Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

การวินิจฉัยแยกโรค การรักษาโรคเบื้องต้นตามกลุ่มอาการ Abdominal pain,…

- - - - ประวัติ / อาการ ปวดจุกแน่นใต้ลิ้นปี่ คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร บางรายอาจมีท้องเสียร่วม มักปวดหลังทานอาหารประมาณครึ่งถึง หนึ่งชั่วโมง บริเวณใต้ลิ้นปี่ ค่อนมาทางซ้ายสัมพันธ์กับประวัติการดื่มแอลกอฮอล์ NSAID บางรายอาจมีถ่ายดำ
        
        การตรวจร่างกาย กดเจ็บเล็กน้อยบริเวณใต้ลิ้นปี่
        
        แนวทางการรักษา: จุกเสียดแน่นท้องให้ยาลดกรด (Antacid) และแนะนำการปฎิบัติตัว
  - - - ประวัติ/อาการ: ปวดท้องเรื้อรังหลายวันหรือหลายสัปดาห์เป็นๆ หายๆ เรื้อรังปวดบริเวณกลางยอดอกหรือใต้ลิ้นปี่ เวลาปวดมักสัมพันธ์กับมื้ออาหาร อาจปวดแสบ จุกเสียด บางรายอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือเรอเปรี้ยว ร่วมด้วย อาจมีอาการปวดแน่นๆ เวลาหิว หรือท้องว่างอาการปวดจะดีขึ้นเมื่อ รับประทานอาหาร
        
        ประวัติมักรับประทานอาหารไม่ตรงเวลา ปวดมากเมื่อดื่มสุรา หรือเวลาเครียด อาจมีประวัติเลือดออกจากทางเดินอาหาร เช่น อาเจียนดำ ถ่ายดำ เลือดจาง เป็นต้น
        
        การตรวจร่างกาย: กดเจ็บบริเวณใต้ลิ้นปี่ ในรายที่มีถ่ายอาจพบอาการปิด
        
        แนวทางการรักษา: รักษาเช่นเดียวกับแผลที่กระเพาะอาหาร ถ้ามีอาการ อาเจียนเป็นเลือด
        หรือถ่ายดำ ควรส่งต่อโรงพยาบาลภายใน 24 ชั่วโมง ถ้าเสียเลือดมาก อาจต้องพิจารณา ให้เลือดแล้วตรวจหาสาเหตุและให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ หาก มีอาการปวดท้องรุนแรง ปวดท้องติดต่อกันนานเกิน 6ชั่วโมง หรืออาเจียนรุนแรง หรือ มีอาการท้องแข็ง ให้รีบส่งต่อโดยด่วน
  - - - ประวัติ/อาการ: ปวดรุนแรงที่ชายโครงขวาร้าวไปที่ไหล่ขวาหรือบริเวณ หลังใต้สะบักขวา ปวดมากขึ้นเมื่อไอหรือหายใจลึกๆ และหลังรับประทานอาหารมันๆ อาจมีคลื่นไส้ อาเจียน หรือดีซ่านร่วมด้วย มักพบในเพศหญิงอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป มีบุตรหลายคน และอ้วน บางรายอาจมีท้องผูกหรือท้องอืดร่วมด้วย
        
        การตรวจร่างกาย: มีไข้ มีการหดเกร็งหน้าท้องอย่างรุนแรงบริเวณ RUO หรือบริเวณใต้ชายโครงขวาตรวจท้องพบกดปล่อยเจ็บเฉพาะที่ (Localized Abound tenderness) Bowel Sound ลดลงตรวจพบ Murphy’s sign positive อาจพบอาการตัวตาเหลืองร่วมด้วย ผลการตรวจเลือดพบเม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้น ตรวจทาง รังสีพบนิ่วที่ถุงน้ำดี
        
