Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ทฤษฎี self regulation ของjean johnson - Coggle Diagram
ทฤษฎี self regulation
ของjean johnson
กระบวนการในทฤษฎีการควบคุมตนเอง
เมื่อเราเจอเหตุการณ์คุกคามหรือว่าความตึงเครียด เราจะมีการควบคุมตนเองด้วยการปรับตัวใน2แนวทาง
การควบคุมการตอบสนองด้านหน้าที่ (regulation of functional responses)
การควบคุมการตอบสนองด้านอารมณ์ (regulation of emotional responses)
เป้าหมายของการควบคุมการตอบสนองด้านอารมณ์ คือ อารมณ์ความรู้สึกที่สุขสบาย
เป้าหมายของการควบคุมการตอบสนองด้านหน้าที่ คือ การลดความยุ่งยากในการดำเนินกิจวัตรประจำวัน
ผลลัพธ์เหล่านี้มีความสำคัญต่อการที่จะบรรลุเป้าหมายในระดับที่สูงกว่า เช่น คุณภาพชีวิตที่ดี
การปรับตัวในกระบวนการทั้งสองนี้เกิดขึ้นในแนวขนานและเป็นอิสระต่อกัน
แม้จะใช้สองแนวทางในการปรับตัวเมื่อเจอเหตุการณ์คุกคามแต่เราสามารถมุ่งไปที่แนวทางเดียวในตอนนั้นได้และเปลี่ยนกลับไปมาระหว่างสองแนวทางนี้ได้
ทฤษฎีการควบคุมตนเองจึงเป็นกระบวนการของการเผชิญความเครียดที่เป็นพลวัตร โดยคนเราจะเลือกวิธีเผชิญความเครียดตามความเข้าใจและรู้สึกว่าเป็นวิธีที่ดีซึ่งอาจเป็นวิธีใหม่หรือวิธีเก่าก็ได้ ซึ่งจะต่างกันไปแล้วแต่คนและประสบการณ์
การควบคุมการตอบสนองด้านอารมณ์
ผู้ป่วยจะประเมินประสิทธิภาพของวิธีการเผชิญความเครียดของตนจากผลกระทบที่มีต่ออารมณ์ความรู้สึก ถ้าผู้ป่วยมีอารมณ์ความรู้สึกที่สุขสบายข้อมูลนี้จะถูกป้อนกลับไปที่แนวทางการปรับตัวเพื่อควบคุมการตอบสนองด้านหน้าที่ ผู้ป่วยก็จะให้ความสนใจกับการควบคุมการตอบสนองดังกล่าว
เมื่อผู้ป่วยมุ่งความสนใจไปที่ลักษณะแบบอัตนัยของประสบการณ์ผู้ป่วยมีแนวโน้มที่จะแปลความหมายของประสบการณ์นั้น ในแง่ของความรู้สึกอ่อนแอของตน(vulnerability)
ปฏิกิริยาการตอบสนองด้านอารมณ์ต่อประสบการณ์หนึ่ง อาจแตกต่างกันไปในผู้ป่วยแต่ละคนผู้ป่วยอาจมีความคิดเห็นไม่ตรงกันเกี่ยวกับลักษณะดังกล่าวเช่น ผู้ป่วยบางคนอาจรู้สึกโกรธ บางคนอาจรู้สึกวิตกกังวล บางคนไม่รู้สึกอะไรเลย
ลักษณะที่โดดเด่นในระดับประสบการณ์(experiential level) ของการรับรู้ความเป็นจริงในการปรับตัวแนวทางนี้คือ อารมณ์ความรู้สึกที่อาจถูกกระตุ้น และการประเมินแบบอัตนัย
(เช่น ประสบการณ์นี้ไม่ดีหรือไม่น่าพึงพอใจเพียงใดสำหรับผู้ป่วย)
แต่ถ้าความพยายามในการเผชิญความเครียดไม่สามารถทำให้เกิดอารมณ์ความรู้สึกที่สุขสบายได้ข้อมูลนี้จะป้อนกลับไปที่ขั้นตอนที่ผ่านมาของการปรับตัวเพื่อควบคุมการตอบสนองด้านอารมณ์ซึ่งจะกระตุ้นให้บุคคลปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและลองพยายามใหม่กระบวนการนี้จะดำเนินไปเรื่อยๆจนผู้ป่วยจะมีความรู้สึกที่สุขสบาย
การให้ข้อมูลแบบรูปธรรม-ปรนัยแก่ผู้ป่วยเด็กและครอบครัว
