Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 10 บทบาทความรับผิดชอบของพยาบาลในการดูแลผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการหายใ…
บทที่ 10 บทบาทความรับผิดชอบของพยาบาลในการดูแลผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการหายใจ
กายวิภาคศาสตร์
กลไกของระบบการหายใจ
กลศาสตร์ของการระบาย (Mechaics of Ventilation)
กลไกการหายใจเข้าและการหายใจออกของมนุษย์ปอดเป็นส่วนที่ไม่มีกล้ามเนื้อเพื่อการหดตัวจึงต้องใช้แรงช่วยจากส่วนอื่นเพื่อทำให้การหายใจเข้า-ออกเป็นไปได้ ด้านล่างของปอดจะมีกล้ามเนื้อชุดหนึ่งเรียกว่า กระบังลม (diaphragm) และมีกระดูกซี่โครงครอบคลุมปอดด้านบนและด้านข้าง เมื่อเราหายใจเข้า กล้ามเนื้อกระบังลมจะหดตัวและเลื่อนตัวลง กล้ามเนื้อยึดซี่โครงด้านนอกก็จะหดตัวลงเช่นกันเพื่อทำให้กระดูกซี่โครงยกตัวขึ้น ทั้งสองอย่างนี้ส่งผลให้แรงดันอากาศภายในต่ำกว่าแรงดันอากาศภายนอก
ทำให้อากาศสามารถเข้าสู่ปอดได้ และจะกลับกันเมื่อหายใจออก เมื่อหายใจออก เราต้องเพิ่มความดันในช่องอกเพื่อดันให้อากาศออกสู่บรรยากาศภายนอกโดยการคลายตัวของกล้ามเนื้อกระบังลมเพื่อให้กระบังลมยกขึ้น และกล้ามเนื้อยืดซี่โครงภายนอกก็คลายตัวเช่นกันเพื่อทำให้กระดูกซี่โครงเลื่อนต่ำส่งผลให้พื้นที่ปอดลดลง
การประเมินสภาพผู้ป่วยที่มีปัญหาการหายใจ
ปัญหาที่พบบ่อยๆในระบบทางเดินหายใจ คือ ภาวการณ์หายใจล้มเหลว(Respiratory Failure)เป็นภาวะที่ระบบหายใจไม่สามารถทําหน้าที่ระบายอากาศและแลกเปลี่ยนก๊าซได้เพียงพอกับความต้องการของร่างกายจะมีระดับออกซิเจนในเลือดแดง (PaO2) ต่ำกว่าปกติ และ/หรือ คาร์บอนไดซ์ในเลือด (PaCo2) สูงกว่าปกติและร่างกายมีความเป็นกรดมากขึ้นซึ่งเกณฑ์ที่ใช้ในการวินิจฉัยจากผล ABG ว่ามีภาวะหายใจล้มเหลว คือ PaO2 < 50-60 mm.Hg PaCo2 > 50 mm.Hg PH < 7.25การรักษา ควรได้รับการบริหารด้วยออกซิเจน ระยะเฉียบพลัน PaO2 <60 mmHg + SaO2 < 90% ระยะเรื้อรัง PaO2 <60 mmHg
ชนิดของภาวการณ์หายใจล้มเหลว
1.การหายใจล้มเหลวอย่างเฉียบพลัน (Acute respiratory failure)
2.การหายใจล้มเหลวอย่างเรื้อรัง (Chronic respiratory failure)
สาเหตุของภาวการณ์หายใจล้มเหลว
หลอดลมตีบตัน หอบหืด หลอดลมอักเสบรุนแรง มีน้ำหรือลมในช่องเยื่อหุ้มปอด กล้ามเนื้อการหายใจเสียหน้าที่
อาการและอาการแสดงเมื่อมีภาวการณ์หายใจล้มเหลว
หายใจลำบาก เหนื่อยหอบ เขียว (Cyanosis) หากมี CO2 คั่งในเลือดมากผู้ป่วยจะมีอาการซึม หัวใจเต้นเร็ว เหงื่อออกตามตัว อาจหมดสติ
การรักษา
