคสในเลือดต่ำกว่า 180 mg%
      - ผู้ป่วยรู้สึกตัวดี และไม่มีอาการสับสน
      - ไม่พบภาวะ Hyperglycemia เช่น มีอาการหน้าแดง ตัวร้อน ชีพจรเร็ว ปัสสาวะออกมาก กระหายน้ำ และความดันโลหิตเพิ่มสูงขึ้น
      - Vital sign อยู่ในเกณฑ์ปกติ T=36.5-37.4 องศาเซลเซียส , P= 60-100 ครั้ง/นาที , R=12-22 ครั้ง/นาที BP=90/60-140/90mmHg
      - ปัสสาวะไม่มีกลูโคสและคีโตน
    - - ไม่พบภาวะ hyperglycemia ไม่มีอาการหน้าแดง ตัวร้อน ชีพจรเร็ว
      - ปัสสาวะไม่มีกลูโคสและคีโตน
        I/O intake =1850 cc,output 1700 cc
  - - - ผู้ป่วยดูแลตนเองไม่ถูกต้อง และมีความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนในโรคเบาหวาน
      - ผู้ป่วยบอกว่า "ไม่เคยตรวจสุขภาพประจำปี"
    - - ผู้ป่วยมีความรู้ ความเข้าใจในการควบคุมโรคเบาหวาน และสามารถสรุปหรือตอบคำถามหลังการให้คำแนะนำได้
    - - ประเมินความรู้ของผู้ป่วยและญาติ เพื่อให้คำแนะนำได้ตรงประเด็นในส่วนที่ผู้ป่วยและญาติไม่ทราบ
      - บอกให้ผู้ป่วยและญาติทราบถึงความสำคัญของการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
      - ประเมินการปฏิบัติของผู้ป่วยจากการซักถามผู้ป่วยและญาติ โดยเฉพาะด้านการควบคุมอาหาร พร้อมทั้งให้คำแนะนำและความรู้
        
        จะต้องทำกิจกรรมที่มีการขยับร่างกาย หรือออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อกระตุ้นให้อินซูลินทำงานได้ดีขึ้น
        
        ต้องรับประทานอาหารหมวดผักเป็นหลัก และรับประทานผลไม้รสเปรี้ยว หรือไม่หวานตามคำแนะนำ
        
        รับประทานอาหารหมวดข้าว-แป้งที่มีใยอาหาร เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโพด แต่ควรรับประทานในปริมาณที่แนะนำ
        
        หลีกเลี่ยงการรับประทานไขมันจากสัตว์ ควรเลือกเนื้อสัตว์ที่ไม่ติดมัน และดื่มนมไขมันสัตว์ น้ำมันควรเลือกน้ำมันชนิดดี ได้แก่ น้ำมันพืช
        
        น้ำมัน น้ำตาล และน้ำปลา ควรรับประทานแต่น้อย
        
        แนะนำให้ผู้ป่วยออกกำลังกายโดยการกระดกส้นเท้า ปลายเท้า การยก และการแขนออก การแกว่งแขน ถ้ามีแรงมากขึ้นให้เดินออกกำลังกาย วันละประมาณ 30-50 นาที สัปดาห์ละ 3-5 วัน และในแต่ละวันอาจเป็น 2-3ครั้ง
        
        แนะนำให้สังเกตอาการของภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ได้แก่ ซึม อ่อนเพลีย ผิวแห้ง กระหายน้ำ อาเจียน ปวดท้อง ปวดเมื่อตามร่างกาย ชีพจรเต้นเร็ว ถ้ามีอาการดังกล่าวควรมาพบแพทย์
        
