คาร์โบไฮเดรต
ไขมัน (Fat)
ไกลโคไลซิส
วัฏจักรกรดซิตริก (Citric acid cycle) หรือ วัฏจักรเครบส์
click to edit
กรดไขมัน
การสร้าง Acetyl Coenzyme A
ไกลโคไลซิส เป็นกระบวนการสลายกลูโคส โดยกลูโคสจะถูกออกซิไดส์ให้ ไพรูเวต 2โมเลกุลและให้พลังงานในรูปATPและNADH
กรดนิวคลิอิค
เป็นแหล่งสร้างพลังงาน
โปรตีน
เมแทบอลิซึมกรดนิวคลีอิก
สังเคราะห์กรดอะมิโนและนิวคลีโอไทด์ที่มีสารตัวกลางคือ5-phosphoribosyl 1-pyrophosphate (PRPP)
PRPP มาจากวิถี pentose phosphateและปฏิกิริยาการสังเคราะห์เร่งโดย ribose phosphate pyrophosphokinase
การสังเคราะห์นิวคลีโอไทด์
1.De novo pathway เป็นการสังเคราะห์นิวคลีโอไทด์จสกสารตั้งต้นที่มีขนาดเล็ก เช่นจากกรดอะมิโน,CO2,NH3
ไกลโคไลซิสแบ่งเป็น 2 ขั้นตอน
preparatory phase ของไกลโคไลซิส
2.Salvage pathway เป็นการสังเคราะห์นิวคลีโอไทด์จาก free base กับ 5-phophoribosyl-1-pyrophosphate
payoff phase ของไกลโคไลซิส
เมื่อเน้ือเยื้อสัตว์มีออกซิเจนไม่เพียงพอท่ีจะเกิดออกซิเดชั่นไพรูเวตโดยใช้ออกซิเจน ได้ NADH ที่ถูกสังเคราะห์จากไกลโคไลซิส
การสลายกรดนิวคลีอิก
เกิดการ turnover ของ unstable mRNA ภายในเซลล์จะเกิดการสลายกรดนิวคลีอิกเมื่อเซลล์ตายหรือย่อยสลายในอาหารที่รับประทานเข้าไป
ATP จะถูกใช้ในการเปลี่ยนกลูโคสไปเป็นfructose1,6-bisphosphate
พันธะ C-3และC-4 จะถูกสลายให้ triose phosphate 2 โมเลกุล
แต่ละโมเลกุลของ glyceraldehyde 3-phosphateจะถูกออกซิไดส์และให้พลังงานสะสมในรูปATP และNADH
ไพรูเวตที่ได้จากวิถีการสลายกลูโคส จะถูกส่งผ่านเข้าสู่ไมโทคอนเดรีย แล้ว เปลี่ยนไปเป็น Acetyl Co A
โดยการดึงหมู่ คาร์บอกซิลออกได้เป็นคาร์บอนไดออกไซต์ (Oxidative decarboxylation)
อาศัยกลุ่มเอ็นไซม์ Pyruvatedehydrogenasecomplex
Acetyl Co A ที่เกิดข้ึน จะเข้าสู่ TCA cycle หรือวัฏจักรซิตริกหรือวัฏจักรเครบส์
ถูกนำไปยังเนื้อเยื่อและถูกเซลล์นำไปสร้างใช้พลังงาน
โดยปฏิกิริยาทั้งหมดเกิดขึ้นที่ไมโทคอนเดรีย
การออกซิไดซ์กรดไขมัน
เริ่มในปี1948โดยjonh Buchanan ทำการทดลองให้นกพิราบได้รับอาหารที่ติดฉลากรังสีแล้วดูว่าตำแหน่งไหนของ uric acid ที่ถูกติดฉลากรังสี ทำให้ทราบว่า atom ต่างๆของ purine ring ได้จากสารอะไรบ้าง
เอ็นไซม์ที่เก่ียวข้องหลายชนิดในปฏิกิริยาแบบไม่ย้อนกลับ
โดยมีเอ็นไซม์ 3 ตัว คือ
Citrate Synthase
a-ketoglutaratedehydrogenase