        แนวทางการรักษา: ส่งต่อแพทย์ทันที และอาจให้การช่วยเหลือเบื้องต้น
        ในการบรรเทาอาการปวดโดยให้ยาต้านการหดเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ (Antispasmodic) งดน้ำและอาหารเพื่อเตรียมรับการรักษาต่อไป ให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำตามความ เหมาะสม และดูแลให้ได้รับความสุขสบาย
  - - - ประวัติ/อาการ: ปวดท้องมาก เริ่มแรกปวดเป็นพักๆ รอบสะดือคล้าย โรคกระเพาะ หรือท้องเดิน อาจเข้าส้วมบ่อย แต่ถ่ายไม่ออก แต่บางรายอาจมีท้องเดินร่วมด้วย รับประทานยาแก้ปวดไม่ดีขึ้น 3-4 ชั่วโมง อาการปวดจะย้ายมาที่ท้องน้อยข้างขวาปวดเสียดตลอดเวลา เคลื่อนไหวตัวจะทำให้ปวดมาก ผู้ป่วยจะมีคลื่นไส้อาเจียน และมีไข้ต่ำๆ บางรายอาจมีปวดท้องน้อยข้างขวา และมีไข้ ร่วมด้วย
        
        ตรวจร่างกาย: มักเดินตัวเอียงตะแคงไปทางขวาถ้านอนมักจะนอนงอขา ไปข้างใดข้างหนึ่งมีไข้ต่ำๆ(37.5-38 C มักไม่เกิน 38.5 C.) บางรายไม่มีไข้ ชีพจรเร็ว ลิ้นเป็นฝ้าหนา ตรวจท้องพบกดเจ็บ(Tenderness) ตรงท้องน้อยข้างขวา โดยเฉพาะ ตรงจุดไส้ติ่ง หรือจุด Mc Burney point (บริเวณRLO) มี Rebound tenderness rovsing sign อาจให้ผลบวก และตรวจพบ Bowel Sound ลดลงกรณีไส้ติ่งแตก จะปวดเจ็บทั่วท้องน้อย ท้องแข็ง อาจคลำได้ก้อน และไข้สูง
        
        แนวทางการรักษา: หากสงสัย ควรรีบส่งโรงพยาบาล ควรงดอาหารน้ำดื่ม เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการผ่าตัดฉุกเฉิน ห้ามวางกระเป๋าน้ำร้อน อาจทำให้ไส้ติ่งแตกได้ การรักษาด้วยการผ่าตัดเอาไส้ติ่งออก
  - - - ประวัติ/อาการ: ปวดท้องรุนแรง ปวดตลอดเวลา ขยับเขยื้อนหรือ กระเทือนถูกจะเจ็บ ต้องนอนนิ่งๆเนื่องจากปวดท้องติดต่อกันหลายชั่วโมงจนกระทั่ง หลายวัน มีท้องอืด คลื่นไส้อาเจียน มีไข้ ครั่นเนื้อครั่นตัว เบื่ออาหาร บางรายมีท้องเดิน ถ้าเป็นรุนแรงอาจช็อค คือ กระสับกระส่าย เหงื่อออก ตัวเย็นใจสั่น เป็นลมหมดสติได้
        
        การตรวจร่างกาย: มีไข้สูง กล้ามเนื้อหน้าท้องมักจะมีอาการเกร็งแข็ง เรียกว่า ท้องแข็ง (Guarding) และกดเจ็บมาก เมื่อกดหน้าท้องลึกๆ แล้วปล่อยมือทันทีให้ผนังหน้าท้องกระเด้งกลับทันที (Rebound tenderness) ผู้ป่วยจะรู้สึกเจ็บมาก เคาะท้องมีเสียงก้องและโปร่ง ผลการตรวจเลือด พบจำนวนเม็ดเลือดขาวมากกว่าปกติ
        
        การรักษา: หากสงสัยว่ามีอาการเยื่อบุช่องท้องอักเสบ ควรรีบนำผู้ป่วยส่ง โรงพยาบาลโดยด่วน และควรงดอาหารและน้ำในระหว่างเดินทางไปโรงพยาบาล เพราะ อาจต้องทำการผ่าตัดโดยด่วน
  - - - อาการ: ปวดท้องรุนแรงใต้ลิ้นปีทันทีทันใดปวดตลอดเวลา ร้าวไปที่หลัง เวลานอนหงาย เคลื่อนไหว จะทำให้ปวดมากขึ้น แต่จะรู้สึกสบายเวลานั่งโก้งโค้ง มักมีไข้ คลื่นไส้ - อาเจียน รายที่เป็นรุนแรง อาจอ่อนเพลียมาก มีจ้ำเขียวที่หน้าท้อง หรือรอบสะดือ มีภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ มือเท้าเกร็ง และอาจช็อค กระสับกระส่าย เหงื่อออก ตัวเย็น
        