        ติดตามระดับน้ำตาลในเลือด โดยการตรวจระดับน้ำตาลในเลือด ด้วยตนเอง
        
        สังเกตอาการตนเอง เมื่อมีแผล เนื่องจากผู้ป่วยเบาหวานจะมีแผลหายช้า
      - 4.เน้นให้ผู้ป่วยมาติดตามการรักษาอย่างต่อเนื่อง เพราะจะได้ป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนรุงแรงต่างๆที่อาจเกิดขึ้นได้
    - - ผู้ป่วยมีความสนใจและสามารถเข้าใจ วิธีการดูแลตนเองได้ เลือกรับประทานอาหารได้อย่างเหมาะสมและออกกำลังกายได้ถูกวิธี
    - - สามารถเลือกชนิดอาหารที่เหมาะสมกับโรคได้ เช่น ลดของหวาน อาหารแป้ง และน้ำตาล ลดอาหารไขมัน อาหารทอด
      - บอกอาการที่ควรมาพบแพทย์ได้
      - สามารถบอกฤทธิ์ของยาที่รับประทานได้ เช่น ยาเบาหวาน
  - - - ค่า WBC 22.47 10^3 / uL (สูง)
      - Neutrophil 86.2 % (สูง)
      - ผู้ป่วยมีไข้ 38.4 องศาเซลเซียส
      - ผล Hemoculture and sensitivity Automate: Escherichia coli
    - - ผู้ป่วยปลอดภัยจากภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด
    - - Vital sign อยู่ในเกณฑ์ปกติ T=36.5-37.4 องศาเซลเซียส , P= 60-100 ครั้ง/นาที , R=12-22 ครั้ง/นาที BP=90/60-140/90mmHg
      - ค่า WBC = 4.24-10.18 10^3 / uL
      - ค่า Neutrophil = 48.1-71.2 %
    - - 1.ซักประวัติค้นหาสาเหตุของการติดเชื้อ เก็บอุจจาระส่งตรวจและเพาะเชื้อ ส่งเลือดตรวจเพาะเชื้อ
      - 2.ติดตามผล Labการเพาะเชื้อ และบันทึกสัญญาณชีพอาการและอาการแสดงการติดเชื้อในร่างกาย เช่น รู้สึกหนาว มือและเท้าเย็นมาก ไข้ขึ้นสูง หายใจเร็วขึ้น ชีพจรเต้นเร็ว ปัสสาวะน้อยลง
      - 3.ดูแลผู้ป่วยให้มีความสมดุลของน้ำและอิเล็กโตรไลท์โดยมีการติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการถ้าพบความผิดปกติรายงานแพทย์ให้ทราบ
      - 4.ลดปัจจัยที่ส่งเสริมให้ผู้ป่วยเกิดภาวะการติดเชื้อเพิ่มขึ้นใช้เทคนิคการพยาบาลอย่างมีมาตรฐาน เทคนิคปลอดเชื้อต่างๆ
      - 5.บันทึกปริมาณจำนวนน้ำที่ได้รับและขับออกเพื่อประเมินการทำงานของไต
      - 6.ส่งเสริมความสุขสบายของผู้ป่วยรักษาความสะอาดของปากและฟัน เช็ดทำความสะอาดของร่างกาย
      - 7.ติดตามผลโลหิตวิทยา โดยเฉพาะ ค่า WBC และค่า Neutrophil เพื่อประเมินภาวะการติดเชื้อ
      - 8.ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยา Ceftriaxone 2กรัม ผสมใน 0.9 NSS 100มิลลิลิตร ฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำ ทุก 24 ชั่วโมง ตามแผนการรักษาของแพทย์
    - - ค่า WBC =8.2310^3 / uL
      - ค่า Neutrophil = 48.1%
      - Vital sign T=36.8องศาเซลเซียส , P= 98 ครั้ง/นาที , R=18 ครั้ง/นาที BP=131/60mmHg
  - - - ค่าBUN = 17.9 mg/dL ( 8/10/2563)
      - ค่า creatinine = 1.45 mg/dL ( 8/10/2563)
      - GFR = 38.9 mL/min
    - - ของเสียในร่างกายลดลง ไม่เกิดอันตรายจากของเสียคั่ง
    - - ไม่มีอาการของเสียคั่งในร่างกาย เช่น ปัสสาวะออกน้อย อ่อนเพลีย บวม คันตามตัว หอบเหนื่อย ความดันโลหิตสูง
      - ค่าBUN = 7.0-18.7 mg/dL
      - ค่า creatinine = 0.55-1.02 mg/dL
      - GFR = 38.9 mL/min
      - BP=90/60-140/90mmHg
    - - สังเกตการของเสียคั่งในร่างกาย เช่น อ่อนเพลีย บวม หายใจหอบ ความดันโลหิตสูง
        เพราะการสังเกตของเสียคั่งในร่างกายจะช่วยในการประเมินความรุนแรงของของเสียคั่งในร่างกายและให้การรักษาอย่างเหมาะสม
      - จำกัดน้ำผู้ป่วยโดยให้ผู้ป่วยจิบน้ำได้โดยไม่เกิน 800 ml
        เพราะถ้าดื่มน้ำมากจะทำให้เกิดอาการบวมน้ำจากการที่ไตมีการกรองของเสียลดลง
      - บันทึกน้ำเข้า-ออก ทุก 8 ชม.
        เพราะเป็นการประเมินความสมดุลของน้ำเข้าและน้ำออก
      - วัด vital sign ทุก 4 ชม.
        เพราะเป็นการประเมินสัญญาณชีพ โดยเฉพาะความดันโลหิต เพราะผู้ป่วยที่มีของเสียคั่งในร่างกายจะทำให้ความดันโลหิตสูงได้
      - ติดตามผล Lab BUN Creatinine
        เพราะเป็นการประเมินการทำงานของไตในการกรองของเสีย
    - - ค่าBUN =17.9 mg/dL
      - ค่า creatinine = 0.85mg/dL
      - Vital sign T=36.8องศาเซลเซียส , P= 98 ครั้ง/นาที , R=18 ครั้ง/นาที BP=131/60mmHg
  - - - ผู้ป่วยบอกว่า"ชอบซื้อข้าว 7-Eleven" ทานเป็นประจำทุกวัน
      - ผู้ป่วยบอกว่า "ได้นอนพักผ่อนวันละ 4-5ชั่วโมง
    - - มีความรู้ในการดูแลตนเองอย่างถูกต้อง
    - - สามารถเลือกชนิดอาหารที่เหมาะกับโรคเบาหวานได้ เช่น ลดของหวาน อาหารแป้ง และน้ำตาลลดอาหารไขมัน อาหารทอด
      - บอกอาการที่ควรมาพบแพทย์ได้
    - - 1.สร้างสัมพันธภาพและประเมินความรู้ ความต้องการดูแลสุขภาพของตนเองอย่างไร
      - 2.สอนให้เลือกรับประทานอาหารเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
        