Isocitrate dehydrogenase
จะได้ Acetyl CO A
ให้สารพลังงานสูงในรูปของ GTP (Guanosine triphosphate) และรีดิวซิงอีควิวาเลนซ์ (reducing equivalents) ในรูปของ NADH และ FADH2
ครั้งแรกในตับ
ในหัวใจของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
มีหน้าที่จะถ่ายทอดอิเล็กตรอนให้
กับลูกโซ่ของการขนส่งอิเล็กตรอน (electron transport chain)
กรดไขมันจะถูกใช้เป็นพลังงานได้มากถึง 80%
วัฏจักรกรดซิตริกเป็นแบบ
amphibolic pathway หรือ เป็น pathway ที่เป็นทั้งกระบวนการสร้างและสลาย โดยเป็นจุดศูนย์กลางของเมทาบอลิซึม
เป็นสารสำคัญที่เกี่ยวข้องทั้งใน de novo pathwayและsalvage pathway
ถูกสังเคราะห์จาก ribose-5-phosphate และ ATP เร่งปฏิกิริยาโดยเอ็นไซม์ PRPP synthetase
อิเล็กตรอนมาจากการสลายกรดไขมัน
สามารถส่งผ่านไปยังลูกโซ่
การขนส่งอิเล็กตรอน
เกิดการสังเคราะห์ ATP
PRPP+Base ->Nucleotide+PPi
ตัวอย่าง Oxaloacetate
และ a-ketoglutarate
ในสัตว์การสังเคราะห์เพียวรีน จะเกี่ยวข้องกับ2เอ็นไซม์
เกิดจากการสลายกรดไขมัน
จะเข้าสู่วัฏจักรกรดซิดริก
ผลิตจากกรดอะมิโน aspartate และ glutamate ที่ได้จากกการสลายโปรตีน
1.เอ็นไซม์ APRT
ออกซิเดทีฟฟอสฟอริเลชั่น และลูกโซ่ของการขนส่งอิเล็กตรอน (Oxidative phosphorylation and electron transport chain)
เมื่อออกซิไดส์สมบูรณ์
จะถูกเปลี่ยนเป็น Ketone body
2.เอ็นไซม์ HGPRT
เป็นสารพลังงานที่สามารถละลายน้ำได้
จะถูกขนส่งก็ต่อเมื่อสภาวะ
ที่กูลโคสไม่เพียงพอ
Reducingequivalents ที่อยู่ในรูปNADHและFADH2ท่ีได้จากวัฏจักร กรดซิตริกและNADHท่ีได้จากกระบวนการไกลโคไลซิส
ภาพรวมของ nucleotide metabolism
หัวใจและกล้ามเนื้อลายต้องใช้กรดไขมันเป็น
แหล่งพลังงานอย่างมากขณะอดอาหาร
จะถูกออกซิไดส์ โดยการผ่านอิเล็กตรอนเข้าไปในลูกโซ่การขนส่งอิเล็กตรอน (electron transport chain)ซึ่งตำแหน่งที่เยื้อหุ้มชั้นในของไมโทคอนเดรีย
กลไกลการขนส่งกรดไขมัน
วิถีเพนโตสฟอสเฟต
กรดไขมันถูกกระตุ้น
เป็น Fatty acyl CO A
ในไซโตซอล
ทำให้ Fatty acyl CO A
ถูกสร้างภายนอกไมโทคอนเดรีย
ขณะที่เกิดกลไกล การออกซิไดซ์เกิดข้ึน
ภายใน แมทริกซ์ของไมโทคอนเดรีย
ไม่ยอมให้ Coenzyme A และอนุพันธ์ผ่านได้
เนื่องจากเซลล์จะใช้คาร์นิทีน(Carnitine)
เป็นตัวนำหมู่ acyl ข้ามเยื่อไมโทคอนเดรียไปได้
โดยมีเอ็นไซม์ทั้งสองด้าน ของเยื่อชั้นนอก