        สิ่งตรวจพบ: ไข้ หน้าท้องกดเจ็บ (ไม่มีท้องแข็ง) อาจมีท้องอืด Bowel Sound ลดลง อาจมีช็อค (ชีพจรเบาเร็ว ความดันตก) หรือดีซ่าน
        
        การรักษา: หากสงสัยควรส่งโรงพยาบาลด่วน ถ้ามีภาวะขาดน้ำ หรือช็อค ควรให้น้ำเกลือไประหว่างเดินทาง
- - - - ถ่ายวันละกี่ครั้ง ปริมาณมากน้อยเท่าใด
      - ลักษณะอุจจาระ: น้ำ เหลว มูกเลือด น้ำปนเนื้อ ก้อนธรรมดา สี กลิ่น
      - เป็นมานานเท่าใด
      - ถ่ายทั้งกลางวัน/กลางคืนหรือไม่
      - มีปวดเบ่งร่วมด้วยหรือไม่
      - ทานยาอะไรอยู่หรือไม่
      - มีคนอื่นเป็นด้วยหรือไม่
      - มีอาการอื่นร่วมหรือไม่: ไข้ อาเจียน น้ำหนักลด
  - - - การติดเชื้อ พบได้บ่อยกว่าสาเหตุอื่น อาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัส เช่น Rotavirus บิดไทฟอยด์ อหิวาต์ มาลาเรีย พยาธิบางชนิด เช่น พยาธิแส้ม้า เป็นต้น
      - สารพิษจากเชื้อโรค โดยการรับประทานพิษของเชื้อโรคที่ปนเปื้อนใน อาหาร มักพบว่ากลุ่มคนที่รับประทานอาหารด้วยกันมีอาการพร้อมกัน หลายคน
      - สารเคมี เช่น ตะกั่ว สารหนู Nitrate ยาฆ่าแมลง เป็นต้น มักจะทำให้มีอาการอาเจียนปวดท้องรุนแรงและชักได้
      - ยา เช่น ยาถ่าย ยาลดกรด ยาปฏิชีวนะ (Tetracycline, Amoxycillin, Erythromycin,Colchicine)
      - พืชพิษ เช่น เห็ดพิษ กลอย เป็นต้น
    - - การติดเชื้อ เช่น บิดอะมีบา (Amoeba) วัณโรคลำไส้ พยาธิแส้ม้า เอดส์ เป็นต้น
      - โรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน คอพอกเป็นพิษ
      - การขาดเอนไซม์ Lactase ที่ย่อยน้ําตาล Lactose ซึ่งมีในนมสดทำให้ท้องเดินหลังดื่มนม
      - ยา เช่น รับประทานยาถ่าย หรือยาลดกรดเป็นประจ า จะทำให้มีอาการ ท้องเดินเรื้อรัง
  - - - อาการ: ปวดท้อง อาเจียนนำมาก่อน จากนั้นมีถ่ายเป็นน้ำตามมา มักมี ส่วนด้วย บางรายอาจมีอาการคล้ายไข้หวัดร่วมด้วย อาการมักเป็นนาน 2-6 วัน ส่วนที่เป็นไม่มาก มักหายได้เองส่วนในรายที่เป็นมาก อาจมีภาวะขาดน้ำรุนแรง
        
        สิ่งตรวจพบ: ไข้ ภาวะขาดน้ำ
        
        การรักษา:
        
        ให้การรักษาตามอาการ เช่น ยาลดไข้
        และให้สารละลายน้ำตาลเกลือแร่
        
        หากรับประทานไม่ได้ หรือมีภาวะขาดน้ำรุนแรง ควรส่งโรงพยาบาล อาจต้องให้สารน้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ
  - - - อาการ: ถ่ายอุจจาระบ่อยเป็นประจ าทุกวัน หรือเป็นๆ หายๆ เรื้อรัง มักถ่ายเป็นก้อนเหมือนปกติหลังตื่นนอนตอนเช้าครั้งหนึ่งก่อน แล้วหลังอาหารเช้า จะมี ปวดบิดในท้องทันที ต้องถ่ายซึ่งมักจะถ่ายเหลว/น้ำ และอาจจะถ่ายเหลวอีกหลายครั้ง โดยเฉพาะหลังอาหารแต่ละมื้อบางครั้งอาจมีมูกปน แต่ไม่มีเลือด/หนอง
        
        ส่งตรวจพบ: ไม่พบสิ่งผิดปกติ
        
        การรักษา:
        