        2.1 รับประทานข้าว ก๋วยเตี๋ยว ขนมปัง ได้ตามปกติ นอกจากผู้ที่อ้วนให้ลดลงครึ่งหนึ่ง
        
        2.2 รับประทานผลไม้ตามจำนวนที่กำหนด วันละ 2-3ครั้งแทนขนม
        
        2.3รับประทานผักให้มากขึ้นทุกมื้อ
        
        2.4รับประทานเนื้อสัตว์ไม่ติดมันและหนัง
        
        2.5รับประทานไข่สัปดาห์ละ 2-3ฟอง ถ้าไขมันในเลือดสูงให้งดไข่แดง
        
        2.6รับประทานปลา และเต้าหู้ให้บ่อยขึ้น
        
        2.7ใช้น้ำมันพืชจำพวกน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันรำข้าวในการทอดผัดอาหารแต่พอควร
        
        2.8เลือกดื่มนมไม่มีไขมัน นมพร่องมันเนยแทนน้ำนมปรุงแต่งรส
        
        2.9หลีกเลี่ยงน้ำหวาน น้ำอัดลม ลูกอม ช็อกโกแลตและขนมหวานจัดต่างๆ
        
        2.10หลีกเลี่ยงอาหารใส่กะทิ ไขมันสัตว์ อาหารทอด รวมทั้งขนมอบ
        
        2.11รับประทานผักผลไม้ทั้งกากแทนการคั้นดื่มแต่น้ำ
        
        2.12เลือกรับประทานอาหารท่ีมีไขมันน้อย เช่น ต้ม นึ่ง ย่าง ผัดที่ใช้นำ้มันน้อยแทนการทอด
        