และในของไมโทคอนเดรียทำหน้าที่ย้ายหมู่ fatty acyl
ระหว่าง Coenzyme A และ Carnitine
กรดอะมิโน
กรดอะมิโนในสัวต์จะถูกสลายโดยการ
ออกซิเดชั่น
ใน3 สถาณการณ์
1การสังเคราะห์และสลายโปรตีนใน
สภาวะปกติ
2.เมื่อกินอาหารที่เป็นโปรตีนจำนวนมาก
กรดอะมิโนส่วนเกินจะถูกสลาย
3.การอดอาหารเมื่อคาร์โบไฮเดรตไม่พอโปรตีนจะถูกนำมาใช้ในการให้พลังงาน
ภาพรวมการสลายของแอมโมเนียและหมู่อะมิโน
กรดอะมิโนส่วนใหญ่จะมีการสร้างและสลายในตับ แอมโมเนียถูกสังเคราะห์โดยกระบวนการนี้
แอมโมเนียที่มากเกินพอจะถูกเปลี่ยนเป็นยูเรียหรือกรดยูริค
และแอมโมเนียที่มากเกินพอจากเนื้อเยื่ออื่นๆ จะถูกขนส่งไปยังตับ เพื่อเปลี่ยนเป็นสารที่จะหลั่งออกนอกร่างกาย
ตย.การพบแอมโมเนีย เช่น ในจุลชีพ , ปลามีกระดูก
ตย.การพบยูเรีย เช่น สัตว์มีกระดูกสันหลัง
ตย. การพบกรดยูริค เช่น พบในนก ,สัตว์เลื้อยคลาน
กรดอมิโนที่สามารถเปลี่ยนเป็นกลูโคสและให้คีโตนบอดี
กรดอะมิโน
กรดอะมิโน7ตัว ได้แก่
2.phenylalanine
1.tyrosine
3.isoleucine
4.leucine
5.tryptophan
6.Threonine
7.lysine
สลายให้ทั้งหมดหรือบางส่วนของ acetoacetyl Co A หรือ acetyl Co A
สามารถผลิตคีโตนบอดี้ในตับได้
กรดอะมิโนที่สลายแล้วให้คีโตนบอดี้เราจะเรียกว่า Ketogenic amino acid
ในสภาวะที่เป็นโรคเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้ตับจะมีการผลิตคีโตนบอดี้จาก กรดอะมิโนและไขมัน
ถูกเปลี่ยนเป็น acetoacetate แล้วเปลี่ยนเป็น acetone และ B-hydroxybutyrate
กรดอะมิโนที่สลายแล้วจะให้
pyruvate,Alpha-ketoglutarate,succinyl Co A, fumarate และ Oxaloacetate ซึ่งสามารถเปลี่ยนเป็นกลูโคสและไกลโคเจนได้
เรียกว่า glucogenic amino acid
กรดอะมิโนบางตัวก็เป็นทั้ง
ketogenic และ glucogenic amino acid
1.tryptophan
2.Phenylalanine
3.tyrosine
4.threonine
5.isoleucine
การสลายกรดอะมิโนจะเกิดต่อเมื่อเรากิน โปรตีนสูงเกินไป หรือ อยู่ในสภาวะอดอาหารเป็นเวลานานโดย leucine เป็น
ketogenic amino acid ดังนั้นเมื่ออดอาหารเป็นเวลานาน จะทาให้เกิด ketosis
1.การสังเคราะห์ purine ribonucleotide
2.การสังเคราะห์ pyrimidine ribonucleotide
3.การสังเคราะห์ deoxyribonucleoside diphosphates
4.การสังเคราะห์ deoxyribonucleoside triphosphatesเพื่อเป็นสารตั้งต้นในการสังเคราะห์ DNA
Alanine ช่วยขนส่งแอมโมเนีย จากกล้ามเน้ือลายไปยังตับ
วัฏจักรยูเรียและปฏิกิริยาที่เกิดขึ้น