        แนะนำให้ผู้ป่วยออกกำลังเป็นประจำ
        ฝึกสมาธิ หลีกเลี่ยงอาหารรสจัดหรืออาหารที่ทำให้มีอาการ งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ชา หรือกาแฟ
        
        ถ้ามีอาการปวดท้องและถ่ายบ่อย
        ให้ยาแก้ท้องเดิน เช่น Loperramide หรือAntispasmodic ก่อนอาหาร 30-60 นาที หรือเวลามีอาการ ถ้ามีอาการไม่มากหรือพอทนได้ ก็ไม่ต้องรับประทานยา
        
        ถ้ามีอาการท้องผูก ให้ยาระบาย
        
        ถ้ามีอาการคิดมาก กังวลใจ นอนไม่หลับ ให้ยากล่อมประสาท เช่น Diazepam หรือยาแก้ซึมเศร้า เช่น Amitriptyline
        
        ถ้ามีอาการเบื่ออาหาร น้ำหนักลด ถ่ายเป็นเลือด หรือเริ่มเป็น ครั้งแรก เมื่อมีอายุ 40ปีขึ้นไป หรือสงสัยจะเกิดจากสาเหตุอื่น ควรแนะนำไปตรวจที่โรงพยาบาล
  - - - อาการ: มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน วิงเวียน ปากแห้ง คอแห้ง เจ็บในลำคอ ปวดบิดในท้อง ท้องเดินในรายที่เป็น มากพิษของมันจะทำลายระบบประสาท ทำให้ตาพร่ามัว เห็นภาพซ้อนสองภาพ หนังตาตก รูม่านตา ขยาย และไม่มีปฏิกิริยาต่อแสง กลืนน้ำลายไม่ได้ น้ำลายฟูมปาก พูดอ้อแอ้ แขนขาอ่อนแรง และหายใจไม่ได้ เนื่องจากกล้ามเนื้อช่วยหายใจเป็นอัมพาตและอาจเสียชีวิตภายใน 24 ชั่วโมง
        
        สิ่งตรวจพบ: หนังตาตก รูม่านตาขยาย แขนขาอ่อนแรง อาการแทรกซ้อนกล้ามเนื้อเป็นอัมพาต หยุดหายใจ
        
        การรักษา: หากสงสัยควรรีบส่งโรงพยาบาล ถ้าฉีดเซรุ่มแก้พิษได้ทันก็จะช่วยให้รอดได้
  - - - อาการ: มีไข้ หนาวสั่น ปวดบิดในท้อง ถ่ายเป็นน้ำ คลื่นไส้อาเจียนเล็กน้อย บางครั้งมีมูกเลือดปน อาการจะค่อยๆ หายในภายใน 2 - 5 วัน บางคนอาจเรื้อรังถึง 10 - 14 วัน
        
        สิ่งตรวจพบ: ไข้ อาจมีภาวะขาดน้ำ อาการแทรกซ้อนภาวะขาดน้ำรุนแรง
        
        การรักษา:
        
        ถ้าอาการไม่รุนแรง ให้สารละลายน้ำตาลเกลือแร่ และให้ยาลดไข้กรณีมีไข้
        
        ถ้าอาการรุนแรง หรือมีภาวะขาดน้ำรุนแรง ควรส่งโรงพยาบาล
  - - - อาการ: เกิดขึ้นทันทีทันใดด้วยคลื่นไส้ อาเจียน ปวดบิดในท้องเป็นพักๆ ถ่ายเป็นน้ำ มีไข้สูงหนาวสั่น ปวดเมื่อยตามตัว (คล้ายไข้หวัดใหญ่) มักหายได้ภายใน 1-2 วัน
        
        สิ่งตรวจพบ: ไข้ อาจมีภาวะขาดน้ำ
        
        การรักษา:
        
        ถ้าอาการไม่รุนแรงให้สารละลายน้ำตาลเกลือแร่ และให้ยาลดไข้กรณีมีไข้
        
        ถ้าอาการรุนแรง หรือมีภาวะขาดน้ำรุนแรง ควรส่งโรงพยาบาล
  - - - อาการ: เกิดขึ้นทันทีทันใดด้วยอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดบิดในท้อง เป็นพักๆ และถ่ายเป็นน้ํา ส่วนมากไม่มีไข้ อาการจะค่อยๆ หายเอง ภายใน 1-2 วัน
        
        สิ่งตรวจพบ: ไข้ อาจมีภาวะขาดน้ำ
        
        การรักษา:
        