        2.13ใช้น้ำตาลเทียมใส่เครื่องดื่มและอาหารแทนการใช้น้ำตาลทราย
        
        2.14รับประทานอาหารรสอ่อน เค็ม
      - 3.แนะนำการออกกำลังกายในผู้ป่วยโรคเบาหวาน
        
        ควรออกกำลังกายหลังมื้ออาหาร อย่างน้อย 1-2ชั่วโมง
        
        สวมเสื้อผ้า และรองเท้าที่เหมาะสม เลี่ยงเสื้อผ้าที่รัดแน่น
        
        warm up 5-10 นาที ก่อนออกกำลังกายและ แลt cool down 5-10 นาที หลังออกกำลังกาย
        
        เลี่ยงการออกกำลังกายในภาวะอากาศที่ร้อนจัด หรือหนาวจัดจนเกินไป
        
        ควรดื่มน้ำก่อน ระหว่าง และหลังการออกกำลังเพื่อเลี่ยงการขาดน้ำ
        
        เลี่ยงการออกกำลังกายระดับที่หนักเกินไป
        
        ถ้ามีอาการผิดปกติขณะออกกำลัง เช่น เวียนศีรษะ เหนื่อย ให้หยุด และปรึกษาแพทย์
      - 4.แนะนำให้ผู้ป่วยหมั่นตรวจร่างกายประจำอย่างน้อยปีละ1ครั้งและแนะนำว่าผู้ป่วยควรควบคุมระดับน้ำตาลไม่เกิน120 mg %
    - - ผู้ป่วยมีความสนใจและสามารถ เข้าใจวิธีการดูแลตนเองได้ อย่างถูกต้อง
      - ผู้ป่วยตอบคำถามเกี่ยวกับความรู้เกี่ยวกับการรับประทานอาหารได้อย่างถูกต้อง
      - ผู้ป่วยปฏิบัติตัวและดูแลตัวเองอย่างต่อเนื่องที่บ้าน เกี่ยวกับการออกกำลังกาย ารเผ้าระวังเป็นแผล การเลือกรับประทานอาหารได้อย่างถูกต้อง
  - - - เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุพลัดตกหกล้ม
    - - ผู้ป่วยเคลื่อนไหวร่างกาย
      - ผู้ป่วยสูงอายุ
    - - ผู้ป่วยไม่เกิดอุบัติเหตุพลัดตกหกล้ม
      - ผู้ป่วยไม่ตกเตียง
      - ผู้ป่วยไม่มีบาดแผลตามร่างกาย
    - - 2..สร้างความคุ้นเคยให้กับผู้ป่วยโดยแนะนำสถานที่เช่น ห้องน้ำ เพื่อสร้างความคุ้นเคยและลดอุบัติเหตุให้กับผู้ป่วย
      - 3.ช่วยประคองผู้ป่วย พาไปห้องน้ำ และจัดสิ่งแวดล้อมให้สะดวก ปลอดภัย หลีกเลี่ยงการวางสิ่งของไม่เป็นที่ ภายในห้องน้ำ
      - 1.ประเมินความสามารถในการทำกิจกรรมต่างๆของผู้ป่วย
      - 4.จัดหาสัญญาณเรียกพยาบาลไว้ใกล้มือผู้ป่วยถ้าผู้ป่วยต้องการความช่วยเหลือให้กดสัญญาณเรียกได้ตลอดเวลา
      - 5.จัดแก้วน้ำ เครื่องใช้ต่างๆที่ผู้ป่วยใช้บ่อยๆไว้ด้านในที่ผู้ป่วยสามารถหยิบเองได้สะดวกเพื่อผู้ป่วยจะได้ไม่ต้องเอื้อมหยิบของใช้ป้องกันการตกเตียง
    - - ผู้ป่วยปลอดภัยไม่เกิดการตกเตียงไม่มีบาดแผลตามร่างกาย
  - - - ผู้ป่วยมีอาการปวดหน่วงบริเวณหัวเหน่า
      - ใส่คาสายสวนปัสสาวะ ปัสสาวะสีเหลือง มีเลือดปนเล็กน้อย
      - ผล R.B.C(UA) 0-1/HPF ผล W.B.C (UA) 0-1/HPF ผล Epithelial cell (UA) 0-1/HPF
      - ผลเพาะเชื้อในปัสสาวะ พบ E.Coli
      - มีไข้ อุณหภูมิ 38.7 องศาเซลเซียส(8/10/2563)
    - - เพื่อลดการติดเชื้อในระบบปัสสาวะ
    - - Vital sign อยู่ในเกณฑ์ปกติ T=36.5-37.4 องศาเซลเซียส , P= 60-100 ครั้ง/นาที , R=12-22 ครั้ง/นาที BP=90/60-140/90mmHg
    - - Vital sign T=36.8องศาเซลเซียส , P= 98 ครั้ง/นาที , R=18 ครั้ง/นาที BP=131/60mmHg
      - ปัสสาวะมีสีเหลืองใส
    - - 1.ประเมินสัญญาณชีพ อาการและอาการแสดงทุก 4ชั่วโมง โดยเฉพาะอุณหภูมิกาย
      - 2.ดูแลให้สายสวนปัสสาวะอยู่ในระบบปิด จัดตรึงสายไม่ให้พับงอเพื่อให้น้ำปัสสาวะไหลสะดวก
      - 3.ทำความสะอาดสายสวนปัสสาวะเช้า-เย็น และทุกครั้งหลังการขับถ่าย
      - 4.ดูแลให้ได้รับยาปฏิชีวนะ คือ Ceftriazone 2 gm vein drip วันละ1 ครั้ง
      - 5.ประเมินข้อบ่งชี้ในการคาสายสวนปัสสาวะทุกวัน เพื่อรายงานแพทย์พิจารณาถอดสายสวนออกเมื่อหมดความจำเป็น
      - 6.ให้การพยาบาลโดยใช้เทคนิคปลอดเชื้อ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยมีการติดเชื้อเพิ่มขึ้นอีก
      - 7.ติดตามผลการตรวจปัสสาวะ เพื่อประเมินการติดเชื้อหลังได้รับยาปฏิชีวนะ
- - - - ปฏิเสธการผ่าตัด
- - - - โรค DKA
        