มีเอนไซม์ carnitine acyltransferase I
ที่เยื้อหุ้มช้ันนอกของไมโทคอนเดรีย
ทำให้กรดไขมัน
จับกับ carnitine ชั่วคราว
การสังเคราะห์ deoxyribonucleotides
และผ่านเข้าทางตัวขนส่ง acyl-carnitine/carnitine transporter ที่อยู่บนเยื่อหุ้มชั้นใน ของไมโทคอนเดรีย
ปล่อย carnitine อิสระออกมา
ซึ่ง carnitine ก็จะถูกส่งออกมา
ปฏิกิริยามีการรีดักชั่นที่2’-hydroxy ของ ribose แล้วเกิดเป็น deoxyribose เร่งโดยเอนไซม์ ribonucleotide reductaseและใช้อะตอมไฮโดรเจน จาก NADPH
ทาง acyl-carnitine/carnitine transporter
นำกลับมาใช้ใหม่
เอ็นไซม์ที่เร่งวัฏจักรยูเรียกระจายอยู่ในแมทริกซ์ของไมโทคอนเดรียและไซโทซอล โดยเริ่มจากหมู่อะมิโนเข้าสู่วัฏจักรยูเรียในรูป carbamoyl phosphate
อีกเส้นทางหน่ึงคือเข้ามาในรูป aspartate
ถูกสร้างในแมทริกซ์โดยกระบวนการ transamination ระหว่าง oxaloacetate และ glutamate ซึ่งเร่งโดย aspartate aminotransferase
กระบวนการสร้างคาร์โบไฮเดรต
วัฏจักรยูเรียประกอบด้วย 4 ขั้นตอน
หากมีการบกพร่องที่ คาร์นิทีน (carnitine)
จะมีอาการเป็นตะคริว กล้ามเนื้ออ่อนแรง
อย่างรุนแรงและตายในที่สุด
1). การสร้าง citruline จาก ornithine และ carbamoyl phosphate ซึ่ง citruline จะผ่านเข้าสู่ไซโทซอล
2).การสร้างargininosuccinateโดยมีสารตวักลางคือcitrullyl-AMP
เนื่องจากมีการสะสมของ
triacylglycerols ในกล้ามเนื้อ
3). การสร้าง arginine จาก argininosuccinate ปฏิกิริยาน้ีมีการปลดปล่อย fumarate ซึ่งจะเข้าสู่วัฏจักรกรดซิตริก
ต่อไป
4).การสร้าง Urea โดยปฏิกิริยาขั้นตอนนี้จะเป็นการสร้าง Ornitine ขึ้นอีกครั้ง
ขั้นตอนการออกซิเดชั่นกรดไขมัน
1.กรดไขมันสายยาวถูกออกซิไดส์ให้ acetyl เพื่อนำไป
สร้าง acetyl Co A กระบวนการน้ีเรียกว่า beta-oxidation
การสังเคราะห์ไธมิไดเลต(dTMP)จาก dCDP และ dUMP
2.หมู่ acetyl ถูกออกซิไดส์ใน
วัฏจักรกรดซิตริกให้คาร์บอนไดออกไซต์
ปฏิกิริยาท่ีต้องการไนโตรเจนมี 2 ปฏิกิริยา ซึ่งแต่ละปฏิกิริยาต้องการ ATP
ปฏิกิริยาท่ีเร่งด้วยเอ็นไซม์ carbamoyl phosphate synthetase I
เป็นการเข้ามาของไนโตรเจนตัวแรกจากแอมโมเนียหมู่ฟอสเฟตจาก ATP
2โมเลกุลถูกใช้สังเคราะห์ Carbamoyl phosphate
3.อิเล็กตรอนจากขั้นที่ 1 และ 2 จะถูกส่งไปยังลูกโซ่ขนส่งโดยมีออกซิเจน เข้ามารับอิเล็กตรอนตัวสุดท้าย
และเกิดการสังเคราะห์ ATP