หลักฐานจากงานวิจัยส่วนหนึ่งแสดงให้เห็นว่าการให้ข้อมูลแบบรูปธรรม-ปรนัย สามารถช่วยให้
มารดาและบุตรเผชิญกับการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลโดยไม่มีการวางแผนไว้ล่วงหน้าได้
ช่วยลดความวิตกกังวลของมารดาที่กำลังจะคลอดลูก
เพิ่มการให้ความร่วมมือในการเตรียมผ่าตัดของผู้ป่วยเด็กวัยเรียนที่เข้ารับการผ่าตัดไส้ติ่งได้
ตัวอย่างงานวิจัย
ที่มีการให้ข้อมูลแบบรูปธรรม-ปรนัย แก่ผู้ป่วยเด็กและครอบครัวได้แก่
กลุ่มที่ 1
ได้รับข้อมูลที่บอกถึงพฤติกรรมที่บุตรจะแสดงออกในระหว่างเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลและหลังการจำหน่าย
กลุ่มที่ 2
ได้รับข้อมูลที่บอกว่า มารดาจะมีส่วนร่วมในการดูแลบุตร และจะสามารถช่วยบุตรในการเผชิญกับการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลได้อย่างไร
กลุ่มที่ 3
ได้รับทั้งข้อมูลที่อธิบายถึงพฤติกรรมของบุตร และบทบาทของมารดาในการดูแลและช่วยเหลือให้กำลังใจแก่บุตร
กลุ่มที่ 4
เป็นกลุ่มควบคุม ได้รับข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับโรงพยาบาล
และนโยบายของโรงพยาบาล
เมลนิค (Melnyk)
ได้ศึกษาผลของการให้ข้อมูล 2 ชนิดต่อการเผชิญความเครียดของมารดาและบุตรที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลโดยไม่มีการวางแผนไว้ล่วงหน้า กลุ่มตัวอย่างคือ มารดาที่มีบุตรเข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยเด็กของโรงพยาบาล 2 แห่ง 108 คนแบ่งเป็น 4 กลุ่ม ทุกกลุ่มได้รับข้อมูลทางเทปบันทึกเสียงและเอกสาร
ผลการวิจัยพบว่า
ในระหว่างที่อยู่ในโรงพยาบาล มารดากลุ่มทดลองทั้ง กลุ่ม มีความวิตกกังวลน้อยกว่า มีส่วนร่วมในการดูแลบุตรมากกว่า และให้กำลังใจแก่บุตรในระหว่างการทำหัตถการมากกว่ากลุ่มควบคุม
ประวัติและที่มาของทฤษฎี
ใช้ทฤษฎีนี้เป็นกรอบแนวคิดของการศึกษาผลของการเตรียมทางด้านจิตใจด้วย
อาศัยแนวคิดจากทฤษฎีการประมวลข้อมูล (information processing theory)ในการอธิบายพฤติกรรมของมนุษย์ โดยอธิบายถึงกระบวนการของความคิดความเข้าใจที่เกิดขึ้นเมื่อบุคคลประมวลข้อมูลจากสิ่งแวดล้อมผสมผสานข้อมูลนั้นเข้ากับข้อมูลที่เก็บไว้ในความทรงจำ (memory)กลายเป็นแบบแผนความคิดความเข้าใจ
ได้รับอิทธิพลจากงานวิจัยที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่องมานานกว่า25ปี
ทฤษฎีการควบคุมตนเองในการเผชิญกับความเจ็บป่วยทางด้านร่างกาย ได้แก่
1)
บุคคลใช้การรับรู้และการแปลความหมาย
2)
ภาพความคิดความเข้าใจ(schemata)
3)
ข้อมูลในภาพความคิดความเข้าใจจะถูกจัดเป็นลำดับชั้น
4)
ถ้าเป้าหมายไว้ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงเราจะแสดงพฤติกรรมเพื่อลดความไม่สอดคล้อง
ลีเวนทาลและจอห์นสัน
เป็นบุคคลแรกที่อธิบายการใช้ทฤษฎีการควบคุมตนเอง(self-regulation theory)ในการช่วยเหลือบุคคลให้สามารถเผชิญกับสถานการณ์ที่คุกคามหรือเหตุการณ์ที่ตึงเครียดกับความเจ็บป่วยของร่างกาย