        ถ้าอาการไม่รุนแรงให้สารละลายน้ำตาลเกลือแร่ และให้ยาลดไข้กรณีมีไข้
        
        ถ้าอาการรุนแรง หรือมีภาวะขาดน้ำรุนแรง ควรส่งโรงพยาบาล
  - - - อาการ: เกิดขึ้นทันทีทันใดด้วยอาการท้องร่วงอย่างรุนแรง อุจจาระไหลพุ่ง ไม่ปวดท้อง มีอาเจียน โดยที่ไม่คลื่นไส้ อุจจาระเหมือนน้ำซาวข้าว รายที่เป็นรุนแรงจะมี อาการขาดน้ำรุนแรง และช็อคอย่างรวดเร็ว จะมีเสียงแหบแห้ง เป็นตะคริว ตัวเย็น เหงื่อออก ปัสสาวะออกน้อย ชีพจรเร็ว ความดันโลหิตต่ำรักษาไม่ทันอาจเสียชีวิตได้ ในรายที่เกิดจากเชื้อเอลทอร์ จะปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียน ถ่ายเหลวบ่อยครั้งคล้าย ท้องเดินหายเองใน 1-5 วัน
        
        สิ่งตรวจพบ: ภาวะขาดน้ำ ชีพจรเต้นเร็ว ความดันโลหิตต่ำ
        
        การรักษา: หากสงสัยว่าเป็นอหิวาต์
        ในรายที่อาการไม่รุนแรง
        1.เก็บอุจจาระส่งเพาะเชื้อ
        2.สารน้ำทางหลอดเลือดดำ
        3.ให้ยาปฏิชีวนะอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น
        -Tetracycline (500 mg) 1x4 p.o pc 3 วัน
        -Doxycycline(100 mg) 1x2 p.o. pc 3 วัน
        -Norfloxacin 400 mg bid pc 3 วัน
        -Cotrimoxazole 1 gm. ครั้งเดียว
        -Erythromycin 250mg. qid p.c. 3 วัน
        ในรายที่อาการรุนแรง เช่น ถ่ายเป็นน้ำรุนแรง อาเจียน มีภาวขาดน้ำรุนแรง กินไม่ได้ ให้ IV fluid และส่งต่อโรงพยาบาล
  - - - สาเหตุ: เชื้อบิด Shigella ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรีย แล้วเกิดอาการอักเสบ ของล าไส้ ระยะฟักตัว 1-7 วัน (พบบ่อย24-48 ชั่วโมง)
        
        อาการ: ปวดบิดในท้องก่อน ใน 1 ชั่วโมงต่อมาจะมีไข้ ถ่ายเป็นน้ำ หาก ถ่ายรุนแรงอาจทำให้อ่อนเพลีย บางรายอาจเพียงถ่ายเหลว ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตาม ร่างกาย คลื่นไส้ อาเจียน ต่อมาอาการท้องเดินจะทุเลาลงแต่จะปวดเบ่งที่ก้น และถ่าย เป็นมูก หรือมีมูกปนเลือดบ่อยครั้ง กลิ่นไม่เหม็นมาก
        
        สิ่งตรวจพบ: ไข้ 38.5-40 ° C อาจพบขาดน้ำ หรือช็อค ได้แก่ เหงื่อออก ตัวเย็น ชีพจรเบาเร็ว ความดันโลหิตต่ำ คลำท้องอาจกดเจ็บเล็กน้อย แต่บางรายอาจ ตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติ
        
        การรักษา:
        
        ให้ยาปฏิชีวนะ อย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น
        -Cotrimoxazole bid p.o pc 3 วัน
        -Norfloxacin 400 mg. bid pc 3 วัน
        -ให้การรักษาตามอาการ เช่น มีไข้ ให้ยาลดไข้ เกลือแร่
        
        ไม่จำเป็นต้องให้ยาแก้ท้องเดิน
        
        ถ้ามีภาวะขาดน้ำรุนแรงหรือช็อค ให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ แล้วส่ง โรงพยาบาลทันที
        