ใน DNA จะมีเบสเป็นเบส thymine โดย thymine สังเคราะห์มาจากdUMPเร่งโดยเอ็นไซม์ Thymidylate synthase
dTMP ยังสามารถสังเคราะห์จากเบส thymine โดยวิธี Salvage pathway
ปฏิกิริยาที่เร่งด้วยเอ็นไซม์ argininosuccinate synthetaseโดยไนโตรเจนตัวท่ีสองเข้ามา
โดย aspartate ซึ่งออกซิเจนตัวหน่ึงของ citruline ถูกกระตุ้นด้วยการเติมAMP
และต่อมาเติมaspartate
การสลาย DNAและRNA
DNA
Deoxynucleoside 5-monophosphates
ถูกสังเคราะห์ข้ึนจาก กระบวนการ beta-oxidation
การสังเคราะห์กรดอะมิโน
คนท่ีสุขภาพดี จะผลิต ketonebodiesในระดับต่ำ
สังเคราะห์มาจากสารตัวกลางในกระบวนการ
ไกลโคไลซิส วัฏจักรกรดซิตริกหรือวิถีเพนโทสฟอสเฟต
Ketone bodies 3 ตัวได้แก่
มีตัวให้หมู่ไนโตรเจนคือ
การส้งเคราะห์ ketonebodies มากเกินไป จะทำให้เกิด acetosis และ acetonemia หรือ ketosis และketonemia ทำให้มีสภาวะเป็นกรดเกินไป
glutamate
glutamine
จัดได้ 6 กลุ่มตามสารตั้งต้นในการสังเคราะห์
Deoxynucleoside
Pi
Deoxyribose
Purines
Pyrimidines
a-Ketoglutarate
การสังเคราะห์กรดไขมัน
3-Phosphoglycerate
RAN
Oxaloacetate
Pyruvate
nucleoside 5-monophosphates
Phosphoenolpyruvate and
erythrose 4-phosphate
Ribose 5-phosphate
nucleoside
Pi
ribose
Purines
Pyrimidines
การสลาย purine และ pyrimidine
ขั้นตอนการสังเคราะห์กรดไขมัน
ธาตุทองแดง
การขาดทองแดงทําให้มีโปรตีนเซอรูโลพลาสมิน (ceruloplasmin) ในซีรัมระดับต่ำ มีคอเลสเตอรอลและไลโพโปรตีนระดับสูง
เซอรูโลพลาสมิน สังเคราะห์มาจากตับและทําหน้าที่ขนส่งทองแดง โดยสามารถจับกับทองแดงได้ถึง 8 อะตอมต่อโมเลกุล
2.หมู่ beta-keto ที่ได้ถูกรีดิวซ์ไปเป็นแอลกอฮอล์
ธาตุเหล็ก
3.เกิดการกำจัดน้ำ ได้เป็นพันธะคู่
ธาตุเหล็กจะจับกับโปรตีนอะโพเฟอร์ริทิน (apoferritin) ในเซลล์ กลายเป็นเฟอร์ริทิน (ferritin) เพื่อสะสมในเซลล์ โดยเหล็กเกือบ 300 โมเลกุล จะจับกับอะโพเฟอร์ริทิน (apoferritin) เพียง 1 โมเลกุล หากมีการจับที่มากเกินไปเหล็กจะทําให้โมเลกุลของเฟอร์ริทินเสียสภาพ
- พันธะคู่ถูกรีดิวซ์สร้างหมู่ fatty acyl ที่อิ่มตัว
เฮปซิดิน (hepcidin) จะเข้าจับโปรตีนเฟอร์โรพอร์ติน (ferroportin) ทําให้เกิดการนําเฟอร์โรพอร์ติน (ferroportin) เข้าเซลล์และเกิดการสลายเฟอร์โรพอร์ติน (ferroportin) ทําให้ลดการ ส่งผ่านธาตุเหล็กเข้ากระแสเลือดและปล่อยให้สะสมไว้ที่ผนังลําไส้ หรือเป็นผลให้เกิดการลดการดูดซึมของธาตุ เหล็กในร่างกาย