รักษาตามสาเหตุ เช่น บรรเทาการตีนตันของหลอดลมโดยให้ยาขยายหลอดลมเจาะน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอดออกหากมีน้ำมาก รักษาปอดอักเสบโดยให้ยาปฏิชีวนะที่ไวต่อเชื้อ ให้ออกซิเจน ซึ่งปกติให้ในความเข้มข้นสูง ยกเว้นในรายที่มีการอุดกั้นของหลอดลมเรื้อรัง โรคหลอดลมอักเสบเรื้อรังและโรคถุงลมโป่งพอง จะให้ออกซิเจนประมาณ 25-35% เพื่อป้องกันการเกิด CO2 narcosis ซึ่งอาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้
การดูดเสมหะ
การดูดเสมหะ หมายถึง การใช้สายยางดูดเสมหะซึ่งปราศจากเชื้อผ่านเข้าทางปาก จมูก หรืออุปกรณ์ที่ใส่เข้าไปในหลอดลม เช่น Endotracheal, Tracheostomy tube เป็นต้น เพื่อนำเสมหะออกจากทางเดินหายใจ เนื่องจากผู้ป่วยไอขับเสมหะออกเองไม่ได้ หรือการเก็บเสมหะเพื่อส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การประเมินเพื่อการดูดเสมหะ อาการที่ตรวจแล้วจำเป็นต้องได้รับการดูดเสมหะ
1.1พบปัจจัยเสี่ยงต่อเสมหะอุดกั้นภายในทางเดินหายใจ ผู้ป่วยขับเสมหะออกเองไม่ได้ เสมหะปริมาณมาก ลักษณะเสมหะเหนียว
1.2 อาการแสดงของเสมหะอุดกั้นภายในทางเดินหายใจ ผู้ป่วยมีอาการเหนื่อย หายใจลำบาก, หายใจเสียงดัง
การประเมินที่ควรหาความผิดปกติอื่นๆ
เนื่องจากภาวะพร่องออกซิเจนของผู้ป่วยอาจมีสาเหตุนอกเหนือจากเสมหะอุดกั้นภายในทางเดินหายใจ ดังนั้น เมื่อผู้ป่วยมีอาการร่วมที่แสดงถึงภาวะพร่องออกซิเจน พยาบาลจำเป็นต้องประเมินสภาพผู้ป่วยเพื่อหาสาเหตุต่างๆ ที่เกี่ยวข้องซึ่งมีอาการร่วมดังกล่าว เช่น มีอาการกระสับกระส่าย หรือซึมลง ค่า Oxygen Saturation ต่ำ
อุปกรณ์
-เครื่องดูดเสมหะ*
-สายดูดเสมหะที่สะอาดปราศจากเชื้อ(เลือกขนาดให้เหมาะสมกับผู้ป่วย)
-ท่อต่อลักษณะรูปตัว Y
-ถุงมือสะอาดปราศจากเชื้อ
-Mask
-สำลีปราศจากเชื้อ
-แอลกอฮอล์ 70%
-น้ำสะอาดปราศจากเชื้อ/ น้ำต้มสุก ใส่ในขวดขนาด 500-1000 ml. สำหรับล้างสายดูดเสมหะ
-ภาชนะใส่ถุงมือและสายดูดหลังภายหลังกานใช้งาน
การให้ออกซิเจนประเภทต่างๆ
Nasal Cannula หรือสายออกซิเจนแบบผ่านจมูก
Oxygen Mask หรือหน้ากากออกซิเจน
Oxygen Re breathing Mask with Bag หรือหน้ากากออกซิเจนมีถุง
Oxygen Re breathing Mask with Bag หรือ หน้ากากออกซิเจนมีถุง
สิ่งที่ควรคำนึงถึงในการให้ออกซิเจน
การบำบัดด้วยออกซิเจน ควรระมัดระวังเป็นพิเศษในผู้ป่วยที่ได้รับพิษจากพาราควอตซ์ (paraquat poisoning) เพราะการให้ O2 จะทําให้ O2 ไปทําปฏิกิริยากับพาราควอตซ์ ทําให้เกิดพิษกับปอดได้
การพยาบาลผู้ป่วยขณะได้รับออกซิเจน
การดูแลผู้ป่วยขณะที่ให้ออกซิเจน จำเป็นต้องดูแลอย่างใกล้ชิด โดยเน้นที่การดูแลให้ได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ ซึ่งสามารถประเมินได้จากอาการผู้ป่วย และการหมั่นตรวจดูอุปกรณ์ ที่ให้ออกซิเจนและต้องการดูแลให้ผู้ป่วยเกิดความสุขสบายทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจด้วย