การควบคุมการตอบสนองด้านหน้าที่
ลักษณะที่เป็นรูปธรรม-ปรนัยช่วยขจัดความคลุมเครือว่าบุคคลจะต้องพบกับอะไรบ้างซึ่งจะช่วยให้สามารถดึงเอาข้อมูลที่สำคัญจากความทรงจำวางแผนว่าจะจัดการกับประสบการณ์นั้นอย่างไร
เมื่อลักษณะที่เป็นรูปธรรม-ปรนัยของประสบการณ์โดดเด่นในการรับรู้ความเป็นจริงของเหตุการณ์บุคคลจะมองหาและให้ความสนใจกับลักษณะที่เป็นรูปธรรม-ปรนัยในระหว่างประสบการณ์นั้น
ลักษณะที่เป็นรูปธรรม-ปรนัยของประการณ์
2) ช่วงเวลาและลำดับของเหตุการณ์
3) ลักษณะสภาพแวดล้อม
1) ความรู้สึกทางประสาทสัมผัสและอาการแสดงที่เกิดขึ้น
4) สาเหตุของความรู้สึกทางประสาทสัมผัส อาการแสดง และประสบการณ์
การรับรู้ความเป็นจริงของบุคคลอาจปรับเปลี่ยนได้เมื่อเหตุการณ์จริงเกิดขึ้นถ้าลักษณะที่คาดหวังไว้ไม่ปรากฏอยู่หรือเจอกับสิ่งที่ไม่คาดคิด คนเราจะใช้ข้อมูลป้อนกลับนี้ในการเพิ่มหรือขจัดลักษณะนั้นออกจากการรับรู้ความเป็นจริงของเหตุการณ์เพื่อให้การรับรู้ความเป็นจริงนั้นคล้ายคลึงกับประสบการณ์จริง
กระบวนการนี้จะเกิดขึ้นได้ง่ายเมื่อการรับรู้ความเป็นจริง(representation) ประกอบด้วยลักษณะที่เป็นรูปธรรม-ปรนัยของประการณ์
การให้ข้อมูลแบบรูปธรรม-ปรนัย
การให้ข้อมูลแบบรูปธรรม-ปรนัย จะครอบคลุมเนื้อหาใน4 มิติดังนี้
2)ช่วงเวลาและลำดับเหตุการณ์ ได้แก่ ข้อมูลที่บอกว่าเหตุการณ์เริ่มต้นและสิ้นสุดเมื่อใด
3)ลักษณะสภาพแวดล้อม ได้แก่ ข้อความที่บรรยายถึงการเคลื่อนย้ายจากสถานที่หนึ่งไปยังสถานที่อีกแห่งหนึ่ง,ขนาดของห้อง เป็นต้น
1) ความรู้สึกทางประสาทสัมผัสและอาการแสดง ซึ่งจะรวมถึงสิ่งที่ได้รับรส รู้สึกมองเห็น ได้ยินและได้กลิ่น เช่น รสหวาน,รู้สึกปวดเมื่อย
4)สาเหตุของความรู้สึกทางประสาทสัมผัสอาการแสดงและด้านอื่นๆ ของประสบการณ์ ได้แก่ แหล่งที่มาของความรู้สึกทางประสาทสัมผัส เช่น อะไรที่ทำให้เสียงดัง
การระบุอาการแสดงที่เป็นอาการไม่พึงประสงค์จากการรักษา เพื่อที่ผู้ป่วยจะได้ไม่เข้าใจผิดว่าเป็นอาการแสดงของโรค
เป็นการบอกข้อมูลที่เป็นประสบการณ์ของคนส่วนใหญ่(typical experience) เมื่อต้องเจอเหตุการณ์ตึงเครียดโดยใช้คำพูดบอกเล่าประสบการณ์นั้นอย่างเฉพาะเจาะจง ชัดเจน และตรงไปตรงมาไม่รวมเอาคำพูดที่บอกถึงอารมณ์ความรู้สึก เช่น เจ็บมาก หงุดหงิด เป็นต้น
ไม่ควรรวมเอาข้อมูลที่บอกถึงอาการที่ไม่พึงประสงค์และภาวะแทรกซ้อนของการรักษา หรือหัตถการที่ผู้ป่วยไม่ค่อยพบไว้ในเนื้อหาของข้อมูลแบบรูปธรรม-ปรนัย เพราะจะเกิดผลเสียกับคนป่วยมากกว่า
ในการให้ข้อมูลแบบรูปธรรม-ปรนัย
ควรเลือกใช้คำพูดที่เหมาะสม
และไม่ทำลายความเชื่อมั่นในความสามารถของบุคคลที่เจอกับปัญหาตึงเครียด
ควรทำอย่างเป็นขั้นตอน
เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยสร้างภาพความคิดความเข้าใจของประสบการณ์ที่สอดประสานกัน