เฮปซิดิน (hepcidin) เป็นฮอร์โมนที่มีบทบาทในการควบคุมการดูดซึมธาตุเหล็กและการทํางานของ แมคโครเฟจ (macrophage) โดยการมีระดับธาตุเหล็กสูงหรือการได้รับธาตุเหล็กที่เพียงพอในร่างกายจะทําให้มี ระดับเฮปซิดิน (hepcidin) สูงขึ้น
สําหรับผู้ป่วยที่เป็นโรควิลสัน (Wilson’s disease) จะมีการบกพร่องทาง
พันธุกรรมของโปรตีนเอทีพี7บี
เมื่อระดับทองแดงเพิ่มมากขึ้นทั้งในไซโตซอลและนิวเคลียส จะทําให้โปรตีน
ในนิวเคลียสทํางานแย่ลงและเกิดการยับยั้งการแสดงออกของยีนของเอนไซม์ต่างๆ
1.ปฏิกิริยาการรวมตัว ของหมู่ malonyl และ acetyl
ถูกกระตุ้น มีการกำจัดคาร์บอนไดออกไซต์ ออกจากหมู่ malonyl เกิดหมู่ acyl ที่มีสายยาวเพิ่มอีก 2 คาร์บอนอะตอม
ธาตุสังกะสี
การสังเคราะห์กรดไขมันเริ่มจากสารตัวกลาง
ที่มีคาร์บอน 3 อะตอมคือ Malonyl- Co A
สังกะสีสามารถยับยั้งการพัฒนาเซลล์เฮลเปอร์ที 17 (Th17) โดยการยับยั้งการทํางานของโปรตีนนําส่งสัญญาณและกระตุ้นทรานส์คริปชัน 3 หรือเอสทีเอที3 (signal transducer and activator of transcription 3 หรือ STAT3)
Malonyl- Acetyl-CoA carboxylase
มีบริเวณทำงาน 3 บริเวณ
biotin carrier protein
biotin carboxylase
Transcarboxylase
เกิดจากการสลายของคาร์โบไฮเดรต
เกิดจากการสลายของกรดอะมิโน
acetone
acetoacetate
beta-hydroxybutyrate
แคลเซียม
ถูกผลิตในปริมาณน้อยกว่าคีโตนบอดี้อื่นๆ
เนื่องจากระเหยได้ง่าย
แคลเซียมมากกว่า ร้อยละ 99 จะถูกเก็บไว้ในกระดูกและฟัน และแคลเซียมน้อยกว่า ร้อยละ 1 จะพบ
ในซีรัม
อาหารที่มีโปรตีนสูงเป็นแหล่งแคลเซียม เช่น นม และอาหารทะเล เป็นต้น
จะถูกขนส่งในกระแสเลือดไปยังเนื้อเยื่ออื่น ๆ
คลอไรด์
เมื่อคลอไรด์รวมกับไฮโดรเจนที่กระเพาะจะได้เป็นกรด
ไฮโดรคลอริก ทําให้กระเพาะอาหารมีสภาพเป็นกรด
และเหมาะแก่การทํางานของเอนไซม์ที่ทําหน้าที่ย่อยโปรตีน
กรดอะมิโนถูกจับกลุ่มตามผลิตภัณฑ์สุดท้ายท่ีได้จากการสลาย กรดอะมิโนบางตัวอยู่ในหลายกลุ่ม เนื่องจากให้
ผลิตภัณฑ์หลายแบบ
ธาตุเหล็ก
ที่มากเกินไป
ทําให้เกิดการเพิ่ม กรดไขมันในซีรัม
เนื่องจากการสลายไขมันที่มากขึ้นในเนื้อเยื่อไขมัน
ธาตุทองแดง
การขาดธาตุทองแดง
ทําให้สังเคราะห์คอเลอสเตอรอลลดลง
รวมถึงลดไขมันในซีรัมและตับ
ธาตุทองแดงที่เพิ่มขึ้น
ยับยั้งการทํางานของตัวรับในนิวเคลียส
ทําให้เกิดความผิดปกติในการควบคุมเมแทบอลิซึมไขมัน
วิตามินที่ละลายในไขมัน
วิตามิน A