        -เป็นภาวะที่ระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกิน 250 มก./ดล. จากการขาดอินซูลิน
        
        ประกอบด้วย3กลุ่มอาการ คือ ระดับน้ำตาลในเลือดสูง (Hyperglycemia) ระดับคีโตนในเลือดสูง (Ketonemia) และมีภาวะกรดในกระแสเลือด(Metabolic acidosis)
      - กลไกการเกิด
        
        เมื่อร่างกายขาดอินซูลิน ระดับน้ำตาลในเลือดและปัสสาวะสูงขึ้น(Glucosuria)ส่งผลเกิดการสูญเสียน้ำทางปัสสาวะ(Osmotic dieresis) แต่ขณะเดียวกันเซลล์ของร่างกายจะเกิดภาวะStarvation เนื่องจากภายในเซลล์ขาดกลูโคสจึงพยายามใช้สารตัวอื่นมาเป็นต้นกำเนิดพลังงานแทน โดยเฉพาะกรดไขมัน(Free fatty acid) ทำให้เกิดสารคีโตน(Ketone)จากขบวนการKetogenesis และLipolysisจึงทำให้เกิดภาวะKetonemia และKetoacidosis
      - อาการและอาการแสดง
        
        คลื่นไส้ อาเจียนมาก
        
        ปวดท้อง ถ่ายปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำ มีการสูญเสียน้ำและเกลือแร่ อ่อนเพลีย ตาพร่ามัว
        
        ลมหายใจมีกลิ่นหวานของอะซิโตน และคีโตน Acetone(Fruity odor)
        
        หายใจหอบลึก (Kussmaul breathing)
        
        มีการเปลี่ยนแปลงความรู้สึก มักจะซึม ส่วนน้อยอาจหมดสติ
      - เกณฑ์การวินิจฉัย
        
        ระดับน้ำตาลในเลือดสูง(>250มก./ดล.)
        
