COVID-19
พยาธิสภาพ
เชื้อไวรัสโคโรน่า (CoVs) เป็นไวรัสชนิดอาร์เอ็นเอสายเดี่ยว (single stranded RNA virus)
การติดเชื้อไวรัสโคโรน่าในระบบทางเดินหายใจ (Respiratory Coronaviruses) อาจทำให้เกิดอาการไข้ อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ (Kenneth McIntosh, 2020)
อาจพบลักษณะปอดอักเสบ (Pneumonia) หลอดลมอักเสบเรื้อรัง (Chronic bronchitis) หรือการกลับเป็นซ้ำของโรคหอบหืดได้ และอาจทำให้เกิดอาการรุนแรงได้มากในผู้สูงอายุ bronchitis) หรือการกลับเป็นซ้ำของโรคหอบหืดได้ และอาจทำให้เกิดอาการรุนแรงได้มากในผู้สูงอายุ (นำชัย ชีววิวรรธน์, 2563)
ระยะฟักตัวของโรค
โดยเฉลี่ยประมาณ 2 วัน (อาจมีระยะฟักตัวนานถึง 3 – 4 วัน)
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
(เสาวภา ทองงาม, สุพิศตรา ภูมูล, รณิษฐา รัตนะรัต. 2563)
- เสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนเนื่องจากโรคปอดอักเสบ
กิจกรรมการพยาบาล
2.ผู้ป่วยไม่สุขสบายเนื่องจากมีภาวะติดเชื้อปอด
1.ตรวจวัดสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมงหรือตามความเหมาะสมและบันทึกข้อข้อมูลและสังเกตอาการ
2.การให้ยารักษาปอดอักเสบตามคำแนะนำของกรมการแพทย์กระทรวงสาธารณสุข
กิจกรรมการพยาบาล
3.การพยาบาลเพื่อประคับประคองและป้องกัน ภาวะพร่องออกซิเจน
1.การรักษาเพื่อบรรเทาอาการ เช่น กรณีผู้ป่วยมีไข้ เมื่ออุณหภูมิร่างกายมากกว่า 37.5 องศาเซลเซียส พยาบาลเช็ดตัวระบายความร้อน
2.ประเมินสัญญาณชีพ ได้แก่ อุณหภูมิชีพจร หายใจ และความดันโลหิต อย่างน้อยทุก 4 ชั่วโมง
3.เช็ดตัวลดไข้ ( Tepid Sponge ) โดยใช้น้ำธรรมดาหรือน้ำอุ่น
- มีภาวะการหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน
กิจกรรมการพยาบาล
1.การรักษาแบบเฉพาะเจาะจงเป็นการแก้ไข ภาวะที่เป็นสาเหตุ เช่น การให้ยารักษาปอดอักเสบ
- การรักษาแบบประคับประคองเพื่อให้สามารถรักษาระดับการแลกเปลี่ยนก๊าซในผู้ป่วยได้อย่างเหมาะสม
2.1 การใช้เครื่องช่วยหายใจโดยใช้หลักการปรับตั้งเครื่องช่วยหายใจ
3.ประเมินการทำงานของระบบไหลเวียนเลือด (hemodynamic) ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ โดยวัดสัญญาณชีพทุก 1 ชั่วโมง
4.มีภาวะไตวายเฉียบพลัน เนื่องจากการทำงานของไตลดลง
กิจกรมการพยาบาล
1.สังเกตอาการทางร่างกาย เช่น ความตึง ตัวของผิวหนัง ความชุ่มชื้นของเยื่อเมือกต่างๆ
2.วัดสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง เพื่อประเมิน ปริมาณเลือดที่มาเลี้ยงไต
3.ดูแลให้ได้รับสารน้ำทางหลอดเลือดดำ
4.จดบันทึกปริมาณน้ำเข้า-น้ำออกจาก ร่างกายเพื่อประเมินความสมดุลของสารน้ำในร่างกาย