วิตามิน D
วิตามิน E
วิตามิน K
ไบโอทินหรือวิตามิน บี 7
เกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาใน
เมแทบอลิซึมการสังเคราะห์กรดไขมัน
ไนอะซินหรือวิตามินบี 3
วิตามินชนิดนี้มีผลต่อ
การลดระดับไขมัน
ไพริดอกซินหรือวิตามินบี 6
เป็นวิตามินที่ทําหน้าที่เป็น
โคเอนไซม์ในเมแทบอลิซึม ไขมัน
ไรโบฟลาวินหรือวิตามินบี 2
เป็นสารตั้งต้นในการสังเคราะห์โคเอนไซม์ฟลาวินโมโนนิวคลีโอไทด์ และฟลาวินอะดีนีนไดนิวคลีโอไทด์ ซึ่งมีบทบาทในเมแทบอลิซึมไขมัน
เริ่มต้นจากการออกซิไดส์glucose6-phosphate
โดยเอ็นไซม์glucose6-phosphatedehydrogenase
ได้CO2 และPentose5-phosphateโดยมีNADP+เป็นโคเอ็นไซม์ซึ่งจะถูกรีดิวช์ไปเป็น NADPH
วิถีเพนโตสฟอสเฟต จะเกิดในเซลล์ที่มีอัตราการแบ่งเซลล์สูง
เพื่อใช้ pentose ในการสังเคราะห์ RNA, DNA, coenzymes
ผลิตภัณฑ์สำคัญที่ได้จาก วิถีเพนโตสฟอสเฟต
NADPH
Ribose 5-phosphate
ใช้ในการสังเคราะกรดไขมัน
ใช้ในการสังเคราะห์กรดอะมิโน
ใช้ในการสังเคราะห์กรดนิวคลีอิก
เป็นการสังเคราะห์คาร์โบไฮเดรตจากสารโมเลกุลเล็กๆที่ได้จากกระบวนการสลายมาประกอบเป็นโมเลกุลใหญ่
Glycogenesis
Gluconeogenesis
เป็นกระบวนการสังเคราะห์กลูโคสจากสารที่ไม่ใช่ คาร์โบไฮเดรต สารที่ใช้ในการสังเคราะห์กลูโคส
การสังเคราะห์ไกลโคเจนเกิดข้ึน ในเน้ือเยื่อ ทุกส่วนของร่างกายแต่ส่วน ใหญ่จะเกิดในตับและกล้ามเน้ือ
ไพรูเวต
กรดแลกติก
กลีเซอรอล
ไนอะซินหรือวิตามินบี 3 (niacin หรือ B3)
เกี่ยวข้องกับเมแทบอลิซึมในเซลล์
วิถีไกลโคไลซิส (glycolysis)
วิถีเพนโตสฟอสเฟต (pentose phosphate pathway)
ไพริดอกซินหรือวิตามินบี 6 (pyridoxin หรือ B6)
ทําหน้าที่เป็นโคเอนไซม์ในเมแทบอลิซึม คาร์โบไฮเดรต ไขมันและโปรตีน
ไรโบฟลาวินหรือวิตามินบี 2 (riboflavin หรือ B2)
การขาดวิตามินบี 6 ทําให้เกิดโรคทางสมอง (neurological disorder) และโรคโลหิตจาง (anaemia) และการขาดวิตามินบี 6 พบในผู้ที่ติดสุราเรื้อรัง ผู้ป่วยเบาหวาน และโรคเซลิแอคหรือโรคแพ้กลูเตน (celiac disease)
มีบทบาท สําคัญในเมแทบอลิซึมคาร์โบไฮเดรต กรดอะมิโน และไขมัน
การขาดวิตามินบี 2 เกิดในผู้ป่วยโรคที่มีการอักเสบ ของระบบทางเดินอาหาร โรคพิษสุรา และโรคที่มีความเสื่อมถอยในการทํางาน
Purine
Adenine
Guanine
Xanthine
Uric acid
Allantoin
Urea
NH3
CO2
Pyrimidines
Cytosine
Uracil
Acetyl CoA
Krebs cycle
Thymine
Succinyl CoA