        Wide gab metabolic acidosis HCO3 < 15 mEq/L
        
        Serum ketone ได้ผลบวก
      - ปัจจัยรวมกัน3ปัจจัย
        
        1.ภาวะขาดอินซูลิน
        
        2.ภาวะดื้ออินซูลิน รวมกับหลั่งอินซูลินไม่เพียงพอ
        
        3.ร่างกายมีภาวะ stress เช่น การติดเชื้อ อุบัติเหตุ หรือโรคหลอดเลือดแดงตีบเฉียบพลัน
        
        ผู้ป่วยมีภาวะติดเชื้อในร่างกาย
    - - เป็นภาวะที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงมากกว่าหรือ เท่ากับ 600 มก./ดล. มักพบในผู้เป็นเบาหวานชนิดที่2 เนื่องจากในภาวะนี้ ยังคงมีฮอร์โมนอินซูลินอยู่ในระดับที่ไม่ก่อให้เกิดการสลายไขมันมาเป็นพลังงาน
      - กลไกการเกิด
        
        คล้ายคลึงกับภาวะ DKA แต่ร่างกายยังพอมีอินซูลินอยู่บ้าง (Insulin insufficiency) จึงเกิดเฉพาะ Hyperglycemia โดยไม่มีขบวนการ Ketogenesis ขึ้นการที่มีภาวะ Hyperglycemia ที่สูงมากจะส่งผลให้เกิดภาวะDehydration อย่างรุนแรงและเกิดภาวะHyperosmolality
      - อาการ/อาการแสดง
        
        อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำบ่อย ผิวแห้ง ปากแห้ง มีไข้ ร่างกายจะสูญเสียน้ำเป็นอย่ยางมาก เนื่องจากภาวะน้ำตาลในเลือดสูงทำให้เกิดภาวะ Osmotic diuresis จึงสูญเสียน้ำทางปัสสาวะ ทำให้ซึม หายใจเบาตื้นมากกว่าเร็วลึกไม่ได้กลิ่นอะซิโตน ระดับความรู้สึกตัวเปลี่ยนไปหมดสติ
      - เกณฑ์การวินิจฉัย
        
        ระดับน้ำตาลในเลือดสูง ( >600 มก./ดล.)
        
        ค่าEffective serum osmolality >320 mOsm/kg
- - - - 3.1ภาวะช็อกจากการติดเชื้อ(Septic Shock)
      - 3.2 ภาวะช็อกจากระบบประสาท (Neurogenic Shock)
      - 3.3ภาวะช็อกจากการแพ้(Anaphylactic Shock)
  - - - 1.ยาที่ทำให้หลอดเลือดหดตัว(Vasoconstrictive inotropic agent)
      - 2.ยาขยายหลอดเลือด(Vasodilator inotropic agent)
      - 3.Digitalis กระตุ้นกล้ามเนื้อทำให้บีบตัวแรงขึ้น
      - 4.Phosphodiesterase inhibitors เป็นยาที่มีฤทธิ์เพิ่มความแรงและความเร็วในการบีบตัวของหัวใจ
- - - - เพื่อเป็นการป้องกัน และเฝ้าระวังการเกิดภาวะแทรกซ้อนหลังการถอดสายสวนปัสสาวะ ต้องให้การพยาบาล ดังนี้
        
        ดูแล และช่วยเหลือให้ผู้ป่วยปัสสาวะได้เองภายใน 8 ชั่วโมง หลังถอดสายสวนปัสสาวะ หากปัสสาวะไม่ออกให้รายงานแพทย์
        
        ดูแล และแนะนำให้ดื่มน้ำอย่างเพียงพอ อย่างน้อยวันละ 2 ลิตร ยกเว้นผู้ที่ต้องจากัด ปริมาณน้า เช่น ผู้ป่วยโรคไตวาย โรคหัวใจวาย เป็นต้น
        
        สอนการบริหารกล้ามเนื้อบริเวณอุ้งเชิงกรานโดยการขมิบก้น
        
        ส่งเสริมสุขอนามัยการทำความสะอาดบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ และไม่กลั้นปัสสาวะ
        
        สอนให้สังเกตอาการของการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
    - - BUN Creatinine สูงทั้งคู่ เกิดจากพยาธิสภาพของไต
      - BUN สูง Creatinine ปกติ หรือเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เกิดจาก มี Protein metabolism เช่น Trauma , Infection , Bleeding