        ในรายที่อาการไม่รุนแรง แต่ให้ยาปฏิชีวนะเป็นเวลา 5 วัน แล้วอาการ ไม่ดีขึ้น อาจต้องตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น นำอุจจาระไปเพาะเชื้อ หรือใช้เครื่องส่องทวารหนัก
    - - สาเหตุ: กินอาหาร/ดื่มน้ำที่มีเชื้อ Entamoeba histolytica เห็นได้ด้วย กล้องจุลทรรศน์ เรียกว่า บิดมีตัวระยะฟักตัว 1 สัปดาห์-3 เดือน (พบบ่อย 8-10 วัน)
        
        อาการ: ถ่ายอุจจาระเหลวๆ มีเนื้อปน ปวดท้อง ปวดเบ่งที่ก้นไม่มีไข้ ต่อมาถ่ายเป็นมูกเลือดทีละน้อย ไม่มีเนื้อปน กลิ่นเหม็นเหมือนหัวกุ้งเน่า ถ่ายกะปริบ กะปรอยวันละหลายครั้ง บางรายอาจถึง 20-50 ครั้ง แต่จะไม่อ่อนเพลีย และทำงานได้ ตามปกติ
        
        สิ่งตรวจพบ: ในรายที่เป็นไม่มาก มักไม่มาก อาจตรวจไม่พบ อะไรชัดเจนมักตรวจกดเจ็บเล็กน้อย บริเวณท้องส่วนล่างด้านซ้าย
        
        การรักษา:
        ให้ยาปฏิชีวนะ เช่น
        -Metronidazole 750 mg. tid pc 10 วัน
        -เด็ก Metronidazole 35-50 mg./kg. แบ่งให้ 3 ครั้ง 10 วัน
        ถ้ามีอาการปวด และกดเจ็บบริเวณชายโครงขวาอย่างมาก หรือสงสัย จะเป็นโรคฝีในตับ ควรส่งไป
        โรงพยาบาลโดยเร็ว
  - - - อาการ: ค่อยเป็นค่อยไป เริ่มแรกจะมีไข้ต่ำๆ ครั่นเนื้อครั่นตัว ปวด เวียนศีรษะ อ่อนเพลีย คล้ายไข้หวัด หรือไข้หวัดใหญ่ แต่ไม่มีน้ำมูก อาจมีเลือดกำเดา ออก บางครั้งอาจไอ เจ็บคอเล็กน้อย มักมีท้องผูก/ถ่ายเหลวเสมออาจมีคลื่นไส้อาเจียน ปวดแน่นท้อง ท้องอืด และกดเจ็บเล็กน้อย ต่อมาไข้จะค่อยๆ สูงขึ้นทุกวัน และมีไข้ตลอดเวลา ถึงแม้จะกินยาลดไข้ก็อาจไม่ลด ทุกครั้งที่มีไข้จะรู้สึกปวดศีรษะมาก อาการไข้มักจะเรื้อรัง
        
        สิ่งตรวจพบ: ไข้ 38.5-40 องศาเซลเซียส หน้าซีดเซียว เปลือกตาไม่ซีด ฝ่ามือซีด ริมฝีปากแห้ง อาจมีท้องอืดกดเจ็บใต้ชายโครงขวา หรือท้องน้อยข้างขวา ตับ ม้ามอาจโต อาจพบจุดแดงคล้ายยุงกัด เมื่อดึงหนังให้ตึงจะจางหาย เรียกว่า Rose Spots ที่หน้าอก หรือหน้าท้อง ซึ่งมักจะขึ้นหลังไข้ 5 วัน และขึ้นนาน 3-4 วัน ในบางราย อาจมีอาการ ดีซ่าน หรือซีด (หากเป็นเรื้อรัง)
        
        การรักษา:
        หากสงสัยควรส่งตรวจเพิ่มเติมด้วยการตรวจเลือด ทำการ ทดสอบไวดาล (Widal test) ตรวจนับจำนวนเม็ดเลือดขาว (มักต่ำกว่า 5,000 ตัวต่อ ลูกบาศก์มิลลิเมตร) นำเลือด อุจจาระ และปัสสาวะไปเพาะหาเชื้อ
        1.ให้ยาลดไข้-เช็ดตัว ลดไข้เมื่อมีไข้
        2.ให้ยาปฏิชีวนะ:
        -Cotrimoxazone 2 tab bid pc. 14 วัน
        -Amoycillin (500 mg.) 1 tab id pc 14 วัน
        3.Multivitamin
        4.แนะนำให้ผู้ป่วยกินอาหารอ่อน ดื่มน้ำมากๆ
        5.รายที่สงสัยว่ามี อาการแทรกซ้อน ควรส่งโรงพยาบาล